เขี้ยวเสือไฟ
โดย...ล. วิลิศมาหรา
หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ แก๊งค์หกหนุ่มอันประกอบไปด้วยนนท์ หนุ่มหล่อหัวหน้าแก๊งค์ กับสมาชิกอีกห้าคนคือ โอ๋ หนุ่มตุ้ยนุ้ยเพื่อนสนิทของนนท์ กิตหนุ่มหน้าตี๋ลูกชายคนเดียวของป๊ะป๋าผู้เป็นเหมือนกระเป๋าสตางค์ของกลุ่ม อู๊ดชายหนุ่มร่างล่ำ บึกบึน เพราะเข้าฟิตเนสเป็นประจำ ก้องหนุ่มช่างฝันหุ่นสะโอดสะอง ชอบเขียนบทกวีเรื่องของป่าเขาลำเนาไพร และเกี๊ยกหนุ่มอารมณ์ดีตัวตลกประจำกลุ่ม ก็ตัดสินใจชวนกันไปท่องป่าดงดิบเขตชายแดนฝั่งพม่า ซึ่งเวลานั้นยังไม่ได้ใช้ชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่า "เมียนมาร์"
หกหนุ่มมีรสนิยมเดียวกันคือชอบท่องเที่ยวดูสัตว์ดูธรรมชาติในป่าลึก ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า ควรออกทริปเที่ยวป่ากันเสียแต่ตอนนี้ ก่อนจะแยกย้ายกันไปหางานทำ เพราะอีกหน่อยคงจะหาโอกาสออกมาเที่ยวแบบนี้ได้ยาก
พ่อของกิตเป็นธุระจ้างพรานชำนาญป่าแถบนั้นให้กับลูกชาย หนุ่มทั้งหกจึงออกเดินทางข้ามจากฝั่งไทยถึงชายแดนพม่าพร้อมอุปกรณ์ตั้งแคมป์ตั้งแต่เช้าตรู่ โดยมีวินอู่ พรานชาวพม่าวัยกลางคนเป็นมัคคุเทศก์นำทาง ทั้งหมดเดินทางจากท่าขี้เหล็กขึ้นเหนือ ราวบ่ายแก่ ๆ ก็เข้าสู่เขตป่าดงดิบและเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ พอตะวันใกล้ตกดินทั้งคณะก็เข้ามาถึงกลางป่า รอบตัวของทุกคนขณะนี้คือต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นหนาแน่น แหงนดูบนฟ้าฝูงนกกาเริ่มพากันบินกลับรัง
พรานวินอู่พาชายหนุ่มทั้งหกมาถึงที่ราบเหมาะจะตั้งแค้มป์ เขาเหลียวมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าน่าจะปลอดภัยจึงบอกทุกคนให้หยุดค้างคืนกันที่นี่
"เราจะหยุดตั้งแคมป์กันตรงนี้แหละครับ"
"เย็นนี้ เราจะกินอะไรกันดีครับพี่วิน" โอ๋ถามถึงเรื่องกินทันทีที่ปลดเป้พ้นหลัง
"มีปลากระป๋องกับอาหารแห้งที่ผมเตรียมมาด้วย แต่ผมว่าเดี๋ยวไปหาปลาที่ลำธารดีกว่า จะได้รสชาติของการเที่ยวป่าไปด้วย ลำธารอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่" พรานพม่าตอบอย่างชำนาญเส้นทาง เขาพูดภาษาไทยได้ชัดราวกับเป็นคนไทย
"ตอนนี้พวกเราช่วยกันตั้งเต็นท์ก่อน หาฟืนมาก่อไฟแล้วค่อยไปหาปลากัน จะได้อาบน้ำเสียทีเดียวเลย"
ลูกทีมทั้งหกช่วยกันตั้งเต็นท์สามหลังห่างกันเป็นรูปสามเหลี่ยม แล้วขนท่อนไม้มาเตรียมก่อกองไฟตรงกลาง หลังจากนั้นพรานวินอู่จึงชวนกิต ก้อง และนนท์ไปตกปลาที่ลำธาร ที่เหลือให้เริ่มก่อไฟต้มน้ำไว้รอ
"พี่วิน มีปืนพกให้พวกผมไว้ป้องกันตัวบ้างไหมครับ" ก่อนพรานวินอู่จะทิ้งให้เฝ้าแค้มป์ อู๊ดก็ถามถึงอาวุธไว้ป้องกันตัวให้อุ่นใจ เพราะมาเดินป่าคราวนี้นอกจากปืนไรเฟิลของวินอู่แล้ว ไม่มีใครเอาปืนติดตัวมาด้วยเลยสักกระบอก
"คุณอู๊ดกลัวเหรอครับ" พรานป่าถามยิ้มๆ
"โธ่ ถามได้ กลัวสิครับพี่วิน เกิดมี สะ.."
