JJNY : 4in1 พธ.เลือกสมพงษ์นั่ง หน./ยังไม่ลาออก!"กอบศักดิ์"แจง/ชี้แรงงานไทยค่าแรงน้อยเป็นหนี้/สถานทูตจีนจี้เหตุ นทท.จีน

กระทู้คำถาม
เพื่อธรรม คึกคัก เลือก"สมพงษ์ อมรวิวัฒน์" นั่งหน.พรรค โต้เป็นพรรคสำรองเพื่อไทย
https://www.matichon.co.th/politics/news_1155531

“สมพงษ์ “นั่งเก้าอี้วหัวหน้าพรรคเพื่อธรรมคนใหม่ สมาชิกลงมติเลือกคณะกรรมการบริหาร 7 คน ลั่นไม่ขอเป็นพรรคสำรองเพื่อไทย ปัด “สมชาย” เข้ามายุ่งเกี่ยวบอกเลือกตั้ง ส.ส.ส่งครบทุกเขต ชี้เพื่อไทยเป็นพันธมิตร หากมีอุดมการณ์คล้ายกัน ยันไม่เอาเผด็จการ หนุน ปชต.ให้ ปชช.มีส่วนร่วมการเมืองมากสุด

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 30 กันยายน 2561 ที่โรงแรมเชียงใหม่ออคิด อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พล.ต.ต.จรัญ ธิตะปัญญา รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อธรรม นาย ไพบูลย์ โตวิริยะเวช รักษาการกรรมการบริหารพรรค พ.ต.อ.มานัส ศัตรูลี้ รักษาการเลขาธิการพรรค และนายธวัชชัย ไทยเจียมอารีย์ รักษาการเหรัญญิกพรรค ได้ประชุมใหญ่สามัญประจำปี ก่อนรับรองรายงานการประชุมใหญ่สามัญพรรคเพื่อธรรม พ.ศ.2557 วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2557 จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ และจัดทำคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมือง และนโยบายพรรค ให้ถูกต้องตามกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และสอดคล้องกับกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ส.ส.) ก่อนเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ มีนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต ส.ส.เชียงใหม่ หลายสมัย พ.ต.อ.สนธยา แสนเภา อดีต ส.ว.สรรหา 2 สมัย นางศุภกานต์ สุประการ สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ อ.สารภี เขต 1 น.ส.อนรรฆวี จำรัสวุฒิกุล ส.อบจ. อ.สันกำแพง เขต 1 นายมนูญ บูรณพัฒนา นายกเทศมนตรี ตำบลยางเนิ้ง อ.สารภี นายจรัส ไชยยา อดีตนายกเทศมนตรีเมืองเมืองแกนพัฒนา อ.แม่แตง พร้อมสมาชิก เข้าร่วมกว่า 400 คน โดยใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงแล้วเสร็จ

ทั้งนี้ผลการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ สมาชิกได้ลงมติ เลือกนายสมพงษ์ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ด้วยคะแนนเสียง 296 เสียง ส่วนคณะกรรมการบริหารพรรคอีก 6 คน ประกอบ นางนลินี ทวีสิน เป็นรองหัวหน้าพรรคนายพงศกร อรรณนพพร เลขาธิการพรรค นายไพบูลย์ โตวิริยะเวช รองเลขาธิการพรรค นายธวัชชัย ไทยเจียมอารีย์ เหรัญญิกพรรค ว่าที่ ร.ต.หญิงจุฑามาส ทัดดี นายทะเบียนพรรค และนายเอรวัน ทับพล เป็นโฆษกพรรค รวมเป็น 7 คน ก่อนนายสมพงษ์ นำคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ชูมือ และแสดงความยินดีซึ่งกันและกัน มี พ.ต.ท.ปกรณ์กฤษณ์ ใหญ่โต พนักงานการเลือกตั้ง (ชำนาญการ) ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้างานพรรคการเมือง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)จังหวัดเชียงใหม่ เข้าร่วมสังเกตการณ์ประชุม และเลือกตั้งดังกล่าว

