ผมมีเรื่องที่อยากแชร์ เป็นเรื่องของตัวเอง ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น ที่กำลังท้อแท้
และ รู้สึกว่าตัวเอง ไม่มีอะไรก้าวหน้า หรือ รู้สึกว่ากำลังล้มเหลวกับชีวิต หรือมีอะไรที่ติดอยู่และไปต่อไม่ได้ ลองอ่านเรื่องผมดูครับ
เผื่อได้อะไรบ้างไม่มากก็น้อย
เรื่องราวที่ผมเจอนี้ เป็นเรื่องราว ใน 5 ปี ย้อนหลัง โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน
เมื่อปี 2556 กับ ความล้มเหลว ครั้งแรก
ผมได้ลาออกจากงาน โดยมีเงินเก็บเพียงเล็กน้อย (มีติดตัวหลังจากออกมาประมาณ 5 หมื่น)
โดยตั้งใจว่าจะมาเรียนต่อปริญญาโท ในสาขาที่หวังไว้ เพื่อไปต่อยอดงานที่เคยทำ โดยแรกเริ่ม
ผมคิดว่าจะหางานทำเล็กๆ เพื่อส่งตัวเองเรียนปริญญาโท แต่แล้วก็หางานทำไม่ได้ เงินที่เก็บ ก็เริ่มร่อยหรอ
จนเมื่อถึงเทอมที่ 2 ผมไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม เพราะ งานที่มีทำในช่วงระหว่างเรียนนั้น ก็ สามารถจ่ายได้เพียง แค่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น
และที่พึ่งสุดท้าย สำหรับ หนทางนี้ คือ ครอบครัว แน่นอนว่า แม่ของผม เห็นผม ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม แม่เลยต้องไป "กู้"
เพื่อเอาเงินมาให้ผมคนนี้เรียนหนังสือ
นี่เป็นความล้มเหลวครั้งแรกของผม (การจัดการด้านการเงินล้มเหลว)
ปี 2557 ครึ่งปีแรก กับความล้มเหลวครั้งที่ 2
ระหว่างที่ผมเรียนเทอมที่ 2 ผมก็มีโอกาสได้งาน พาร์ทไทม์ ทำ ซึ่ง สามารถแบ่งเวลาไปเรียนได้ และมีค่าใช้จ่ายเหลือสามารถพอจ่ายค่าเทอมได้
ระหว่างนั้นผมดีใจเพราะสัญญาที่ทำงานพาร์ทไทม์นั้น คือ 1 ปีและจะไม่ต้องลำบากแม่เรื่องค่าเทอมอีก
แต่แล้ว ผมเริ่มที่จะคบหากับผู้หญิงคนนึง ในระหว่างเรียนต่อโท ในตอนนั้น ผมมีความสุขมาก และการเรียนก็ไปได้สวย แต่ปัญหาเดียวที่เกิดขึ้น
คือ ผมไม่มีเงินเพียงพอจะจ่ายค่าเทอม สาเหตุก็มาจากที่ผมมีแฟนนั่นแหละครับ ผมใช้เงิน เปย์แฟน (ฟังไม่ผิดหรอกครับ คือเปย์แฟน ) จนไม่เหลือ
เงินที่จะจ่ายค่าเทอม เมื่อถึง เทอมที่ 3 ผมก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ทำให้ผมต้อง หลุดพ้นจากความเป็นนักศึกษา
นี่เป็นความล้มเหลวครั้งที่ 2 ของผม (การศึกษาล้มเหลว)
ปี 2557 ครึ่งปีหลัง กับความล้มเหลวครั้งที่ 3
เนื่องจาก ผมไม่มีเงินจ่าย ค่าเทอม ผมเลยเรียนไม่จบ แน่นอนว่าผมพยายามหาเงิน ทางอื่น แต่ ก็ไม่เพียงพอ ที่จะ เปย์แฟน และ ในตอนนั้น ผมพาแฟน