"อย่าพูด!" วินอู่รีบร้องห้าม
"เวลาเข้าป่า เขาห้ามไม่ให้พูดถึงสัตว์ร้ายหรือพูดเป็นลางไม่ดีนะครับ พูดถึงแล้วอาจเจอดีเข้าจริงๆ ได้ เอ้า...ผมจะให้ปืนสั้นไว้กับคุณก็แล้วกัน" เขาล้วงปืนสั้นแบบไทยประดิษฐ์สองกระบอกออกจากถุงย่ามเก่าคร่ำ ยื่นให้อู๊ดและเกี๊ยกคนละกระบอก แล้วกำชับว่า
"อย่ายิงอะไรสุ่มสี่สุ่มห้านะครับนอกจากเห็นสัตว์ร้ายเข้าจริงๆ แต่ผมว่าไม่น่าจะมีแล้วล่ะ ป่าเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน"
"มีปืนไว้ย่อมอุ่นใจกว่าครับ ยังไงก็พากันกลับมาไว ๆ นะครับ" เกี๊ยกแม้รับปืนมาก็ยังไม่วายบอกพรานป่าให้รีบกลับ นอกจากเป็นคนตลกเฮฮาแล้ว เกี๊ยกยังเป็นคนใจเสาะที่สุดในบรรดาเพื่อน ๆ แต่กลับเป็นคนยิงปืนแม่นที่สุด
"ได้ครับคุณเกี๊ยก ไปไม่นานหรอก ได้ปลาซักห้าหกตัวก็พอ ถ้าโชคดีก็อาจได้อย่างอื่นเพิ่ม" พรานวินอู่ตอบ ยิ้มให้สามหนุ่มหน้ากองฟืน แล้วหันไปพยักหน้ากับคนที่เหลือ
"ไปครับ ได้ปลากลับมาค่อยผลัดกันไปอาบน้ำ ส่วนเราก็ทำปลาไว้รอ" สามหนุ่มพยักหน้า พากันเดินตามหลังพรานชาวพม่าไปยังลำธาร
ไม่นานคนทั้งสี่ก็กลับมาพร้อมด้วยปลาหลายตัว พรานวินอู่จัดการปรุงมันเป็นอาหารและกับแกล้มให้กับลูกทีมของตัวเอง วงเหล้าถูกตั้งขึ้นกลางเสื่อ เหล้าที่เอามาด้วยเป็นเหล้าดีกรีแรงจากฝีมือหมักและกลั่นเองของอู๊ด ทุกคนนั่งล้อมรอบกองไฟดื่มกินกันอย่างครึกครื้น จนเวลาล่วงเลยไปดึกดื่นก็ยังไม่เลิกดื่ม หลังเมาได้ที่โอ๋ก็เกิดนึกสนุก เขาออกปากชวนเพื่อนให้เล่นพิเรนทร์ด้วยของที่ตัวเองเตรียมมา
"เฮ้ย พวกเรา มาเล่นอะไรหนุกๆ กันไหม"
"เล่นอะไรของเอ็ง" นนท์ถามเพื่อนซี้
"ผีถ้วยแก้ว" โอ๋ยักคิ้วแผล็บ ฉีกยิ้มทำหน้าทะเล้น
"เฮ้ย ไอ้บ้า เล่นผีถ้วยแก้วกลางป่าเนี่ยนะ" กิตร้องขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย "อย่าเล่นเลย ไม่ดีหรอกว่ะ"
"เอ แต่ข้าว่าน่าสนุกดีออก ผีถ้วยแก้วเขาก็เล่นกันเวลาแบบนี้แหละ" ก้องกลับคิดไปอีกแบบ สนับสนุนโอ๋ด้วยเสียงลิ้นไก่สั้นเพราะฤทธิ์น้ำเมา
"ลองดูซักหน่อยจะไม่เป็นไรไป ได้ใช่ไหมครับพี่วิน"
