☠️🌾☠️ ลองดีที่ต่างแดน (ฉบับเต็มจากเรื่องสั้นในเกมถุงมือของ "ถุงมือพรานป่า" ครับ)☠️🌾☠️

กระทู้คำถาม




ณ ป่าดงดิบแห่งหนึ่ง ในเขตชายแดนฝั่งพม่า สมัยก่อนที่จะใช้ชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่า "เมียนมาร์"

หนุ่มชาวไทย 6 คน ออกเดินทางข้ามจากฝั่งไทยเข้ามาท่องเที่ยว โดยมีอุปกรณ์ตั้งแคมป์เตรียมมาเสร็จสรรพ โดยมี วินอู่ พรานวัยกลางคนชาวพม่าเป็นมัคคุเทศก์นำทาง คนทั้ง 7 เริ่มเดินทางจากท่าขี้เหล็กขึ้นเหนือตั้งแต่ตอนบ่าย จนถึงราวบ่ายสามโมงก็เข้าสู่เขตป่าดงดิบ และลึกเข้าไปเรื่อยๆ

การเดินป่านี้ มีเพียงพรานวินอู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีปืนไรเฟิลไปด้วย นอกนั้น สำหรับหนุ่มไทยทั้ง 6 ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธปืน ดังนั้น ชีวิตของคนไทยทั้ง 6 จึงฝากไว้กับพรานวินอู่แต่เพียงผู้เดียว

ตกเย็นประมาณ 5 โมงกว่า ตะวันเริ่มคล้อยใกล้จะตกดิน ทั้งคณะก็ถึงกลางป่าดงดิบ รอบตัวของทุกคนคือต้นไม้น้อยใหญ่นานาพันธุ์ แหงนดูบนฟ้า นกกาทั้งหลายเริ่มพากันบินกลับรัง

"เราหยุดตั้งแคมป์กันตรงนี้แหละนะครับ" พรานวินอู่บอกกับทุกคน

"พี่วิน เย็นนี้ เราจะกินอะไรกันดี" หนุ่มหน้าตี๋คนหนึ่งถามขณะที่กำลังปลดเป้ออกจากหลัง

"เดี๋ยวไปหาปลาที่ลำธาร ห่างจากตรงนี้ไม่ไกลครับคุณเกี๊ยก เดินไปแค่ห้านาทีก็ถึง" พรานพม่าวัยกลางคนตอบ เขาพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่วทีเดียว "ตอนนี้พวกเราช่วยกันตั้งเต็นท์กันก่อนนะครับ"

หลักจากช่วยกันตั้งเต็นท์สามหลังห่างกันเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยมีกองฟืนเตรียมไว้เป็นกองไฟอยู่ตรงกลางเสร็จแล้ว พรานวินอู่ก็ชักชวน "ลูกทัวร์" ไปตกปลาที่ลำธาร มีสามคนตกลงใจไปด้วย อีกสามคนอยู่รอ เริ่มก่อไฟ ต้มน้ำ

"พี่วิน มีปืนพกให้พวกเรายืมบ้างไหม ซักกระบอกสองกระบอก" หนุ่มร่างท้วมคนหนึ่งซึ่งไม่ไปด้วยถาม

"ทำไมครับ คุณอู๊ด กลัวเหรอ ?"

"โธ่ กลัวสิพี่วิน เกิดมี ส.."

"อย่าพูด!" พรานวินอู่ร้องห้าม "เข้าป่ามาแล้ว ห้ามพูดถึงสัตว์ร้ายหรืออะไรอย่างอื่นครับ พูดถึงแล้วอาจจะเจอ! เอ้า นี่ ปืนสั้น สองกระบอก" เขาล้วงปืนสองกระบอกซึ่งมองดูเหมือนปืนสั้นแบบไทยประดิษฐ์ออกมาจากถุงย่ามสีเทาเก่ามาก แสดงว่ามันถูกใช้งานมานานยื่นให้อู๊ดและเกี๊ยกคนละกระบอก แล้วสั่งกำชับ

"จำไว้ อย่ายิงอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า นอกจากเห็นสัตว์ร้ายเข้าจริงๆ ถึงค่อยยิง แต่ผมว่าไม่น่าจะมีหรอก เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน"

"ถึงยังไง มีปืนไว้ย่อมอุ่นใจกว่าครับ พี่วิน" หนุ่มร่างผอมผิวขาวซึ่งอยู่ระหว่างอู๊ดและเกี๊ยกว่า "กลับมากันไวๆ นะครับ"