เข้าบ้าน เพราะต้องการจะบอกผู้ใหญ่ว่า เราตั้งใจคบคนนี้จริงจังนะ ทางบ้านผมเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเห็นว่าผมโตแล้ว และตัดสินใจได้แล้ว ซึ่ง
ในตอนนั้น ครอบครัวผมเขาไม่รู้ว่าผม หลุดพ้นจากความเป็นนักศึกษาแล้ว จนเรื่อง "มันถึงเวลาของมัน" ครอบครัวผมรู้ เขาเลยต่อว่า ผมว่า ทำไมมีรายได้
ถึงไม่ยอมจ่ายค่าเทอม ผมก็ได้แต่อ้ำอึ้งๆ แต่จนแล้ว ผู้ใหญ่ท่านก็รู้ ว่าสาเหตุมาจาก แฟนของผม นั่นทำให้ แฟน และแม่ของผม เริ่ม ไม่โอเคต่อกัน
และแม่ของผมเริ่มไม่อยากอยู่บ้าน เพราะผมพาแฟนเข้าบ้าน ความสัมพันธ์ของผมและแม่แย่ลงแบบไม่เคยมีในชีวิต
แน่นอนว่าความผิดทุกอย่างมันล้วนเกิดจากผม ทำให้ผมกับแม่เข้าหน้ากันไม่ติด และคุยกันยาก กว่าเมื่อก่อน ขณะเดียวกัน ผมกับแฟนก็เริ่มมีปัญหากัน
ซึ่งสาเหตุของปัญหา มีหลายอย่าง (ไม่ขอเล่านะครับ นึกแล้วมันปวดหัวใจ)
นี่นับเป็นความล้มเหลวครั้งที่ 3 ของผม (การรักษาความสัมพันธ์ล้มเหลว)
ปี 2558 กับความล้มเหลวครั้งที่ 4
นอกจากจะเข้าหน้าแม่ไม่ติดแล้ว ยัง ทะเลาะกับแฟนหนักมาก และแน่นอนครับ เมื่อทะเลาะกันกับแฟน คนเรามันมีทางเลือกให้ 2 ทางเลือก
1. คือ ไปต่อ
2. คือ ยุติความสัมพันธ์
แน่นอนครับ ผมพยายามดันทุรังเลือก ข้อที่ 1 (ผมใช้เวลาอยู่หลายเดือนเพื่อรักษาแฟนไว้)
แต่จนแล้วจนรอด มันไปต่อไม่ไหว มันเลยต้องจบที่การยุติความสัมพันธ์
ซึ่งในระหว่างนั้น ผมเคว้ง ไม่มีทางไหนให้ไป งานที่มีสัญญาอยู่ก็หมดสัญญา ทำให้ไม่มีรายได้ จะขอแม่ก็อายท่าน
ขณะเดียวกัน อยากจะกลับไป คุยกับแม่ แต่ ณ ตอนนั้น
แม่บอกกับผมว่า "เราเลือกทางของเราเอง ต่อไปนี้แม่จะไม่ยุ่ง อยู่ใครอยู่มัน เงินทองให้หากันเอาเอง แม่จะไม่ทิ้งอะไรไว้ให้ ถ้าได้ดีแม่ก็ดีใจ แต่ถ้าล้มกลับมา แม่จะขอช่วยลูกเพียงคนเดียว "
แน่นอนว่า นี่เป็นคำขาดของแม่ ที่ให้ไว้กับผม
เป็นความล้มเหลวครั้งที่ 4 (การฟื้นฟูความสัมพันธ์ล้มเหลว)
-------------------------------------------------------------------------------------------------
แทรกนิดนึง ที่ผมไม่พูดถึงพ่อ เพราะ พ่อกับแม่ผมเขาแยกทางกันตั้งแต่ผมยังเด็กน่ะครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ปี 2559 กับความล้มเหลวครั้งที่ 5
ในช่วงปี 2559 ผมกับแม่เริ่มได้มาคุยกันอีกครั้ง ภายหลังผมเลิกกับแฟน แน่นอนว่า ผมเองก็ยัง เคว้งๆ อยู่