พรานวินอู่มองดูหนุ่มๆ อย่างชั่งใจ ความจริงเขาไม่ค่อยอยากให้เล่นอะไรแบบนี้เท่าไหร่ แต่เป็นเพราะชายหนุ่มเหล่านี้เพิ่งมาใช้บริการของตัวเองเป็นครั้งแรก เขาจึงอยากสร้างความประทับใจให้มากกว่าจะไปขัดใจ เมื่อนึกถึงชื่อเสียงการเป็นมัคคุเทศน์ท่องไพรในวันข้างหน้า ในที่สุดพรานชาวพม่าจึงเอ่ยปากอนุญาต แต่ก็พูดเตือนเอาไว้
"อืม...จะเล่นก็ได้ ยังไงระวังคำพูดคำจากันหน่อยนะครับ อย่าเผลอไปพูดท้าทายวิญญาณเข้า เพราะถ้าเกิดไปทำให้เขาโมโหขึ้นมา คาถากันผีของผมก็อาจเอาไม่อยู่"
"โอเคครับพี่วิน ผมจะระวัง" โอ๋ตอบแบบส่ง ๆ ยิ้มให้พรานชาวพม่าแล้วหยิบกระดาษตัวอักษรเล่นผีถ้วยแก้วออกมาจากกระเป๋าเป้
"เฮ้ย! นี่เอ็งถึงขนาดเตรียมมาด้วยเลยหรือเนี่ย ?" กิตอุทานถาม
"เออสิวะ! มาตั้งแค้มป์ในป่าทั้งที มันก็ต้องมีอะไรให้เล่นสนุกกันบ้าง" โอ๋บอกเพื่อนพลางวางของที่อุตส่าห์ทำเองกับมือลงบนเสื่อ แล้วหยิบแก้วเหล้าใบเล็กมาวางคว่ำไว้กลางกระดานใบหนึ่ง
"เอาล่ะ ได้เวลาเล่นแล้ว" โอ๋มองหน้าเพื่อนทีละคน อธิบายวิธีเล่นว่า "ทีนี้เอานิ้วชี้แตะบนก้นแก้ว แตะเฉยๆ ไม่ต้องกดนะ"
"ผมขอไม่เล่นนะครับ" พรานวินอู่บอกแล้วถอยออกไปยืนดูอยู่ห่างๆ
"ข้าก็ขอตัวว่ะ ไม่อยากเล่น" กิตถอยออกมายืนดูอยู่ข้างพรานวินอู่อีกคน
"กลัวอะไรกันนักกันหนา โอเค เล่นห้าคนก็ได้ โธ่...ปอดแหกไปได้" โอ๋บ่น แล้วพยักพเยิดให้เพื่อนที่เหลือแตะนิ้วชี้ลงบนก้นแก้ว จากนั้นเขาก็เริ่มกล่าวคำเชิญ
"ขอเชิญดวงวิญญาณมาสถิตอยู่ที่แก้วใบนี้ได้เลย และถ้าท่านมาแล้วให้แก้วเดินไปที่คำว่า ใช่"
ขณะที่หนุ่มตุ้ยนุ้ยกล่าวเชิญวิญญาณมาสิงในถ้วยแก้วอยู่นั้น คนในวงต่างพากันเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงจักจั่นเรไรร้องแข่งกันดังเซ็งแซ่อยู่รอบข้าง ผสานกับเสียงค้างคาวและนกแสกที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราว ทุกคนจ้องนิ่งไปที่ถ้วยแก้ว แต่จนแล้วจนรอดแก้วกลางกระดานก็ไม่ขยับเขยื้อน
คนเป็นเจ้ากี้เจ้าการส่ายหน้าอย่างขัดใจ และด้วยความเมา เขาก็พูดประโยคที่ทำให้กิตกับพรานวินอู่สะดุ้งเฮือก
"เฮ้อ...ไม่ได้เรื่อง วิญญาณแถวนี้ขี้ขลาด ถ้างั้นวิญญาณผีป่าผีดอย ผีพม่าก็ได้! มาเลย...มาแล้ว เดินแก้วไปที่คำว่าใช่นะคร้าบบ"
"เฮ้ย...ไอ้โอ๋ ไอ้บ้า ปากหรือนั่น" กิตด่าเพื่อนดังลั่น