"ได้ครับคุณก้อง ไม่นานหรอก ได้ปลาซักห้าหกตัวก็พอ ถ้าโชคดีก็อาจจะได้อย่างอื่นเพิ่ม ไปก่อนนะครับ" พรานวินอู่ตอบ ยิ้มให้สามหนุ่ม อู๊ด เกี๊ยก และก้องซึ่งนั่งอยู่หน้ากองฟืน แล้วหันไปพยักหน้ากับอีกสามหนุ่มที่เหลือซึ่งยืนรออยู่ข้างเต็นท์หลังหนึ่ง "ไปครับ คุณโอ๋ คุณกิต คุณนนท์"

สามหนุ่มไทยพยักหน้าตอบ แล้วเดินตามหลังพรานชาวพม่าไปยังลำธารซึ่งอยู่ไม่ไกล

ประมาณครึ่งชั่วโมง ทั้ง 4 คนก็กลับมาพร้อมด้วยปลาช่อนตัวโต 7 ตัว ครบจำนวนคนพอดี พรานวินอู่จัดการกับปลาเหล่านั้นโดยปิ้งบ้าง ต้มบ้าง เป็นอาหารและกับแกล้มให้กับหนุ่มไทยทั้ง 6 อย่างอร่อยลิ้น

ทุกคนกินปลาแกล้มเหล้ากันไป พูดคุยกันไป เหล้าที่เอามากันมีทั้งเหล้าขาวและเหล้าโรง จนดึกดื่น ถึงเวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่า โอ๋ หนุ่มร่างเตี้ยมะขามข้อเดียวเกิดนึกสนุกขึ้นมา จึงออกปากชักชวนเพื่อนๆ

"เฮ้ย พวกเรา เล่นอะไรหนุกๆ กันไหม ?"

"เล่นอะไรวะ ไอ้โอ๋ ?" นนท์ หนุ่มหล่อหน้าตาดีกว่าเพื่อนถาม

"วีจา บอร์ด!" โอ๋กล่าวและยักคิ้วข้างซ้ายทีหนึ่ง ฉีกยิ้มทำหน้าทะเล้น

"เฮ้ย บ้า! กลางป่าเนี่ยนะ แล้วไม่ใช่บ้านเราด้วย" กิต หนุ่มทรงผมเกรียนเพราะเพิ่งลาสิกขามาไม่นานร้องปราม "อย่าเล่นเลย ไม่ดีหรอกว่ะ!"

"เอ เราว่า น่าสนุกดีนะ!" เกี๊ยกกลับอยากเล่นเลยสนับสนุนโอ๋ "ลองดูซักหน่อยไม่เป็นไรมั้ง"

"ถ้าจะเล่น ขอให้เรียกวิญญาณของสัตว์มาก็แล้วกันนะครับ  อย่าเรียกที่เป็นคน!" พรานวินอู่กล่าวเตือน "เพราะวิญญาณสัตว์จะไม่อันตรายมาก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผมก็พอเอาอยู่!"

"โอเคครับพี่วิน เอาตามพี่วินว่า" โอ๋ยิ้มให้พรานชาวพม่า แล้วหยิบกระดานผีถ้วยแก้วที่เตรียมมาด้วยออกมาจากกระเป๋าเป้

"เฮ้ย! นี่นายเตรียมมาด้วยหรือเนี่ย ?"  กิตร้องถามแล้วอ้าปากค้าง

"เออสิวะ! มาตั้งแค้มป์ในป่าทั้งที มันก็ต้องมีกิจกรรมสนุก ๆ กัน ว่าไหม ?"

โอ๋กางแผ่นกระดานผีถ้วยแก้วนั้นออก แผ่นกระดานนี้เขาทำมาเองกับมือ แล้วหยิบแก้วเหล้าใบเล็กหนาเตอะใบหนึ่งออกมาวางคว่ำไว้ตรงกลางกระดาน

"มาเพื่อนๆ" โอ๋มองหน้าเพื่อนทีละคนๆ "เอานิ้วชี้แตะบนก้นแก้วนี้ แตะเฉยๆ ไม่ต้องกดนะ"

"ผมไม่เล่นนะครับ" พรานวินอู่กล่าวแล้วถอยออกไปยืนดูห่างๆ

"เราก็ขอตัวว่ะ ไม่อยากเล่น" กิตถอยออกมาอีกคน ยืนดูอยู่ข้างๆ พรานวินอู่

"โอเคเพื่อน ไม่เป็นไร เล่นห้าคนก็ได้ โธ่...ปอดแหกไปได้" โอ๋กล่าว แล้วพยักเพยิดกับเพื่อนอีก 4 คน แล้วทั้ง 5 คนคือ เขาผู้ริเริ่มชวนเล่น อู๊ด เกี๊ยก ก้อง และนนท์ ก็วางนิ้วชี้แตะบนก้นแก้ว