ผมเลยไปหาอะไรทำ ไม่อยู่ในที่เก่าๆ ชวนให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ความรู้สึกผิดเก่าๆ
ผมเลยตัดสินใจไปอยู่สวน ซึ่งเป็นบ้านที่แม่ปลูกไว้เพื่อเกษียณตัวเอง แต่ไม่มีคนดูแลจริงจัง ไปดูบ้างเสาร์-อาทิตย์
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ก่อนเล่าผมขอ บอกคร่าวๆ ก่อนนะครับว่า สวนที่ผมอยู่ เป็นบ้านที่สร้างกลางป่าทึบ มีอาณาเขตทั้งหมด 7 ไร่ และมีที่นาอีก 3ไร่ ไม่มีไฟฟ้าใช้ มีปะปาเข้าถึง
แต่ก็เป็นส่วนปลายของปะปาหมู่บ้าน น้ำไหลมั่งไม่ไหลมั่ง บางวันน้ำไม่ไหล 3 วัน เขายังไม่มาซ่อม ส่วนถนนเป็นลูกรัง ห่างไกลจากหมู่บ้านประมาณ 2 กม.)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมเลยตัดสินใจไปเฝ้าสวน ซึ่งที่ผมตัดสินในมาจาก 2 สาเหตุ
1. ที่ผมไม่หางานทำเพราะผมไม่อยากอยู่ในวงจรเดิมๆ ของการทำงานเป็นลูกจ้าง (ไม่ได้ว่าอาชีพเป็นลูกจ้างไม่ดีนะครับ เพียงแต่ว่า ผมมองว่าผมไม่มีความสุขและอาจจะไม่เหมาะ กับอาชีพนี้นัก)
2. เพราะแม่จ้างให้ดูแลสวนให้เดือนละ 5 พันบาท
แน่นอนว่า มันลำบากมาก เวลาไม่มีไฟฟ้าใช้ จะรดน้ำต้นไม้ทีนึง ลากถังยาวเป็นครึ่ง กม. อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ปะปาไม่เอื้ออำนวยนัก ในระหว่างนั้น
ผมเริ่มพยายาม หางานอื่นทำ ไปด้วย เริ่มค้าขาย และ เริ่มได้คุยกับแม่มากขึ้น
พอเริ่มได้คุยกัน ด้วยความเป็นแม่-ลูก มันเลยจูนกันได้ง่าย และเริ่มพัฒนา พื้นที่สวนด้วยกัน
ผมเริ่ม ติดต่อขอไฟฟ้า และ ขอเจาะน้ำบาดาล และแน่นอนว่าแม่เป็นคนออกค่าใช้จ่าย (ผมจะมีได้ไงล่ะ เป็นลูกจ้างแม่อยู่เลย)
พอสวนเริ่มเข้าที่เข้าทาง ผมก็เริ่มออกไปหาทำธุรกิจของตัวเองโดยเริ่มขายของเข้าหน่วยงานรัฐ ผมไปด้วยความหวังและความมั่นใจว่า
การขายของเข้าหน่วยงานรัฐ มันจะเป็นรายได้ที่เลี้ยงผมได้ และผมจะไม่ต้องมาดูแลสวนอีก (แม่ชอบก็ชอบไป ผมไม่ได้ชอบนี่)
ครั้งแรกที่เสนอขายของเข้าหน่วยงานรัฐ ผมมีความรู้สึก เหมือน มวยเด็ก ที่ไปต่อยกับบัวขาว ผมลองขายทั้งหมด 10 หน่วยงาน และทุกที่ให้คำตอบ
กับผมเหมือนกันคือ "ไว้มาใหม่นะ ,โอกาสหน้านะ ,รองบหน้าจะเรียกนะ, มีเจ้าเดิมซื้ออยู่แล้วน่ะ , ลองไปขายที่อื่นดูนะ " นี่เป็นสิ่งที่ผมเจอ จากการขายของในช่วงครึ่งปีหลัง