"คุณโอ๋ครับ...เล่นก็เล่นดีๆ อย่าพูดท้าทายแบบนั้น ของดีพม่าแรงนะครับ" พรานวินอู่เตือนเสียงขรึม นึกไม่ชอบใจหนุ่มตุ้ยนุ้ยที่เริ่มปากเสียตั้งแต่คืนแรกในป่า
"อ้อ...ครับ ๆ ๆ ขอโทษครับ" โอ๋รู้สึกตัว ยิ้มแหย กล่าวขอโทษพรานป่า แต่ทันใดนั้นแก้วเหล้าบนกระดานก็ขยับ มันพานิ้วคนทั้งห้าเคลื่อนไปที่คำว่า "ใช่"
"เฮ้ย ใครดันแก้วหรือเปล่าวะ" โอ๋จ้องมองแก้วแล้วเงยหน้าขึ้นถามเพื่อนในวง
"กูเปล่านะ" เกี๊ยกปฏิเสธก่อนใคร
"กูก็เปล่า" ก้องสั่นหัวปฏิเสธตาม
"ไม่ได้ดันโว้ย แค่แตะเฉย ๆ นิ้วเกือบหลุดตอนมันเดิน" อู๊ดส่ายหน้าปฏิเสธอีกคน
"ไม่ได้ดันเหมือนกัน กูรู้สึกว่าแก้วมันไปของมันเอง" นนท์บอก
"จริงเหรอวะ ไม่มีใครอำกันแน่นา" โอ๋ถามย้ำ ทุกคนส่ายหัวดิก
"โอเค...กูเชื่อพวกเอ็ง" โอ๋มองหน้าเพื่อนรอบวงแล้วจึงพูดขึ้น "งั้นขอถามผู้ที่มาว่าท่านพอใจหรือไม่ที่พวกเราเชิญมา ถ้าพอใจก็ไม่ต้องย้ายไปไหน ถ้าไม่พอใจให้ไปที่คำว่า ไม่"
ฉับพลัน แก้วเคลื่อนไปที่คำว่า "ไม่"
"เวรแล้ว!" กิตซึ่งยืนดูกับพรานวินอู่ครางเสียงสั่น กลืนน้ำลายเอื้อก ส่วนพรานชาวพม่ามีสีหน้าเครียดขึ้น โอ๋เองก็ชักใจคอไม่ดี แต่ยังทำใจดีสู้เสือ เขาขบกรามคิดแล้วระเบิดคำถามสุดท้าย
"ท่าน...ต้องการอะไร"
ทันทีที่สิ้นคำถาม แก้วก็เคลื่อนไปหาตัวอักษร...ทุกคนในวงอ่านอักษรทีละตัว...
"ช ช้าง...สระ อี...ว แหวน...สระ อิ ตอ เต่า...เฮ้ย!" ซึ่งพอรวมกันเป็นคำ คนในวงผีถ้วยแก้วก็ตาเหลือก ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว "ชีวิต"
"ไม่ต้องถามอะไรต่อแล้วโอ๋" นนท์ร้องบอกเพื่อนสนิท "เชิญเขาออกเถอะเพื่อน ทุกคนอย่าเพิ่งเอามือออกจากก้นแก้วนะ" โอ๋เหลือบตามองคนพูด พยักหน้าแล้วพูดเสียงดัง
"ขอเชิญท่านออกไปและกลับไปยังที่ที่ท่านมาได้แล้วครับ" ก่อนบอกเพื่อนในวงว่า "พอกูนับสามก็ถอนนิ้วออกพร้อมกันเลยนะ" เพื่อนทั้งสี่ผงกศีรษะ สีหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น โอ๋กลืนน้ำลายแล้วเริ่มนับช้าๆ
"หนึ่ง....สอง....สาม ดึงนิ้วออก!!" คนทั้งหมดถอนนิ้วออกจากก้นแก้วพร้อมกันทันที และวินาทีนั้นแก้วเหล้าใบเล็กซึ่งค่อนข้างหนาก็ระเบิดแตกกระจาย
เปรี๊ยะ !!!