"ขอเชิญ ดวงวิญญาณของสัตว์ที่ตายไปแล้ว ตัวไหนก็ได้ มาสถิตอยู่ที่แก้วใบนี้" โอ๋เริ่มกล่าวคำอัญเชิญ "และถ้ามาแล้ว ให้แก้วเดินไปที่คำว่า ใช่"

แล้วทุกคนก็เงียบ

บรรยากาศรอบตัว มีแต่เสียงหรีดหริ่งเรไรจักจั่นร้องแข่งกันดังเซ็งแซ่ไปหมด และเสียงร้องของค้างคาวและนกแสกดังเป็นครั้งคราว แต่จนแล้วจนรอด แก้วก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย

เพื่อนตัวดีที่เจ้ากี้เจ้าการชวนคนอื่นเล่น ส่ายหน้า และด้วยความเมา จึงพูดประโยคที่ทำให้กิตกับพรานวินอู่สะดุ้งเฮือกและขนลุก

"เฮ้อ...ไม่ได้เรื่องๆ สัตว์มันไม่มีวิญญาณหรอกมั้ง ขอเป็นวิญญาณคนแทนละกัน ผีป่าผีดอยก็ได้ ผีพม่าก็เอา! มาเลย...มาแล้ว เดินแก้วไปที่คำว่าใช่นะคร้าบบ"

"เฮ้ย...ไอ้โอ๋ ไอ้บ้า ปากหรือนั่น" กิตร้องด่า

"คุณโอ๋ครับ...เล่นก็เล่นดีๆ ครับ อย่าท้าทายแบบนั้น ของพม่าแรงนะครับ!" พรานวินอู่กล่าวเตือน

"ครับๆๆ พี่วิน ขอโทษครับ" โอ๋รีบกล่าวขอโทษแล้วยกมือไหว้ไปทั่วทุกสารทิศ

แล้วแก้วเหล้าใบเล็กหนาเตอะใบนั้นก็ขยับ! พานิ้วของทั้งห้าคนเคลื่อนไปที่คำว่า "ใช่" !!

"เฮ้ย ใครดันแก้วหรือเปล่าวะ" โอ๋ร้องถามและมองหน้าเพื่อนรอบวง

"กูเปล่านะ" เกี๊ยกปฏิเสธก่อนใครๆ

"กูก็เปล่า" ก้องสั่นหัว ปฏิเสธตามมา

"กูก็ไม่ได้ดัน แตะเฉยๆ นิ้วเกือบหลุดตอนมันเดิน" อู๊ดส่ายหน้าปฏิเสธเป็นคนที่สาม

"เราก็ไม่ได้ดันเหมือนกันเพื่อน" นนท์ซึ่งหล่อที่สุดและพูดจาสุภาพที่สุดสมกับเป็นคนหล่อปฏิเสธเป็นคนสุดท้าย

"จริงเร้อ เพื่อนๆ ไม่ได้อำกันแน่นา ?" โอ๋ถามย้ำ ทุกคนส่ายหัวดิกกันเป็นแถว

"โอเค..ได้!" หนุ่มผู้อยากลองของเพราะฤทธิ์สุราเอ่ยขึ้นดังๆ "ขอถามผู้ที่มาว่า ท่าน พอใจหรือไม่ ที่พวกเราอัญเชิญท่าน ? ถ้าพอใจ ก็ไม่ต้องย้ายไปไหน ถ้าไม่พอใจ ให้ไปที่คำว่า ไม่"

แก้วเคลื่อนไปที่คำว่า "ไม่" ทันที !

"เวรแล้ว!" กิตซึ่งยืนดูกับพรานวินอู่ร้องครางเสียงสั่น กลืนน้ำลายเอื๊อก ส่วนพรานชาวพม่ายืนดูด้วยสีหน้าเครียด

โอ๋เองก็เริ่มหวาดหวั่น แต่ยังทำใจดีสู้เสือ ขบกรามคิดแล้วระเบิดคำถามสุดท้าย

"ท่าน ต้องการอะไร ?"

