ถ้าถามว่า อาสวักขยญานคืออะไร ผมว่าพวกผู้ทรงภูมิพันทิบ คงรีบเข้ากูเกิ้ลหรือไป่ตู้
เสิร์ทหาคำว่าอาสวักขยญานกันเป็นพัลวัน.....แล้วพวกหนึ่งก็จะโพสพระสูตร อีกพวกก็จะโพส
คำแปลในพจนานุกรมพุทธศาสตร์.......บอกให้ครับ ถ้ามันไร้เดียงสาขนาดนั้นผมคงไม่ถามให้อายเด็กหรอกครับ
ฉะนั้นใครกำลังคิดจะทำ ผมขอร้องว่าอย่าทำเลยครับ ไอ้โพสพระสูตรไม่มีปี่มีขลุ่ย
หรือก๊อปปี้คำแปลในพจนานุกรมมาตอบ......มันเปลึองหน้ากระทู้ครับ
ความหมายของอาสวักขยญาน ก็คือ ความรู้ในอาสวะด้วยปฏิจจสมุปบาท
อาสวะก็คือผลขันธ์(กองทุกข์)ในปฏิจจสมุปบาท อันได้แก่ โทรมนัส อุปายาส โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
ความรู้ในปฏิจจสมุปบาททำให้รู้ถึงเหตุที่ทำให้เกิด อาสวะ.....
ก็ด้วยเหตุนี้ท่านจึงบัญญัติความรู้ในปฏิจจสมุปบาทเป็นเหตุแห่งอาสวะว่า....อาสวักขยญาน
มีแผนภาพให้ศึกษาครับ.......
ในแผนภูมิท่านแสดงให้เห็นการเกิดออาสวะของบุคคล คือเริ่มตั้งแต่อวิชชาไปจนครบวัฏจักรคือเกิดอาสวะ
แต่ในแผนภูมินี้ ต้องเข้าใจว่า อาสวะที่เกิดนั้น เกิดจากการกระทบหรือสังขารเพียงครั้งเดียว
ในความเป็นจริงแล้วตลอดช่วงชีวิตของบุคคล จะไม่เกิดอาสวะเพียงครั้งเดียว
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตลอดช่วงชีวิต บุคคลย่อมเกิดการกระทบหลายครั้ง อาสวะย่อมสะสมตามสังขารที่เกิดขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะต้องแยกพิจารณาวัฏฏจักรของปฏิจจ์ดังนี้.......เราต้องแยก ชาติและชรามรณะหมายเลข๑๑และ๑๒
ออกมาเพราะชาติและชรามรณะเป็นความหมายของบุคคล หรือชีวิตหนึ่งของชาตินั้นๆ
ในปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่ง ก็คือชีวิตของบุคคลในชาตินั้นเพียงหนึ่งชาติ นี่ก็คือ ชาติและชรามรณะในวงปฏิจจฯ
ในวงปฏิจจฯนั้นนอกเหนือจากชาติและชรามรณะซึ่งเกิดเพียงครั้งเดียว นับตังแต่อวิชชา๑ไปไปจน๒.๓..๔...๕..๖...๗..๘
๙.....และ๑๐คือภพ เกิดเป็นอาสวะ นี่เป็นเพียงการกระทบครั้งเดียว เมื่อเกิดการกระทบใหม่ก็จะวนจาก๑ไป๑๐เป็นอาสวะเหมือนเดิม
ที่อธิบายมาก็เพื่อที่จะให้รู้ว่า อะไรเป็นเหตุที่ทำให้เกิดอาสวะ เมื่อเรารู้เหตุแห่งอาสวะก็หมายถึง
เกิดญานรู้เหตุแห่งอาสวะ และเรารู้เหตุแห่งอาสวะจากอะไรนั้นก็คือปฏิจจสมุปบาท
ฉะนั้น
ญานในอาสวักขยญานก็คือปฏิจจสมุปบาท
อาสวักขยญาณ ในวิชชา๓........ตองเก้า
เสิร์ทหาคำว่าอาสวักขยญานกันเป็นพัลวัน.....แล้วพวกหนึ่งก็จะโพสพระสูตร อีกพวกก็จะโพส
คำแปลในพจนานุกรมพุทธศาสตร์.......บอกให้ครับ ถ้ามันไร้เดียงสาขนาดนั้นผมคงไม่ถามให้อายเด็กหรอกครับ
ฉะนั้นใครกำลังคิดจะทำ ผมขอร้องว่าอย่าทำเลยครับ ไอ้โพสพระสูตรไม่มีปี่มีขลุ่ย
หรือก๊อปปี้คำแปลในพจนานุกรมมาตอบ......มันเปลึองหน้ากระทู้ครับ
ความหมายของอาสวักขยญาน ก็คือ ความรู้ในอาสวะด้วยปฏิจจสมุปบาท
อาสวะก็คือผลขันธ์(กองทุกข์)ในปฏิจจสมุปบาท อันได้แก่ โทรมนัส อุปายาส โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
ความรู้ในปฏิจจสมุปบาททำให้รู้ถึงเหตุที่ทำให้เกิด อาสวะ.....
ก็ด้วยเหตุนี้ท่านจึงบัญญัติความรู้ในปฏิจจสมุปบาทเป็นเหตุแห่งอาสวะว่า....อาสวักขยญาน
มีแผนภาพให้ศึกษาครับ.......
ในแผนภูมิท่านแสดงให้เห็นการเกิดออาสวะของบุคคล คือเริ่มตั้งแต่อวิชชาไปจนครบวัฏจักรคือเกิดอาสวะ
แต่ในแผนภูมินี้ ต้องเข้าใจว่า อาสวะที่เกิดนั้น เกิดจากการกระทบหรือสังขารเพียงครั้งเดียว
ในความเป็นจริงแล้วตลอดช่วงชีวิตของบุคคล จะไม่เกิดอาสวะเพียงครั้งเดียว
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตลอดช่วงชีวิต บุคคลย่อมเกิดการกระทบหลายครั้ง อาสวะย่อมสะสมตามสังขารที่เกิดขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะต้องแยกพิจารณาวัฏฏจักรของปฏิจจ์ดังนี้.......เราต้องแยก ชาติและชรามรณะหมายเลข๑๑และ๑๒
ออกมาเพราะชาติและชรามรณะเป็นความหมายของบุคคล หรือชีวิตหนึ่งของชาตินั้นๆ
ในปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่ง ก็คือชีวิตของบุคคลในชาตินั้นเพียงหนึ่งชาติ นี่ก็คือ ชาติและชรามรณะในวงปฏิจจฯ
ในวงปฏิจจฯนั้นนอกเหนือจากชาติและชรามรณะซึ่งเกิดเพียงครั้งเดียว นับตังแต่อวิชชา๑ไปไปจน๒.๓..๔...๕..๖...๗..๘
๙.....และ๑๐คือภพ เกิดเป็นอาสวะ นี่เป็นเพียงการกระทบครั้งเดียว เมื่อเกิดการกระทบใหม่ก็จะวนจาก๑ไป๑๐เป็นอาสวะเหมือนเดิม
ที่อธิบายมาก็เพื่อที่จะให้รู้ว่า อะไรเป็นเหตุที่ทำให้เกิดอาสวะ เมื่อเรารู้เหตุแห่งอาสวะก็หมายถึง
เกิดญานรู้เหตุแห่งอาสวะ และเรารู้เหตุแห่งอาสวะจากอะไรนั้นก็คือปฏิจจสมุปบาท
ฉะนั้นญานในอาสวักขยญานก็คือปฏิจจสมุปบาท