เพื่อนพี่น้องครับ....กรรมการเพิ่งได้ ถุงมือเรื่องสั้น "จานด่วน" มาสดๆร้อนๆ (เข้าใจว่า จขถม. ไม่ทราบว่าเป็นวีคสุดท้าย)
ครั้นจะไว้เล่นในเกมใหญ่ก็ไม่ได้ เพราะ จขถม. แต่งมาจนจบ (เกมใหญ่จะแต่งกันคนละครึ่งแบบเกมถุงมือกวี "ใครแต่งใครต่อ" ที่เคยเล่นกันปีที่แล้วครับ)
และกรรมการก็ไม่ต้องการ "ต่อเวลาพิเศษ" จนล่วงเลยเดือนกันยายนด้วย
เพราะฉะนั้น จึงขอนำเรื่องสั้นเรื่องนี้ มาลงปิดท้ายวีคสุดท้ายของ THE WEEKLY GLOVES ก็แล้วกัน และคุยกับ จขถม. แล้ว ก็ไม่มีปัญหาแต่ประการใด
เรามาอ่านเรื่องนี้ไป พร้อมๆ กันเลยครับ สดๆร้อนๆ จริงๆ กรรมการก็ยังไม่ได้อ่านครับผม
อ่านจบก็จัดเกรดมาเลยเน้อ ก่อนจะตอบ...อ้อ กรรมการจะให้ภาพปริศนาหลังจากวางกระทู้ ไม่เกินเที่ยงคืนๆนี้ครับผม
สรุปแล้ว เรามี 12 กระทู้ ส่งท้ายไตรมาสที่สามไตรมาสสุดท้ายของ THE WEEKLY GLOVES ครับ !
ตายแล้วไปไหน
นักศึกษาหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้าพลางครุ่นคิด นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่เขาคิดเรื่องนี้ คงไม่มีใครรู้คำตอบหรอกว่าตายแล้วไปไหน เพราะคนเราทุกคนไม่เคยตาย
แต่ไอ้ความคิดเรื่องตายแล้วไปไหนมักวนเวียนมาอยู่ในหัวของนักศึกษาหนุ่มที่ชื่อ อรัญ คนนี้เสมอ ทว่าการหาคำตอบของคำถามนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
ใครจะยอมตาย
ถ้าตายไปแล้วเราจะยังรู้สึกถึงคำตอบอยู่หรือเปล่า
“เฮ้ย อรัญ มานั่งเหม่ออะไรไม่เข้าเรียนเหรอ”
เสียงของนักศึกษาชายอีกคนทักเขาจนหลุดในภวังค์ เขาคนนี้เดินมาเห็นอรัญนั่งเหม่อมองฟ้าไม่ยอมเข้าเรียนทั้งที่ได้เวลาเลยทักขึ้นมา
อรัญหันมองเขา คลี่ยิ้มแบบนิ่ง ๆ
“แล้วแกล่ะปราชญ์ มาสายตรงเวลาเสมอนะ” อรัญบอกกับเขา
ปราชญ์หัวเราะในคอเบา ๆ นั่งลงตรงตำแหน่งที่ว่างอยู่ “ตกลงจะสายหรือตรงเวลา?”
“สายตรงเวลา” อรัญบอกต่อ เขากับปราชญ์ถือเป็นเพื่อนที่สนิทกัน จริง ๆ ทั้งคู่ก็ชอบเข้าห้องเรียนสายเป็นประจำ ถ้านับแล้วก็เข้าสายทั้งคู่นั่นแหละ “เอ่อ แล้วที่แกบอกว่าคืนนี้แกจะชวนฉันไป จะชวนไปไหนเหรอ”
ปราชญ์ยิ้มอย่างมีเลศนัย “เรื่องนั้นขออุ๊บไว้ก่อน รับรองนายสนุกแน่ ไว้ถึงเวลาฉันจะโทรบอกละกัน เข้าห้องเรียนเถอะ”
“อืม ๆ” อรัญพยักหน้ารับ กำลังจะลุกขึ้นต่อ แต่ว่า
“เดี๋ยวก่อน!”