จากนั้นนายสมพงษ์ พร้อมคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ได้แถลงข่าว ว่าที่ประชุมใหญ่มีมติ เลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ เพียง 7 คนก่อน และเพิ่มให้ครบ 15 คนภายหลัง หากมีคนใหม่เข้ามาอาจมีการสับเปลี่ยนตำแหน่งตามความเหมาะสม แต่ไม่มีแนวคิดเปลี่ยนหรือโหวตหัวหน้าพรรคใหม่ เพราะใช้เวลาพอสมควรกว่าจะถึงวันนี้ และมีความพร้อมเลือกตั้งมานานแล้ว คนลงการเมืองต้องมีความพร้อมตลอดเวลา ส่วนตัวเคยเป็นผู้แทน หรือ ส.ส.เชียงใหม่ มากว่า 30 ปีแล้ว ดังนั้นคนที่มาร่วมงานมีอุดมการณ์ที่เหมือนกัน และความพร้อมรับใช้ประชาชน

“ยืนยันพรรคเพื่อธรรม ไม่ได้เป็นพรรคสำรองเพื่อไทย เหตุที่มาประชุมที่เชียงใหม่ เพราะว่ามีสมาชิกพรรคมากที่สุดในประเทศ กว่า 800 คนอาทิ อ.แม่ริม อ.แม่แตง อ.สันกำแพง นอกนั้นกระจายทุกภาค ส่วนนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ บุตรชายที่เป็นอดีต ส.ส.เชียงใหม่ เขต 6 แต่เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยนั้น ให้อิสระทางความคิดและการเมือง แต่อาจมาร่วมงานกันภาย หลังได้ หากเขตเลือกตั้งมีผู้สมัครของเพื่อไทยเต็มพื้นที่แล้ว” นายสมพงษ์ กล่าว




ยังไม่ลาออก! "กอบศักดิ์" แจงรอเวลาเหมาะสม ยัน ไม่ใช้อำนาจรัฐเอาเปรียบคู่แข่ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_1155682

“กอบศักดิ์” แจง​ รายชื่อว่าที่ผู้สมัคร​ส.ส.พลังประชารัฐ ตามข่าว​ ไม่ใช่เรื่องจริง​ ชี้​ พรรคเพิ่งตั้งแค่วันเดียว มีขั้นตอนอีกเพียบ​ ยัน​ 4 รมต.พปชร.​ ยังไม่ลาออก​-พร้อมถูกตรวจสอบ

เมื่อวันที่ 30 กันยายน​ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรี​ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะว่าที่โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีการเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้ 4 รัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง เพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบ หลังจากประกาศตัวร่วมงานกับพปชร.อย่างเต็มตัว ว่า

ขอยืนยันตามที่นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​อุตสาหกรรม ว่าที่หัวหน้าพรรค ได้ประกาศไว้ว่า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะมาสวมหมวกเพียงใบเดียวคือ พลังประชารัฐ​ ส่วนที่เกรงกันว่า 4 รัฐมนตรีของพรรคจะใช้อำนาจต่างๆ เป็นการเอาเปรียบคู่แข่งทางการเมืองนั้น นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ทั้งว่าที่หัวหน้าพรรค ทั้งนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​พาณิชย์​ ว่าที่เลขาธิการพรรค ทั้งนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ว่าที่รองหัวหน้าพรรค ก็ยืนยันว่าจะไม่มีการใช้เวลาและทรัพยากรต่างๆ ของรัฐไปเอาเปรียบพรรคอื่นๆ




นักเศรษฐศาสตร์ชี้แรงงานไทยค่าแรงน้อยเป็นหนี้ถึง 96-97%
https://prachatai.com/journal/2018/09/78916

นักเศรษฐศาสตร์ระบุครัวเรือนไทยกว่า 49% หรือ 10 ล้านครัวเรือนเป็นหนี้ 4.9% เป็นหนี้นอกระบบที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แรงงานไทยที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาทต่อครัวเรือน เป็นหนี้ถึง 96-97% (มูลค่าเฉลี่ย 130,000 บาท) โดยเป็นหนี้นอกระบบ 53-54% และ 78-79% เคยผิดนัดชำระหนี้ เจ้าหนี้นอกระบบมักเอารัดเอาเปรียบมีการคิดดอกเบี้ยถึง 20-30% ต่อเดือน

30 ก.ย. 2561 ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงในไตรมาสสี่ จึงไม่มีความจำเป็นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องรีบปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายช่วงปลายปี แม้นธนาคารกลางสหรัฐฯปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกในช่วงเดือนธันวาคม ก็จะไม่มีผลต่อกระแสเงินไหลออกมากนัก ตลาดการเงินไทยยังมีความน่าสนใจในการลงทุน การมีความชัดเจนในเรื่องการเลือกตั้งก็ส่งผลให้ความมั่นใจของนักลงทุนเพิ่มขึ้น การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) จะขยายตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้าหลังจากกระบวนการเจรจาข้อตกลงทางการค้าสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโดยภาพรวม

อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในระบบธนาคารและสถาบันการเงิน จึงทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทำให้ครัวเรือนไทยเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้น้อยลง จึงไปก่อหนี้นอกระบบมากขึ้น ครัวเรือนไทยกว่า 49% หรือ 10 ล้านครัวเรือนเป็นหนี้ หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้คนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบ และ ภาคธุรกิจก็มีต้นทุนทางการเงินเพิ่มสูงขึ้น

แรงงานไทยที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาทต่อครัวเรือน เป็นหนี้ถึง 96-97% (มูลค่าเฉลี่ย 130,000 บาท) โดยเป็นหนี้นอกระบบ 53-54% และ 78-79% เคยผิดนัดชำระหนี้ เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้การผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นไปอีกและหนี้เสียในระบบสถาบันการเงินจะเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะธนาคารเฉพาะกิจของรัฐที่ต้องตอบสนองนโยบายของรัฐในการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและธุรกิจ SMEs ขณะนี้ยอดปรับโครงสร้างหนี้ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประมาณ 40% ของหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้จะกลับมาเป็นหนี้เสียหรือเอ็นพีแอล แม้นตัวเลขเอ็นพีแอลในระบบยังค่อนข้างต่ำแต่เริ่มมีสัญญาณฟองสบู่

อสังหาริมทรัพย์รวมทั้งหนี้เสียที่อยู่อาศัยและหนี้เสียสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น โดยที่หนี้เสียที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ที่เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้จะเป็นกลุ่มคนอายุระหว่าง 40-53 ปี (เจนเอ็กซ์)  

การก่อหนี้ของครัวเรือนส่วนใหญ่จะใช้ไปเพื่อ การอุปโภคบริโภค การซื้อบ้านและที่ดิน และเพื่อการลงทุนและประกอบอาชีพ การกู้เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ค่าการศึกษาบุตร และ ค่ารักษาพยาบาล อีกด้วย

เจ้าหนี้นอกระบบมักเอารัดเอาเปรียบ มีการคิดดอกเบี้ยถึง 20-30% ต่อเดือน และมักคิดดอกเบี้ยทบต้นทบดอกในเวลาที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ทันตามกำหนด ทำให้ลูกหนี้ต้องกลายเป็นผู้ที่มีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม อีกทั้งเจ้าหนี้นอกระบบยังใช้วิธีการทวงหนี้ที่รุนแรง เช่น การใช้กำลังข่มขู่ หรือทำให้ลูกหนี้อับอายด้วยวิธีอื่น ๆ การเอารัดเอาเปรียบและวิธีการทวงหนี้ที่รุนแรงนี้ทำให้เกิดปัญหาทางสังคมติดตามมา
    
ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวเสนอแนะว่าต้องมีนโยบายให้ประชาชนเข้าถึงการใช้บริการทางการเงินและเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้นและเปลี่ยนหนี้นอกระบบมาเป็นหนี้ในระบบ การปล่อยให้ดอกเบี้ยลอยตัวในระบบสถาบันการเงินเพื่อให้การคิดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามความเสี่ยงของลูกหนี้จะช่วยบรรเทาปัญหาการเป็นหนี้นอกระบบได้ระดับหนึ่ง ส่งเสริมการแข่งขันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในระบบสถาบันการเงินและเข้าถึงบริการการเงินได้ทั่วถึงครอบคลุมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องไม่แข่งขันกันจนเกินพอดีจนเกิดความเสี่ยงต่อระบบ นอกจากนี้ ควรบูรณาการการกำกับดูแลระบบสถาบันการเงินให้เชื่อมโยงกันมากขึ้นและก่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเสถียรภาพกับนวัตกรรมทางการเงินที่อาจนำมาสู่ความเสี่ยงของระบบการเงิน วิกฤติสถาบันการเงินหากจะเกิดขึ้นในอนาคต ความอ่อนไหวจะไม่ได้อยู่ที่ระบบธนาคารพาณิชย์ หากจะอยู่ที่ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ สหกรณ์ออมทรัพย์และnon-bank ต่างๆ รวมทั้งการเก็งกำไรในนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ เช่น Cryptocurrency
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่