"โอ๊ยย..."
"เฮ้ยยย"
เขี้ยวเสือไฟ (รีไร้ท์ใหม่จากเรื่องสั้นในเกมถุงมือ)
หกหนุ่มมีรสนิยมเดียวกันคือชอบท่องเที่ยวดูสัตว์ดูธรรมชาติในป่าลึก ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า ควรออกทริปเที่ยวป่ากันเสียแต่ตอนนี้ ก่อนจะแยกย้ายกันไปหางานทำ เพราะอีกหน่อยคงจะหาโอกาสออกมาเที่ยวแบบนี้ได้ยาก
พ่อของกิตเป็นธุระจ้างพรานชำนาญป่าแถบนั้นให้กับลูกชาย หนุ่มทั้งหกจึงออกเดินทางข้ามจากฝั่งไทยถึงชายแดนพม่าพร้อมอุปกรณ์ตั้งแคมป์ตั้งแต่เช้าตรู่ โดยมีวินอู่ พรานชาวพม่าวัยกลางคนเป็นมัคคุเทศก์นำทาง ทั้งหมดเดินทางจากท่าขี้เหล็กขึ้นเหนือ ราวบ่ายแก่ ๆ ก็เข้าสู่เขตป่าดงดิบและเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ พอตะวันใกล้ตกดินทั้งคณะก็เข้ามาถึงกลางป่า รอบตัวของทุกคนขณะนี้คือต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นหนาแน่น แหงนดูบนฟ้าฝูงนกกาเริ่มพากันบินกลับรัง
พรานวินอู่พาชายหนุ่มทั้งหกมาถึงที่ราบเหมาะจะตั้งแค้มป์ เขาเหลียวมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าน่าจะปลอดภัยจึงบอกทุกคนให้หยุดค้างคืนกันที่นี่
"เราจะหยุดตั้งแคมป์กันตรงนี้แหละครับ"
"เย็นนี้ เราจะกินอะไรกันดีครับพี่วิน" โอ๋ถามถึงเรื่องกินทันทีที่ปลดเป้พ้นหลัง
"มีปลากระป๋องกับอาหารแห้งที่ผมเตรียมมาด้วย แต่ผมว่าเดี๋ยวไปหาปลาที่ลำธารดีกว่า จะได้รสชาติของการเที่ยวป่าไปด้วย ลำธารอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่" พรานพม่าตอบอย่างชำนาญเส้นทาง เขาพูดภาษาไทยได้ชัดราวกับเป็นคนไทย
"ตอนนี้พวกเราช่วยกันตั้งเต็นท์ก่อน หาฟืนมาก่อไฟแล้วค่อยไปหาปลากัน จะได้อาบน้ำเสียทีเดียวเลย"
ลูกทีมทั้งหกช่วยกันตั้งเต็นท์สามหลังห่างกันเป็นรูปสามเหลี่ยม แล้วขนท่อนไม้มาเตรียมก่อกองไฟตรงกลาง หลังจากนั้นพรานวินอู่จึงชวนกิต ก้อง และนนท์ไปตกปลาที่ลำธาร ที่เหลือให้เริ่มก่อไฟต้มน้ำไว้รอ
"พี่วิน มีปืนพกให้พวกผมไว้ป้องกันตัวบ้างไหมครับ" ก่อนพรานวินอู่จะทิ้งให้เฝ้าแค้มป์ อู๊ดก็ถามถึงอาวุธไว้ป้องกันตัวให้อุ่นใจ เพราะมาเดินป่าคราวนี้นอกจากปืนไรเฟิลของวินอู่แล้ว ไม่มีใครเอาปืนติดตัวมาด้วยเลยสักกระบอก
"คุณอู๊ดกลัวเหรอครับ" พรานป่าถามยิ้มๆ
"โธ่ ถามได้ กลัวสิครับพี่วิน เกิดมี สะ.."