ปราชญ์ขัดขึ้นมา เขาไม่ได้พูดต่อ กลับลุกขึ้นแล้วเดินไปทางนักศึกษาชายคนหนึ่งที่กำลังเก็บอะไรบางอย่างอยู่
หนุ่มผมตั้งก้าวเดินไปพร้อมรอยยิ้ม ทันทีที่ชายคนนั้นเก็บบางอย่างนั้นขึ้นมาในมือ เขาก็พูดขึ้นว่า
“อยู่นี่เอง หาตั้งนาน”
ชายที่เก็บของหันไปหาปราชญ์ นิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายกำลังคิดทบทวนในใจ แล้วปราชญ์ก็ไม่รอให้เขาคิดนาน เอ่ยต่อว่า
“ขอบคุณนะครับที่เก็บไว้ให้ เงินผมตก ผมหาอยู่ตั้งนาน”
ปราชญ์ยื่นมือไปหานักศึกษาชายผู้นั้นทันที สิ่งที่เขาเก็บคือ ธนบัตรราคา 1000 บาท ชายผู้เก็บเงินได้นิ่งไปอีกครู่หนึ่ง จ้องหน้าหนุ่มผมตั้ง สุดท้ายต้องยอมส่งเงินให้กับปราชญ์ไป
“ขอบคุณมาก ๆ นะครับ”
ปราชญ์กล่าวขอบคุณอีกครั้ง หันหลังเดินกลับไปทันที
แต่ว่าปราชญ์ทำเงินตกจริง ๆ หรือ เงินของเขาหายไปหรือ ทำไมเขาถึงไม่ได้ลุกขึ้นตั้งแต่ทีแรก
อรัญครุ่นคิดเล็กน้อยกับการกระทำของปราชญ์ เขาย่อมรู้ว่าเงินหนึ่งพันนี้ปราชญ์ไม่ได้ทำตก นี่มันเป็นการหลอกเอาเงินจากนักศึกษาคนนั้นชัด ๆ
“นี่แกไปหลอกเอาเงินเค้าใช่ไหม” อรัญถามทันทีที่ปราชญ์เดินกลับมาถึง
“ไม่ได้หลอกหรอกนะ” ปราญช์ยิ้ม “คนแค่หาเรื่องเปลี่ยนคนโชคดีให้กลายเป็นฉันต่างหากล่ะ”
“แกนี่มันร้ายกาจ” อรัญบอก
“แต่ฉันไม่เอาเงินนี้ไว้หรอก เพราะเงินนี้มันเป็นสะพานสร้างความสัมพันธ์ของฉันกับใครบางคน” ปราชญ์พูดจบ ก็เดินไปหานักศึกษาสาวร่างเล็กคนหนึ่ง ที่กำลังเดินก้มหน้าก้มตาคล้ายหาอะไรบางอย่างอยู่
นักศึกษาสาวคนนี้น่ารักใช้ได้เลย ขาวหมวยผมสั้น ก้าวเดินไปมาคล่องแคล่วพอสมควร
“ของคุณใช่ไหมครับ” ปราชญ์ถามพร้อมรอยยิ้ม ยื่นแบงค์พันไปทางเธอ
“คุณเจอเหรอ โชคดีจัง” นักศึกษาสาวตอบรับด้วยความดีใจ “ฉันกำลังหาอยู่เลย ขอบคุณนะคะ”
ปราชญ์ยิ้มรับ ส่งแบงค์พันให้เธอ “ไม่เป็นไรครับ ผมเห็นคุณเดินก้มหน้าเหมือนหาอะไรสักอย่างมาสักพักแล้ว บังเอิญผมเจอแบงค์พันนี่พอดี คิดว่าน่าจะเป็นของคุณแน่ ๆ”
“ขอบคุณมากเลยค่ะ” นักศึกษาสาวยิ้มตอบ “คุณเป็นคนดีมาก ๆ เลย เป็นคนอื่นเจอเงินแบบนี้ ไม่เอามาคืนหรอก”
“เงินมันไม่ใช่ผมของผม ผมไม่เอาหรอกครับ” ปราชญ์ตอบ “ผมคิดว่าบางทีแบงค์พันนี้อาจจะสำคัญมาก ๆ สำหรับบางคน เราเอามาคืนเจ้าของน่าจะดีกว่า”