นี่เป็นความล้มเหลวครั้งที่ 5 ของผม (ความล้มเหลวในการเริ่มต้นอาชีพใหม่)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ปี 2560 ความสำเร็จครั้งที่ 1
ภายหลังจาก ที่บ้านสวนผมเริ่มมีไฟฟ้าใช้ และมีน้ำบาดาลใช้ ทุกอย่างเริ่มสะดวกขึ้น
(พอมีไฟผมขอต่อเน็ตเป็นอย่างแรกเลย แต่เป็นเน็ต ไร้สายนะครับ บ้านผมเสาไฟฟ้ายังไม่ต่อเข้ามา ขนาดสายไฟยังอาศัยเกาะตามต้นไม้ริมทางเข้ามา)
ค่าใช้จ่ายที่ผมได้จากแม่ เริ่มเป็นเงินให้ผมทำทุนได้เล็กๆ (เพราะค่าครองชีพบ้านนอกมันต่ำมากเลย เงิน 3,000 ใช้ซื้อกินไม่หมด ทั้งเดือน อีกทั้ง ผมยังหาของกินได้จากสวนในบ้านด้วย)
ผมและแม่คุยกันได้มากขึ้น ผมปรึกษาท่านว่า ผมจะทำอะไรเป็นอาชีพ แม่ก็ให้คำแนะนำที่ดี รวมถึงมีทุนให้ผมทำมาหากิน
โดยเริ่มจาก ท่านซื้อรถกะบะมือสองเก่าๆ ให้ผม 1 คันไว้ทำมากิน และแล้ว ทุกอย่างมันเริ่มเปลี่ยน ตั้งแต่มีรถกะบะคันนี้
ดังกระทู้ที่ผมเคยโพสไว้เมื่อ เดือนธันวาคมปีที่แล้ว
อ้างอิง :
https://ppantip.com/topic/37196101
แน่นอนว่าที่ผิดใจกับแม่หายกลับมาเป็นปกติ ผมสามารถคุยกับแม่ได้ทุกเรื่อง
ซึ่งผมนับเป็นความสำเร็จอย่างแรกในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (กู้คืนความสัมพันธ์กับครอบครัว)
------------------------------------------------------------------------------------------------------
จนปัจจุบันนี้ ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวในตอนนั้น มันทำให้ผมมี
1. ผมมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการขายของเข้าหน่วยงานรัฐ
2. สวนที่ดูแลผลิดอก ออกพล และผมเริ่มมีรายได้ จากตรงนี้
3. ผมมีรถเพิ่มอีก 1 คัน ไว้ช่วยทำมาหากิน
4. ผมมีบริษัทเป็นของตัวเอง และ ขยายกิจการโดยเปิดสาขาที่ สอง เรียบร้อยแล้ว
5. ผมมีลูกค้าในหลายเป้าหมายมากขึ้น
6. ผมมีโอกาสได้เที่ยวต่างประเทศ และ มีโอกาสได้เที่ยวตามที่ใจอยาก
7. ผมเริ่มมองเห็นอนาคต และความก้าวหน้า
8. ผมได้รับการสนับสนุน นอกเหนือไปจาก แม่ ยังมี น้อง และเพื่อน
9. ผมมีสินค้าขายจากเดิม 1 รายการ ตอนนี้เป็น 400 รายการ
10. ผมมีความสุขมากขึ้น
หวังว่าเรื่องราวเหล่านี้ คงจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่านนะครับ
เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมา อัพเดตความคืบหน้าของบ้านสวนที่ผม ทำนะครับ เมื่อเที่ยบกับปี 60
ความคืบหน้าของสวนในปี 2562 นะครับ ล่าสุดเลย
https://ppantip.com/topic/39513583