"อย่าพูด!" วินอู่รีบร้องห้าม
"เวลาเข้าป่า เขาห้ามไม่ให้พูดถึงสัตว์ร้ายหรือพูดเป็นลางไม่ดีนะครับ พูดถึงแล้วอาจเจอดีเข้าจริงๆ ได้ เอ้า...ผมจะให้ปืนสั้นไว้กับคุณก็แล้วกัน" เขาล้วงปืนสั้นแบบไทยประดิษฐ์สองกระบอกออกจากถุงย่ามเก่าคร่ำ ยื่นให้อู๊ดและเกี๊ยกคนละกระบอก แล้วกำชับว่า
"อย่ายิงอะไรสุ่มสี่สุ่มห้านะครับนอกจากเห็นสัตว์ร้ายเข้าจริงๆ แต่ผมว่าไม่น่าจะมีแล้วล่ะ ป่าเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน"
"มีปืนไว้ย่อมอุ่นใจกว่าครับ ยังไงก็พากันกลับมาไว ๆ นะครับ" เกี๊ยกแม้รับปืนมาก็ยังไม่วายบอกพรานป่าให้รีบกลับ นอกจากเป็นคนตลกเฮฮาแล้ว เกี๊ยกยังเป็นคนใจเสาะที่สุดในบรรดาเพื่อน ๆ แต่กลับเป็นคนยิงปืนแม่นที่สุด
"ได้ครับคุณเกี๊ยก ไปไม่นานหรอก ได้ปลาซักห้าหกตัวก็พอ ถ้าโชคดีก็อาจได้อย่างอื่นเพิ่ม" พรานวินอู่ตอบ ยิ้มให้สามหนุ่มหน้ากองฟืน แล้วหันไปพยักหน้ากับคนที่เหลือ
"ไปครับ ได้ปลากลับมาค่อยผลัดกันไปอาบน้ำ ส่วนเราก็ทำปลาไว้รอ" สามหนุ่มพยักหน้า พากันเดินตามหลังพรานชาวพม่าไปยังลำธาร
ไม่นานคนทั้งสี่ก็กลับมาพร้อมด้วยปลาหลายตัว พรานวินอู่จัดการปรุงมันเป็นอาหารและกับแกล้มให้กับลูกทีมของตัวเอง วงเหล้าถูกตั้งขึ้นกลางเสื่อ เหล้าที่เอามาด้วยเป็นเหล้าดีกรีแรงจากฝีมือหมักและกลั่นเองของอู๊ด ทุกคนนั่งล้อมรอบกองไฟดื่มกินกันอย่างครึกครื้น จนเวลาล่วงเลยไปดึกดื่นก็ยังไม่เลิกดื่ม หลังเมาได้ที่โอ๋ก็เกิดนึกสนุก เขาออกปากชวนเพื่อนให้เล่นพิเรนทร์ด้วยของที่ตัวเองเตรียมมา
"เฮ้ย พวกเรา มาเล่นอะไรหนุกๆ กันไหม"
"เล่นอะไรของเอ็ง" นนท์ถามเพื่อนซี้
"ผีถ้วยแก้ว" โอ๋ยักคิ้วแผล็บ ฉีกยิ้มทำหน้าทะเล้น
"เฮ้ย ไอ้บ้า เล่นผีถ้วยแก้วกลางป่าเนี่ยนะ" กิตร้องขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย "อย่าเล่นเลย ไม่ดีหรอกว่ะ"
"เอ แต่ข้าว่าน่าสนุกดีออก ผีถ้วยแก้วเขาก็เล่นกันเวลาแบบนี้แหละ" ก้องกลับคิดไปอีกแบบ สนับสนุนโอ๋ด้วยเสียงลิ้นไก่สั้นเพราะฤทธิ์น้ำเมา
"ลองดูซักหน่อยจะไม่เป็นไรไป ได้ใช่ไหมครับพี่วิน"