นักศึกษาสาวยิ้มกว้างอีก เธอไม่คิดว่าจะมีคนรุ่นเดียวกับเธอคิดอ่านเช่นนี้
“คุณชื่ออะไรเหรอ” เธอถาม
“ปราชญ์ครับ แล้วเธอล่ะ”
“ฮิบี้ค่ะ” นักศึกษาสาวตอบ
“ไม่เป็นไรครับ แต่ชื่อฮิบี้เหรอ เป็นลูกครึ่งหรือเปล่า” ปราชญ์ถาม
“ใช่ค่ะ เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น ยังไงขอบคุณปราชญ์มากเลยนะ ไว้เราเลี้ยงขนมเป็นการขอบคุณดีไหม”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมขอแค่เบอร์หรือไลน์ฮิบี้ล่ะกัน ถือว่าเราสองคนได้รู้จักกัน ยินดีที่รู้จักนะครับ” ปราชญ์พูด พร้อมทั้งเอามือถือของตัวเองส่งไปให้ฮิบี้ด้วย
“เอ่อ ยินดีค่ะ” ฮิบี้รับมือถือมา กดเบอร์โทรให้ปราญช์ไป “ไอดีไลน์ใช้เบอร์เลยนะคะ”
“ครับ” ปราชญ์รับมือถือกลับมา “ไว้เจอกันใหม่นะครับ”
นักศึกษาหนุ่มโบกมือลาให้เธอ เดินกลับไปหาอรัญที่ดูเหตุการณ์ที่เขาทำโดยตลอด
“ไอ้ปราชญ์… เอาอีกแล้วนะ”
ปราชญ์ยิ้มยียวนให้เพื่อนไม่ตอบโดยทันที หยิบเอกสารประกอบการเรียนที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วค่อยพูดออกมาว่า
“ธรรมดาของคนช่างสังเกตว่ะ เข้าเรียนกันดีกว่า สายแล้ว”
“นัดแล้วมาช้าทุกที”
อรัญบ่นขึ้นมาเบา ๆ เขายืนรอเพื่อนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ แต่ว่าการแต่งตัวของเขาตอนนี้ไม่ใช่ชุดนักศึกษา เสื้อผ้าหน้าผมออกจะดูดีมากกว่าปกติ มีฉีดน้ำหอมอีกต่างหาก
ชายหนุ่มเอามือถือขึ้นมาโทรหาปราชญ์อีกครั้ง ทำให้รู้ว่าปราชญ์กำลังขับรถมายังจุดนัดนี้
“โทษทีที่ช้า”
ปราชญ์เอ่ยทันทีที่รับอรัญขึ้นรถ เขาเองก็แต่งตัวด้วยชุดหล่อ เซ็ตผมตั้งไว้อย่างดี แถมรถที่เขาขับมาก็ไม่ใช่รถบ้านทั่วไปอีกด้วย
“ตกลงแกจะชวนฉันไปไหน” อรัญถามเขา
“ที่ ๆ สนุกไง พอดีฉันไปเจอผับหนึ่ง ผู้หญิงในนั้นแจ่มมากมาย เราไปเที่ยวที่นั่นกัน” ปราชญ์ตอบอย่างร่าเริง
“นึกแล้ว แกนี่ทุกที ตะเวณหาผับใหม่ ๆ ตลอดเลยนะ”
“นิดนึง ที่เดิม ๆ มันเหงา อยากได้ความแตกต่าง แกไม่เคยได้ยินที่ไอน์สไตน์ว่าหรอกเหรอ มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่ทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ แต่หวังผลที่แตกต่าง”
“ฐุย.. แกนี่แถไปเรื่อย” อรัญมองหน้าเพื่อน “เอาเถอะ ไปไหนก็ไป”