ผมล้มเหลว มา 5 เรื่องใน 5 ปี /กับความสำเร็จเพียงอย่างเดียวที่เปลี่ยนชีวิต (ประสบการณ์ที่อยากแชร์)
และ รู้สึกว่าตัวเอง ไม่มีอะไรก้าวหน้า หรือ รู้สึกว่ากำลังล้มเหลวกับชีวิต หรือมีอะไรที่ติดอยู่และไปต่อไม่ได้ ลองอ่านเรื่องผมดูครับ
เผื่อได้อะไรบ้างไม่มากก็น้อย
เรื่องราวที่ผมเจอนี้ เป็นเรื่องราว ใน 5 ปี ย้อนหลัง โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน
เมื่อปี 2556 กับ ความล้มเหลว ครั้งแรก
ผมได้ลาออกจากงาน โดยมีเงินเก็บเพียงเล็กน้อย (มีติดตัวหลังจากออกมาประมาณ 5 หมื่น)
โดยตั้งใจว่าจะมาเรียนต่อปริญญาโท ในสาขาที่หวังไว้ เพื่อไปต่อยอดงานที่เคยทำ โดยแรกเริ่ม
ผมคิดว่าจะหางานทำเล็กๆ เพื่อส่งตัวเองเรียนปริญญาโท แต่แล้วก็หางานทำไม่ได้ เงินที่เก็บ ก็เริ่มร่อยหรอ
จนเมื่อถึงเทอมที่ 2 ผมไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม เพราะ งานที่มีทำในช่วงระหว่างเรียนนั้น ก็ สามารถจ่ายได้เพียง แค่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น
และที่พึ่งสุดท้าย สำหรับ หนทางนี้ คือ ครอบครัว แน่นอนว่า แม่ของผม เห็นผม ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม แม่เลยต้องไป "กู้"
เพื่อเอาเงินมาให้ผมคนนี้เรียนหนังสือ
นี่เป็นความล้มเหลวครั้งแรกของผม (การจัดการด้านการเงินล้มเหลว)
ปี 2557 ครึ่งปีแรก กับความล้มเหลวครั้งที่ 2
ระหว่างที่ผมเรียนเทอมที่ 2 ผมก็มีโอกาสได้งาน พาร์ทไทม์ ทำ ซึ่ง สามารถแบ่งเวลาไปเรียนได้ และมีค่าใช้จ่ายเหลือสามารถพอจ่ายค่าเทอมได้
ระหว่างนั้นผมดีใจเพราะสัญญาที่ทำงานพาร์ทไทม์นั้น คือ 1 ปีและจะไม่ต้องลำบากแม่เรื่องค่าเทอมอีก
แต่แล้ว ผมเริ่มที่จะคบหากับผู้หญิงคนนึง ในระหว่างเรียนต่อโท ในตอนนั้น ผมมีความสุขมาก และการเรียนก็ไปได้สวย แต่ปัญหาเดียวที่เกิดขึ้น
คือ ผมไม่มีเงินเพียงพอจะจ่ายค่าเทอม สาเหตุก็มาจากที่ผมมีแฟนนั่นแหละครับ ผมใช้เงิน เปย์แฟน (ฟังไม่ผิดหรอกครับ คือเปย์แฟน ) จนไม่เหลือ
เงินที่จะจ่ายค่าเทอม เมื่อถึง เทอมที่ 3 ผมก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ทำให้ผมต้อง หลุดพ้นจากความเป็นนักศึกษา
นี่เป็นความล้มเหลวครั้งที่ 2 ของผม (การศึกษาล้มเหลว)
ปี 2557 ครึ่งปีหลัง กับความล้มเหลวครั้งที่ 3
เนื่องจาก ผมไม่มีเงินจ่าย ค่าเทอม ผมเลยเรียนไม่จบ แน่นอนว่าผมพยายามหาเงิน ทางอื่น แต่ ก็ไม่เพียงพอ ที่จะ เปย์แฟน และ ในตอนนั้น ผมพาแฟน