ทันทีที่สิ้นคำถามนั้น แก้วก็เคลื่อนไปหาอักษรทีละตัว รวมทั้งหมด 5 ตัว ...ทุกคนในวง อ่านอักษรนั้น ทีละตัว...

"ช ช้าง...สระ อี...ว แหวน...สระ อิ " ถึงตรงนี้ทุกคนตาเหลือกขนลุกเกรียวและเส้นผมบนศรีษะตั้งเมื่อถึงอักษรตัวสุดท้าย "ต เต่า...ชะ ชีวิต !!"

"ไม่ต้องถามอะไรต่อแล้วโอ๋!!" นนท์ร้องบอก "เชิญเขาออกเถอะเพื่อน ทุกคนอย่าเพิ่งเอามือออกจากก้นแก้วนะ"

โอ๋ร้องตะโกนลั่น "ขอเชิญท่าน ออกไป และกลับไปยังที่ที่ท่านมาได้แล้วครับ!!" แล้วเขาก็มองหน้าเพื่อน ๆ ในวงแต่ละคน "เพื่อน ๆ เรานับสามนะ แล้วถอนนิ้วออกพร้อมกัน"

ทั้ง 4 คนพยักหน้า ด้วยทั้งความเครียดและความหวาดกลัว

โอ๋เริ่มนับ อย่างช้า ๆ "หนึ่ง....สอง....สาม! ดึงนิ้วออก!!"

ทั้งห้าหนุ่มสยาม ถอนนิ้วออกจากก้นแก้วพร้อมกัน!

และทันทีนั้น แก้วเหล้าใบเล็กซึ่งมีความหนา ยากที่อะไรจะทำให้แตกได้ง่าย ๆ ก็ระเบิดแตกกระจาย

เปรี๊ยะ !!!

"โอ๊ยย.."

"เฮ้ยย...!! "

วงเหล้าทั้งวงแตกฮือไปคนละทิศคนละทาง เศษแก้วซึ่งระเบิดโดยอำนาจลึกลับกระจายปลิวว่อน

ทุกคนยกมือยกแขนขึ้นบังหน้าตัวเองโดยสัญชาติญาณ หลายคนโดนเศษแก้วบางชิ้นบาดเอาบ้าง ทิ่มแทงเข้าให้บ้างร้องโอดโอยไปตามๆกัน ล้มไปบนพื้นหัวทิ่มหัวตำ บ้างก็เผลอเตะแก้วเหล้าขวดเหล้าและถ้วยชามใส่กับแกล้มระเนระนาด  มีแต่กิตกับพรานชาวพม่าเท่านั้นที่ไม่โดนอะไรเพราะยืนอยู่ห่างๆ

กิตยืนตะลึงขนลุกซู่ไปทั้งตัว ส่วนพรานวินอู่หน้าเครียดขรึม ล้วงมือลงไปในย่ามหยิบวัตถุบางอย่างออกมา เป็นไม้ลิ่มปลายแหลม 4 อัน กำไว้ในมือซ้าย แล้วล้วงมือขวาหยิบฆ้อนขนาดเล็กอันหนึ่งออกมา ทำปากขมุบขมิบเหมือนท่องมนต์คาถาอะไรสักอย่างหนึ่งราวสองสามนาทีแล้วร้องตะโกนสั่งบรรดา "ลูกทัวร์" เสียงลั่นป่า

"ทุกคน ไปนั่งรวมกันรอบกองไฟ เดี๋ยวนี้ครับ!! คุณด้วยครับคุณกิต" เขาหันมาบอกหนุ่มไทยร่างท้วมพอประมาณซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ

สหายทั้ง 6 ไปนั่งรวมตัวกันรอบกองไฟตามคำสั่งพรานเจ้าถิ่นโดยไม่รอช้า จากนั้น พรานวินอู่จึงเริ่มทำการ "ล้อมคอก" ปักลิ่มไม้ทั้ง 4 อันล้อมกรอบ 4 เหลี่ยมรอบตัวทุกคนรวมทั้งเขาด้วย แล้วหยิบด้ายสายสิญจน์ออกมาจากย่าม วงสายสิญจน์เสร็จเรียบร้อยแล้วนั่งนิ่ง พนมมือ ท่องบ่นบริกรรมคาถาตามที่ตนได้เคยร่ำเรียนมา

หนุ่มไทยทั้ง 6 พนมมือตาม ตอนนี้ทุกคนขวัญกระเจิง สร่างเมากันหมด

พรานวินอู่พูดกับพวกเขา ขณะที่ยังหลับตา

"ทุกคน จำไว้นะครับ อย่าออกจากวงสายสิญจน์นี้เด็ดขาด พบเห็นอะไร อย่าตกใจ อย่ากลัว ควบคุมสติให้ดี ขอย้ำ ห้ามออกจากวงสายสิญจน์ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น!!"