ปราชญ์ขับรถไปได้ครู่หนึ่ง เลี้ยวเข้าซอย ซึ่งในย่านนี้ดูไปก็ไม่เหมือนแหล่งที่เที่ยวยามราตรีสักเท่าไร แต่ก็ไม่แปลก ผับบางทีก็ชอบแอบซ่อนอยู่
โดยเฉพาะผับที่ไม่ขึ้นกับกฎหมาย
แต่ว่าที่นี่มองไปเหมือนไม่ใช่ผับสักเท่าไร มันน่าจะเรียกว่าบ้านหลังหนึ่งมากกว่า
ปราชญ์จอดรถไว้ในสถานที่จอดเรียบร้อยก็เดินเข้าไปยังทางเข้าผับแห่งนี้พร้อมกับอรัญ
ด้านหน้าทางเข้ามีการ์ดคอยดูแลสองคน รูปร่างสูงใหญ่ ถ้าให้ต่อยตัวต่อตัว ไม่คุ้มที่จะต่อกรอย่างมาก
“มีบัตรหรอเปล่า”
การ์ดคนหนึ่งถามกับทั้งคู่ อรัญทำท่าจะควักบัตรประชาชนออกมาให้การ์ดดูตามแบบฉบับสถานที่เที่ยวกลางคืนทั่วไป แต่ว่าปราชญ์กลับส่งบัตรสีทองสองใบให้ไปก่อน
“ไม่ใช่บัตรประชาชนเหรอ” อรัญงง
ปราชญ์หันมายิ้มยียวน “ป่ะ เข้าไปข้างในกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน” หนึ่งในการ์ดบอก “ขอค้นตัวก่อน ที่นี่ห้ามพกอาวุธใด ๆ ทั้งสิ้น”
ปราชญ์ยิ้มรับ “ตามสบายเลยครับ อาวุธผมคงมีแต่ไอ้นั่นกับถุงยางเท่านั้นแหละ”
สองการ์ดก็เข้าไปค้นตัวทั้งคู่ ซึ่งเขาก็พบบางอย่างในตัวของปราชญ์
“นี่มันอะไร” การ์ดล้วงสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงปราชญ์ รูปร่างมันมีลักษณะเหมือนปืนขนาดเล็ก
หนุ่มผมตั้งยิ้ม “ปืนครับ แต่เป็นปืนฉีดน้ำ พอดีติดกระเป๋ามาตั้งแต่ช่วงสงกรานต์มั้งครับ”
การ์ดพลิกดูปืนฉีดน้ำกระบอกเล็กน้อย ซึ่งมันก็เป็นปืนฉีดน้ำจริง ๆ แหละ เลยส่งคืนปราชญ์ไป
“ก็บอกแล้วว่าผมยืดอกพกถุง ไม่มีอาวุธอื่นหรอกครับ”
จากนั้นก็ไม่มีอะไร เพราะอรัญเองก็ไม่ได้พกสิ่งใดที่เป็นอาวุธเช่นกัน
ทั้งสองเข้าไปข้างในบ้าน รอบบริเวณบ้านหลังนี้ถูกจัดธีมไว้แตกต่างจากผับทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เป็นการผสมสีม่วง สีดำ สีแดง ดูอึมครึม บางจุดจัดแต่งด้วยหัวกระโหลก
“นี่มันอะไร” อรัญหันมองไปรอบ ๆ
“ที่แปลก ๆ ย่อมมีเรื่องสนุกไม่ใช่หรือเพื่อน” ปราชญ์แย้มยิ้ม เหมือนเขาจะรู้เรื่องเกี่ยวกับผับนี้อยู่แล้ว
“ก็ใช่ แต่นี่มันแปลกเกินจะเป็นผับแล้วนะ” อรัญพูดขึ้นอีก
“ก็แค่ผับแปลก ๆ น่า”
ในผับก็มีผู้คนอยู่พอสมควร จริงอย่างที่ปราชญ์บอก ถึงการแต่งสถานที่จะดูแตกต่าง บรรยากาศในร้านก็เหมือนเช่นผับปกติ ผู้คนมากินดื่มฟังเพลงเคล้าแสงสี