เข้าบ้าน เพราะต้องการจะบอกผู้ใหญ่ว่า เราตั้งใจคบคนนี้จริงจังนะ ทางบ้านผมเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเห็นว่าผมโตแล้ว และตัดสินใจได้แล้ว ซึ่ง
ในตอนนั้น ครอบครัวผมเขาไม่รู้ว่าผม หลุดพ้นจากความเป็นนักศึกษาแล้ว จนเรื่อง "มันถึงเวลาของมัน" ครอบครัวผมรู้ เขาเลยต่อว่า ผมว่า ทำไมมีรายได้
ถึงไม่ยอมจ่ายค่าเทอม ผมก็ได้แต่อ้ำอึ้งๆ แต่จนแล้ว ผู้ใหญ่ท่านก็รู้ ว่าสาเหตุมาจาก แฟนของผม นั่นทำให้ แฟน และแม่ของผม เริ่ม ไม่โอเคต่อกัน
และแม่ของผมเริ่มไม่อยากอยู่บ้าน เพราะผมพาแฟนเข้าบ้าน ความสัมพันธ์ของผมและแม่แย่ลงแบบไม่เคยมีในชีวิต
แน่นอนว่าความผิดทุกอย่างมันล้วนเกิดจากผม ทำให้ผมกับแม่เข้าหน้ากันไม่ติด และคุยกันยาก กว่าเมื่อก่อน ขณะเดียวกัน ผมกับแฟนก็เริ่มมีปัญหากัน
ซึ่งสาเหตุของปัญหา มีหลายอย่าง (ไม่ขอเล่านะครับ นึกแล้วมันปวดหัวใจ)
นี่นับเป็นความล้มเหลวครั้งที่ 3 ของผม (การรักษาความสัมพันธ์ล้มเหลว)
ปี 2558 กับความล้มเหลวครั้งที่ 4
นอกจากจะเข้าหน้าแม่ไม่ติดแล้ว ยัง ทะเลาะกับแฟนหนักมาก และแน่นอนครับ เมื่อทะเลาะกันกับแฟน คนเรามันมีทางเลือกให้ 2 ทางเลือก
1. คือ ไปต่อ
2. คือ ยุติความสัมพันธ์
แน่นอนครับ ผมพยายามดันทุรังเลือก ข้อที่ 1 (ผมใช้เวลาอยู่หลายเดือนเพื่อรักษาแฟนไว้)
แต่จนแล้วจนรอด มันไปต่อไม่ไหว มันเลยต้องจบที่การยุติความสัมพันธ์
ซึ่งในระหว่างนั้น ผมเคว้ง ไม่มีทางไหนให้ไป งานที่มีสัญญาอยู่ก็หมดสัญญา ทำให้ไม่มีรายได้ จะขอแม่ก็อายท่าน
ขณะเดียวกัน อยากจะกลับไป คุยกับแม่ แต่ ณ ตอนนั้น
แม่บอกกับผมว่า "เราเลือกทางของเราเอง ต่อไปนี้แม่จะไม่ยุ่ง อยู่ใครอยู่มัน เงินทองให้หากันเอาเอง แม่จะไม่ทิ้งอะไรไว้ให้ ถ้าได้ดีแม่ก็ดีใจ แต่ถ้าล้มกลับมา แม่จะขอช่วยลูกเพียงคนเดียว "
แน่นอนว่า นี่เป็นคำขาดของแม่ ที่ให้ไว้กับผม
เป็นความล้มเหลวครั้งที่ 4 (การฟื้นฟูความสัมพันธ์ล้มเหลว)
-------------------------------------------------------------------------------------------------
แทรกนิดนึง ที่ผมไม่พูดถึงพ่อ เพราะ พ่อกับแม่ผมเขาแยกทางกันตั้งแต่ผมยังเด็กน่ะครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ปี 2559 กับความล้มเหลวครั้งที่ 5
ในช่วงปี 2559 ผมกับแม่เริ่มได้มาคุยกันอีกครั้ง ภายหลังผมเลิกกับแฟน แน่นอนว่า ผมเองก็ยัง เคว้งๆ อยู่
