สืบเนื่องจากระทู้นี้
https://ppantip.com/topic/38139946
ในความคิดเห็นที่ 15
การดูขันธ์5ไม่ใช่ไปแยกขันธ์5
ให้ดูนามรูป ในขันธ์5
ให้เห็นจากวิปัสสนาไม่ใช่นั่งสมาธิแล้วไปนึกว่า
นี่คือเวทนา นี่คือสัญญา นี่คือสังขาร นี่คือวิญญาณ
เขาเรียกว่ามโน นึกเอาเอง
ดูเวทนา เมื่อเวทนาเกิด
ไม่ใช่ไปนึกสร้างเวทนาจากสัญญา
ดูสัญญาเวลาจิตมันไปนึกถึงอดีต อนาคต
ดูสังขารเวลาจิตมันคิด วิตก
ดูวิญญาณเวลา จิตรู้ที่ กาย เวทนา จิต ธรรม
คือให้ดูนามรูปที่เป็นปรมัตธรรม ที่เกิดในปัจจุบันธรรม
ไม่ไปมโนเอาเอง
กับอีกแบบ...
ความคิดเห็นที่ 15-1
การดูขันธ์5ไม่ใช่ไปแยกขันธ์5
ให้ดูนามรูป ในขันธ์5
***ดูขันธ์๕ก็คือ ดูจิต ไม่ใช่การแยกขันธ์๕ นี่ก็เป็นเรื่องปกติ แต่การดูนามรูปในขันธ์๕ คงหมายถึงตัวสัญญาที่เป็นนามรูป***
ให้เห็นจากวิปัสสนาไม่ใช่นั่งสมาธิแล้วไปนึกว่า
นี่คือเวทนา นี่คือสัญญา นี่คือสังขาร นี่คือวิญญาณ
เขาเรียกว่ามโน นึกเอาเอง
ดูเวทนา เมื่อเวทนาเกิด
ไม่ใช่ไปนึกสร้างเวทนาจากสัญญา
ดูสัญญาเวลาจิตมันไปนึกถึงอดีต อนาคต
ดูสังขารเวลาจิตมันคิด วิตก
ดูวิญญาณเวลา จิตรู้ที่ กาย เวทนา จิต ธรรม
คือให้ดูนามรูปที่เป็นปรมัตธรรม ที่เกิดในปัจจุบันธรรม
ไม่ไปมโนเอาเอง
***จากการแยกขันธ์ของผม ไม่ใช่ดังนี้แน่นอน การดูขันธ์๕ ก็คือ ขณะสมาธิตั้งมั่นอยู่ระดับหนึ่ง เมื่อจิตเกิดขึ้นแล้วดับไปแล้ว ขณะพริบตาหนึ่ง เราก็จำลักษณะของมันไว้ แล้วก็ค่อยๆ น้อมดูลักษณะการทำงานของมัน ยกตัวอย่าง เมื่อเห็นรูป เช่น มีรถสีแดงคันหนึ่ง จิตส่งออกรับรูปรถสีแดงของรถนั้นมา เกิดเวทนาคือ รู้สึกพอใจในสีแดงของรูป จากนั้นสัญญาในอดีตคือ สีแดงของดอกชะบาได้เกิดขึ้น จึงปรุงแต่งต่อเป็นเรื่องราวของดอกชะบาในอดีตตอนเป็นนักเรียนเป็นเรื่องราวเป็นสังขาร มีอารมณ์เกิดขึ้นในใจเรียกว่าวิญญาณ ถ้าไม่มีสติรู้ในขณะนั้นแล้วดับความสืบต่อ แล้ววิญญานนั่นแหละเป็นรูปในขณะต่อเนื่องให้ขันธ์๕รอบต่อไปทำงาน และระหว่างขันธ์แต่ละขันธ์ อุปาทานในวงจรปฏิจจสมุปบาทได้ทำงานครบ จึงมีการสืบต่อ นี่คือประสบการณ์จริงเห็นได้จริงแยกได้จริง ***
เมื่อมีสติปกติในชีวิตประจำวัน ขันธ์๕ มักจะหยุดที่สัญญา ถ้าเลยนี้ไปแล้วมักจะปรุงแต่งเป็นเรื่องราว ถ้าก่อนนี้ก็ดับไปก่อน ไม่ทันเป็นนามรูป
แยกขันธ์๕ แบบไหนถูก
ในความคิดเห็นที่ 15
การดูขันธ์5ไม่ใช่ไปแยกขันธ์5
ให้ดูนามรูป ในขันธ์5
ให้เห็นจากวิปัสสนาไม่ใช่นั่งสมาธิแล้วไปนึกว่า
นี่คือเวทนา นี่คือสัญญา นี่คือสังขาร นี่คือวิญญาณ
เขาเรียกว่ามโน นึกเอาเอง
ดูเวทนา เมื่อเวทนาเกิด
ไม่ใช่ไปนึกสร้างเวทนาจากสัญญา
ดูสัญญาเวลาจิตมันไปนึกถึงอดีต อนาคต
ดูสังขารเวลาจิตมันคิด วิตก
ดูวิญญาณเวลา จิตรู้ที่ กาย เวทนา จิต ธรรม
คือให้ดูนามรูปที่เป็นปรมัตธรรม ที่เกิดในปัจจุบันธรรม
ไม่ไปมโนเอาเอง
กับอีกแบบ...