พรานวินอู่มองดูหนุ่มๆ อย่างชั่งใจ ความจริงเขาไม่ค่อยอยากให้เล่นอะไรแบบนี้เท่าไหร่ แต่เป็นเพราะชายหนุ่มเหล่านี้เพิ่งมาใช้บริการของตัวเองเป็นครั้งแรก เขาจึงอยากสร้างความประทับใจให้มากกว่าจะไปขัดใจ เมื่อนึกถึงชื่อเสียงการเป็นมัคคุเทศน์ท่องไพรในวันข้างหน้า ในที่สุดพรานชาวพม่าจึงเอ่ยปากอนุญาต แต่ก็พูดเตือนเอาไว้
"อืม...จะเล่นก็ได้ ยังไงระวังคำพูดคำจากันหน่อยนะครับ อย่าเผลอไปพูดท้าทายวิญญาณเข้า เพราะถ้าเกิดไปทำให้เขาโมโหขึ้นมา คาถากันผีของผมก็อาจเอาไม่อยู่"
"โอเคครับพี่วิน ผมจะระวัง" โอ๋ตอบแบบส่ง ๆ ยิ้มให้พรานชาวพม่าแล้วหยิบกระดาษตัวอักษรเล่นผีถ้วยแก้วออกมาจากกระเป๋าเป้
"เฮ้ย! นี่เอ็งถึงขนาดเตรียมมาด้วยเลยหรือเนี่ย ?" กิตอุทานถาม
"เออสิวะ! มาตั้งแค้มป์ในป่าทั้งที มันก็ต้องมีอะไรให้เล่นสนุกกันบ้าง" โอ๋บอกเพื่อนพลางวางของที่อุตส่าห์ทำเองกับมือลงบนเสื่อ แล้วหยิบแก้วเหล้าใบเล็กมาวางคว่ำไว้กลางกระดานใบหนึ่ง
"เอาล่ะ ได้เวลาเล่นแล้ว" โอ๋มองหน้าเพื่อนทีละคน อธิบายวิธีเล่นว่า "ทีนี้เอานิ้วชี้แตะบนก้นแก้ว แตะเฉยๆ ไม่ต้องกดนะ"
"ผมขอไม่เล่นนะครับ" พรานวินอู่บอกแล้วถอยออกไปยืนดูอยู่ห่างๆ
"ข้าก็ขอตัวว่ะ ไม่อยากเล่น" กิตถอยออกมายืนดูอยู่ข้างพรานวินอู่อีกคน
"กลัวอะไรกันนักกันหนา โอเค เล่นห้าคนก็ได้ โธ่...ปอดแหกไปได้" โอ๋บ่น แล้วพยักพเยิดให้เพื่อนที่เหลือแตะนิ้วชี้ลงบนก้นแก้ว จากนั้นเขาก็เริ่มกล่าวคำเชิญ
"ขอเชิญดวงวิญญาณมาสถิตอยู่ที่แก้วใบนี้ได้เลย และถ้าท่านมาแล้วให้แก้วเดินไปที่คำว่า ใช่"
ขณะที่หนุ่มตุ้ยนุ้ยกล่าวเชิญวิญญาณมาสิงในถ้วยแก้วอยู่นั้น คนในวงต่างพากันเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงจักจั่นเรไรร้องแข่งกันดังเซ็งแซ่อยู่รอบข้าง ผสานกับเสียงค้างคาวและนกแสกที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราว ทุกคนจ้องนิ่งไปที่ถ้วยแก้ว แต่จนแล้วจนรอดแก้วกลางกระดานก็ไม่ขยับเขยื้อน
คนเป็นเจ้ากี้เจ้าการส่ายหน้าอย่างขัดใจ และด้วยความเมา เขาก็พูดประโยคที่ทำให้กิตกับพรานวินอู่สะดุ้งเฮือก
"เฮ้อ...ไม่ได้เรื่อง วิญญาณแถวนี้ขี้ขลาด ถ้างั้นวิญญาณผีป่าผีดอย ผีพม่าก็ได้! มาเลย...มาแล้ว เดินแก้วไปที่คำว่าใช่นะคร้าบบ"
"เฮ้ย...ไอ้โอ๋ ไอ้บ้า ปากหรือนั่น" กิตด่าเพื่อนดังลั่น