ผมเลยไปหาอะไรทำ ไม่อยู่ในที่เก่าๆ ชวนให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ความรู้สึกผิดเก่าๆ
ผมเลยตัดสินใจไปอยู่สวน ซึ่งเป็นบ้านที่แม่ปลูกไว้เพื่อเกษียณตัวเอง แต่ไม่มีคนดูแลจริงจัง ไปดูบ้างเสาร์-อาทิตย์
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ก่อนเล่าผมขอ บอกคร่าวๆ ก่อนนะครับว่า สวนที่ผมอยู่ เป็นบ้านที่สร้างกลางป่าทึบ มีอาณาเขตทั้งหมด 7 ไร่ และมีที่นาอีก 3ไร่ ไม่มีไฟฟ้าใช้ มีปะปาเข้าถึง
แต่ก็เป็นส่วนปลายของปะปาหมู่บ้าน น้ำไหลมั่งไม่ไหลมั่ง บางวันน้ำไม่ไหล 3 วัน เขายังไม่มาซ่อม ส่วนถนนเป็นลูกรัง ห่างไกลจากหมู่บ้านประมาณ 2 กม.)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมเลยตัดสินใจไปเฝ้าสวน ซึ่งที่ผมตัดสินในมาจาก 2 สาเหตุ
1. ที่ผมไม่หางานทำเพราะผมไม่อยากอยู่ในวงจรเดิมๆ ของการทำงานเป็นลูกจ้าง (ไม่ได้ว่าอาชีพเป็นลูกจ้างไม่ดีนะครับ เพียงแต่ว่า ผมมองว่าผมไม่มีความสุขและอาจจะไม่เหมาะ กับอาชีพนี้นัก)
2. เพราะแม่จ้างให้ดูแลสวนให้เดือนละ 5 พันบาท
แน่นอนว่า มันลำบากมาก เวลาไม่มีไฟฟ้าใช้ จะรดน้ำต้นไม้ทีนึง ลากถังยาวเป็นครึ่ง กม. อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ปะปาไม่เอื้ออำนวยนัก ในระหว่างนั้น
ผมเริ่มพยายาม หางานอื่นทำ ไปด้วย เริ่มค้าขาย และ เริ่มได้คุยกับแม่มากขึ้น
พอเริ่มได้คุยกัน ด้วยความเป็นแม่-ลูก มันเลยจูนกันได้ง่าย และเริ่มพัฒนา พื้นที่สวนด้วยกัน
ผมเริ่ม ติดต่อขอไฟฟ้า และ ขอเจาะน้ำบาดาล และแน่นอนว่าแม่เป็นคนออกค่าใช้จ่าย (ผมจะมีได้ไงล่ะ เป็นลูกจ้างแม่อยู่เลย)
พอสวนเริ่มเข้าที่เข้าทาง ผมก็เริ่มออกไปหาทำธุรกิจของตัวเองโดยเริ่มขายของเข้าหน่วยงานรัฐ ผมไปด้วยความหวังและความมั่นใจว่า
การขายของเข้าหน่วยงานรัฐ มันจะเป็นรายได้ที่เลี้ยงผมได้ และผมจะไม่ต้องมาดูแลสวนอีก (แม่ชอบก็ชอบไป ผมไม่ได้ชอบนี่)
ครั้งแรกที่เสนอขายของเข้าหน่วยงานรัฐ ผมมีความรู้สึก เหมือน มวยเด็ก ที่ไปต่อยกับบัวขาว ผมลองขายทั้งหมด 10 หน่วยงาน และทุกที่ให้คำตอบ
กับผมเหมือนกันคือ "ไว้มาใหม่นะ ,โอกาสหน้านะ ,รองบหน้าจะเรียกนะ, มีเจ้าเดิมซื้ออยู่แล้วน่ะ , ลองไปขายที่อื่นดูนะ " นี่เป็นสิ่งที่ผมเจอ จากการขายของในช่วงครึ่งปีหลัง
นี่เป็นความล้มเหลวครั้งที่ 5 ของผม (ความล้มเหลวในการเริ่มต้นอาชีพใหม่)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ปี 2560 ความสำเร็จครั้งที่ 1