ความคิดเห็นที่ 15-1
การดูขันธ์5ไม่ใช่ไปแยกขันธ์5
ให้ดูนามรูป ในขันธ์5
***ดูขันธ์๕ก็คือ ดูจิต ไม่ใช่การแยกขันธ์๕ นี่ก็เป็นเรื่องปกติ แต่การดูนามรูปในขันธ์๕ คงหมายถึงตัวสัญญาที่เป็นนามรูป***
ให้เห็นจากวิปัสสนาไม่ใช่นั่งสมาธิแล้วไปนึกว่า
นี่คือเวทนา นี่คือสัญญา นี่คือสังขาร นี่คือวิญญาณ
เขาเรียกว่ามโน นึกเอาเอง
ดูเวทนา เมื่อเวทนาเกิด
ไม่ใช่ไปนึกสร้างเวทนาจากสัญญา
ดูสัญญาเวลาจิตมันไปนึกถึงอดีต อนาคต
ดูสังขารเวลาจิตมันคิด วิตก
ดูวิญญาณเวลา จิตรู้ที่ กาย เวทนา จิต ธรรม
คือให้ดูนามรูปที่เป็นปรมัตธรรม ที่เกิดในปัจจุบันธรรม
ไม่ไปมโนเอาเอง
***จากการแยกขันธ์ของผม ไม่ใช่ดังนี้แน่นอน การดูขันธ์๕ ก็คือ ขณะสมาธิตั้งมั่นอยู่ระดับหนึ่ง เมื่อจิตเกิดขึ้นแล้วดับไปแล้ว ขณะพริบตาหนึ่ง เราก็จำลักษณะของมันไว้ แล้วก็ค่อยๆ น้อมดูลักษณะการทำงานของมัน ยกตัวอย่าง เมื่อเห็นรูป เช่น มีรถสีแดงคันหนึ่ง จิตส่งออกรับรูปรถสีแดงของรถนั้นมา เกิดเวทนาคือ รู้สึกพอใจในสีแดงของรูป จากนั้นสัญญาในอดีตคือ สีแดงของดอกชะบาได้เกิดขึ้น จึงปรุงแต่งต่อเป็นเรื่องราวของดอกชะบาในอดีตตอนเป็นนักเรียนเป็นเรื่องราวเป็นสังขาร มีอารมณ์เกิดขึ้นในใจเรียกว่าวิญญาณ ถ้าไม่มีสติรู้ในขณะนั้นแล้วดับความสืบต่อ แล้ววิญญานนั่นแหละเป็นรูปในขณะต่อเนื่องให้ขันธ์๕รอบต่อไปทำงาน และระหว่างขันธ์แต่ละขันธ์ อุปาทานในวงจรปฏิจจสมุปบาทได้ทำงานครบ จึงมีการสืบต่อ นี่คือประสบการณ์จริงเห็นได้จริงแยกได้จริง ***
เมื่อมีสติปกติในชีวิตประจำวัน ขันธ์๕ มักจะหยุดที่สัญญา ถ้าเลยนี้ไปแล้วมักจะปรุงแต่งเป็นเรื่องราว ถ้าก่อนนี้ก็ดับไปก่อน ไม่ทันเป็นนามรูป