"คุณโอ๋ครับ...เล่นก็เล่นดีๆ อย่าพูดท้าทายแบบนั้น ของดีพม่าแรงนะครับ" พรานวินอู่เตือนเสียงขรึม นึกไม่ชอบใจหนุ่มตุ้ยนุ้ยที่เริ่มปากเสียตั้งแต่คืนแรกในป่า
"อ้อ...ครับ ๆ ๆ ขอโทษครับ" โอ๋รู้สึกตัว ยิ้มแหย กล่าวขอโทษพรานป่า แต่ทันใดนั้นแก้วเหล้าบนกระดานก็ขยับ มันพานิ้วคนทั้งห้าเคลื่อนไปที่คำว่า "ใช่"
"เฮ้ย ใครดันแก้วหรือเปล่าวะ" โอ๋จ้องมองแก้วแล้วเงยหน้าขึ้นถามเพื่อนในวง
"กูเปล่านะ" เกี๊ยกปฏิเสธก่อนใคร
"กูก็เปล่า" ก้องสั่นหัวปฏิเสธตาม
"ไม่ได้ดันโว้ย แค่แตะเฉย ๆ นิ้วเกือบหลุดตอนมันเดิน" อู๊ดส่ายหน้าปฏิเสธอีกคน
"ไม่ได้ดันเหมือนกัน กูรู้สึกว่าแก้วมันไปของมันเอง" นนท์บอก
"จริงเหรอวะ ไม่มีใครอำกันแน่นา" โอ๋ถามย้ำ ทุกคนส่ายหัวดิก
"โอเค...กูเชื่อพวกเอ็ง" โอ๋มองหน้าเพื่อนรอบวงแล้วจึงพูดขึ้น "งั้นขอถามผู้ที่มาว่าท่านพอใจหรือไม่ที่พวกเราเชิญมา ถ้าพอใจก็ไม่ต้องย้ายไปไหน ถ้าไม่พอใจให้ไปที่คำว่า ไม่"
ฉับพลัน แก้วเคลื่อนไปที่คำว่า "ไม่"
"เวรแล้ว!" กิตซึ่งยืนดูกับพรานวินอู่ครางเสียงสั่น กลืนน้ำลายเอื้อก ส่วนพรานชาวพม่ามีสีหน้าเครียดขึ้น โอ๋เองก็ชักใจคอไม่ดี แต่ยังทำใจดีสู้เสือ เขาขบกรามคิดแล้วระเบิดคำถามสุดท้าย
"ท่าน...ต้องการอะไร"
ทันทีที่สิ้นคำถาม แก้วก็เคลื่อนไปหาตัวอักษร...ทุกคนในวงอ่านอักษรทีละตัว...
"ช ช้าง...สระ อี...ว แหวน...สระ อิ ตอ เต่า...เฮ้ย!" ซึ่งพอรวมกันเป็นคำ คนในวงผีถ้วยแก้วก็ตาเหลือก ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว "ชีวิต"
"ไม่ต้องถามอะไรต่อแล้วโอ๋" นนท์ร้องบอกเพื่อนสนิท "เชิญเขาออกเถอะเพื่อน ทุกคนอย่าเพิ่งเอามือออกจากก้นแก้วนะ" โอ๋เหลือบตามองคนพูด พยักหน้าแล้วพูดเสียงดัง
"ขอเชิญท่านออกไปและกลับไปยังที่ที่ท่านมาได้แล้วครับ" ก่อนบอกเพื่อนในวงว่า "พอกูนับสามก็ถอนนิ้วออกพร้อมกันเลยนะ" เพื่อนทั้งสี่ผงกศีรษะ สีหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น โอ๋กลืนน้ำลายแล้วเริ่มนับช้าๆ
"หนึ่ง....สอง....สาม ดึงนิ้วออก!!" คนทั้งหมดถอนนิ้วออกจากก้นแก้วพร้อมกันทันที และวินาทีนั้นแก้วเหล้าใบเล็กซึ่งค่อนข้างหนาก็ระเบิดแตกกระจาย
เปรี๊ยะ !!!
"โอ๊ยย..."
"เฮ้ยยย"