ภายหลังจาก ที่บ้านสวนผมเริ่มมีไฟฟ้าใช้ และมีน้ำบาดาลใช้ ทุกอย่างเริ่มสะดวกขึ้น
(พอมีไฟผมขอต่อเน็ตเป็นอย่างแรกเลย แต่เป็นเน็ต ไร้สายนะครับ บ้านผมเสาไฟฟ้ายังไม่ต่อเข้ามา ขนาดสายไฟยังอาศัยเกาะตามต้นไม้ริมทางเข้ามา)
ค่าใช้จ่ายที่ผมได้จากแม่ เริ่มเป็นเงินให้ผมทำทุนได้เล็กๆ (เพราะค่าครองชีพบ้านนอกมันต่ำมากเลย เงิน 3,000 ใช้ซื้อกินไม่หมด ทั้งเดือน อีกทั้ง ผมยังหาของกินได้จากสวนในบ้านด้วย)
ผมและแม่คุยกันได้มากขึ้น ผมปรึกษาท่านว่า ผมจะทำอะไรเป็นอาชีพ แม่ก็ให้คำแนะนำที่ดี รวมถึงมีทุนให้ผมทำมาหากิน
โดยเริ่มจาก ท่านซื้อรถกะบะมือสองเก่าๆ ให้ผม 1 คันไว้ทำมากิน และแล้ว ทุกอย่างมันเริ่มเปลี่ยน ตั้งแต่มีรถกะบะคันนี้
ดังกระทู้ที่ผมเคยโพสไว้เมื่อ เดือนธันวาคมปีที่แล้ว
อ้างอิง : https://ppantip.com/topic/37196101
แน่นอนว่าที่ผิดใจกับแม่หายกลับมาเป็นปกติ ผมสามารถคุยกับแม่ได้ทุกเรื่อง
ซึ่งผมนับเป็นความสำเร็จอย่างแรกในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (กู้คืนความสัมพันธ์กับครอบครัว)
------------------------------------------------------------------------------------------------------
จนปัจจุบันนี้ ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวในตอนนั้น มันทำให้ผมมี
1. ผมมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการขายของเข้าหน่วยงานรัฐ
2. สวนที่ดูแลผลิดอก ออกพล และผมเริ่มมีรายได้ จากตรงนี้
3. ผมมีรถเพิ่มอีก 1 คัน ไว้ช่วยทำมาหากิน
4. ผมมีบริษัทเป็นของตัวเอง และ ขยายกิจการโดยเปิดสาขาที่ สอง เรียบร้อยแล้ว
5. ผมมีลูกค้าในหลายเป้าหมายมากขึ้น
6. ผมมีโอกาสได้เที่ยวต่างประเทศ และ มีโอกาสได้เที่ยวตามที่ใจอยาก
7. ผมเริ่มมองเห็นอนาคต และความก้าวหน้า
8. ผมได้รับการสนับสนุน นอกเหนือไปจาก แม่ ยังมี น้อง และเพื่อน
9. ผมมีสินค้าขายจากเดิม 1 รายการ ตอนนี้เป็น 400 รายการ
10. ผมมีความสุขมากขึ้น
หวังว่าเรื่องราวเหล่านี้ คงจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่านนะครับ
เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมา อัพเดตความคืบหน้าของบ้านสวนที่ผม ทำนะครับ เมื่อเที่ยบกับปี 60
ความคืบหน้าของสวนในปี 2562 นะครับ ล่าสุดเลย https://ppantip.com/topic/39513583