"ครับๆๆๆ" ต่างคนต่างระล่ำระลักตอบ

"คุณอู๊ด คุณเกี๊ยก ยิงปืนแม่นไหมครับ ?" พรานวินอู่ถามหลังจากที่ตนเองลืมตาขึ้นมาแล้ว

"เอ้อ...ไอ้เกี๊ยก เคยแข่งขันยิงปืนได้รางวัลชนะเลิศมาแล้วครับพี่วิน เพราะฉะนั้น วางใจได้ครับ" อู๊ดตอบพลางหยิบปืนที่พรานชาวพม่าให้ไว้ตอนหัวค่ำขึ้นมาดู

"แล้วคุณล่ะครับ ?"

"อ่า...ผมแค่มือสมัครเล่นครับพี่วิน"

"งั้น มีใครอีกที่ยิงปืนแม่น หรืออย่างน้อยต้องใช้เป็น ?"

"ไอ้นนท์สิครับ ขานั้นน่ะ ฝีมือสูสีกับไอ้เกี๊ยกเลยละครับ" อู๊ดพยักเพยิดบุ้ยปากไปยัง "เจนเทิลแมน" ในกลุ่มผู้รูปหล่อ ซึ่งพอเจ้าตัวได้ยินคำของเพื่อนก็ยิ้มออกมานิดหนึ่ง

"ถ้าอย่างนั้นส่งปืนให้คุณนนท์ดีกว่าครับ"

"ได้เลยครับพี่วิน เอ้า นนท์" อู๊ดร้องเรียกเพื่อน พอเขาเงยหน้าขึ้นมาก็โยนปืนกระบอกนั้นไปให้เขารับไว้

"คุณเกี๊ยก คุณนนท์..."

"ครับ พี่วิน ?" สองหนุ่มตอบรับพร้อมกัน

"กระสุนในปืนทั้งสองกระบอก ลงอาคมไว้แล้ว เพราะฉะนั้น ยิงได้ทั้งคนทั้งผี!"

เกี๊ยกทำท่ากำหมัดชูขึ้น คำรามออกมา "กูมีเขี้ยวเล็บแล้วเว้ย!!"

"เฮ้ย นายอย่าเพิ่งลำพองใจไป" นนท์เอ่ยปราม

"ใช่ครับ คุณนนท์พูดถูกต้อง อย่าชะล่าใจครับคุณเกี๊ยก กระสุนมีจำกัดนะครับ ดังนั้น เมื่อไรที่จะยิง ต้องมั่นใจว่าโดน! ไม่มั่นใจห้ามยิง!"

"ครับพี่วิน"

"เอาละ ตอนนี้ ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ ผมจะท่องมนต์คาถาอีกสักเล็กน้อยครับ อย่าลืมที่ผมบอก มีอะไรเกิดขึ้นห้ามออกจากวงสายสิญจน์ คุณเกี๊ยก คุณนนท์ ยิงปืนเมื่อถึงคราวจำเป็นจริงๆเท่านั้นนะครับ"

"ครับ" หนุ่มไทยทั้ง 6 ตอบพร้อมกัน จากนั้นทุกคนจึงอยู่ในความสงบ ด้วยใจระทึก ปล่อยให้พรานวินอู่นั่งบริกรรมคาถาไป

ตอนนี้มีเขาเท่านั้น เป็นที่พึ่งแต่ผู้เดียว!

สรรพเสียงแห่งพงไพรเป็นต้นว่าหรีดหริ่งเรไรดังระงม ผสมผสานกับเสียงค้างคาวบ้าง นกแสกบ้าง เสียงหมาหอนมาจากที่ไกลบ้าง

ฉับพลันทันใดนั้น เสียงทุกอย่างเงียบกริบลงอย่างกระทันหัน ตามมาด้วยสายลมโชยมาเบาๆ แล้วเริ่มกระหน่ำพัดแรงขึ้น...แรงขึ้น โหมกิ่งไม้ใบไม้ปลิวว่อนเสียงดังอื้ออึง!!

นักท่องเที่ยวชาวไทยพากันทำหน้าเลิ่กลั่ก หันมองซ้ายมองขวา หันมาดูพรานวินอู่ก็ยังเห็นเขานั่งหลับตานิ่ง


(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งเรื่องสั้น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่