ปราชญ์กับอรัญเลือกนั่งอยู่ที่โต๊ะทางมุมขวา เขาสั่งเครื่องดื่มและกับแกล้มมากินอย่างเช่นที่เคยทำ นั่งโยกตัวเบา ๆ ตามจังหวะเสียงเพลงที่ดีเจในผับเปิด
อรัญก็เริ่มรู้สึกว่าที่นี่เหมือนผับทั่วไป มันก็แค่ผับแปลก ๆ อย่างปราชญ์ว่าจริง ๆ
“เออว่ะ ก็แค่ผับแปลก ๆ”
จากนั้นทั้งคู่ก็ดื่มกินพลางเต้นเบา ๆ กันต่อไป แต่ว่าสายตาของปราชญ์นั้นคล้ายสอดส่องหาบางอย่างอยู่
ดูแล้วน่าจะเป็นผู้หญิง
จริงด้วย ปราชญ์มองหาจนเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เพราะสายตาได้ล็อคเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว เธอคนนี้หน้าตาดี ทรวดทรงองค์เอวได้รูป สวยใส่ชุดแซกเนื้อบางสีแดง หน้าอกหน้าใจเรียกสายตาของผู้ชายทุกคนได้เป็นแน่
ปราชญ์ยังคงจ้องมองเธอต่อ จนอรัญรู้สึกได้
“นั่นสินะสาวที่นายว่าแจ่ม”
“แม่น” ปราชญ์พยักหน้า “คนนั้นแหละเป้าหมายของวันนี้ ถูกสเป็กมากมาย”
อรัญมองหญิงสาวบ้าง นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยบอกว่า
“ฉันว่าคืนนี้นายคงสนุกแน่”
“หุ่นอย่างนี้ฉันจัดเต็มอยู่แล้ว” ปราชญ์พูดขึ้นต่อ “รอจังหวะชัวร์ ๆ อยู่เนี่ย”
“นายพูดแบบนี้ แสดงว่ามีสิทธิ์ลงมือคืนนี้สินะ” อรัญถาม
“ก็น่าจะแบบนั้น” ปราชญ์ตอบ สายตายังมองไปทางเธอ “กลัวแค่ว่าจะตึงมือเกินไป”
“แต่ไหนแกบอกไม่ทำแล้วไง ปล่อย ๆ เธอไปก็ได้”
“ปล่อยไปคงยากน่ะเพื่อน ฉันเล็งมาหลายครั้ง บางทีถึงเวลาต้องจัดให้เธอแล้วล่ะมั้ง” ปราชญ์พูดพร้อมใช้มือตบเบา ๆ ไปที่กระเป๋ากางเกงของตัวเองที่มีถุงยางกับปืนฉีดน้ำอยู่
แต่ว่าขณะที่พูดคุยกันกลับมีชายหนุ่มผู้หนึ่งเข้าไปหาสาวเป้าหมายของปราชญ์เสียก่อน ชายที่เข้ามานั้นรูปร่างหน้าตาดี หล่อแบบสาวเลียวหลัง ที่นี้ก็เหลือแค่ว่าเขามีชั้นเชิงพอจะเข้าไปสื่อสัมพันธ์กับหญิงสาวคนนี้สักแค่ไหน
แม้จากโต๊ะที่ปราชญ์กับอรัญนั่งจะไม่ได้ยินการพูดคุยของทั้งสอง แต่ดูจากสีหน้าที่แสดงออกมาของทั้งคู่ มีสิทธิ์ที่หนุ่มหล่อที่เข้ามานี้ชนะใจของเธอได้
หลักฐานที่แสดงให้เห็นชัดคือ เขานั่งลงร่วมโต๊ะกับเธอแล้วดื่มกินด้วยกัน
“แบบนี้จะทำยังไง” อรัญหันไปถามปราชญ์ที่จ้องดูเธออยู่
“ไม่เป็นไร แบบนี้แหละดีแล้ว อะไรมันจะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดูกันไปก่อน” ปราชญ์ตอบ สีหน้ายังเรียบเฉย
สองหนุ่มนักศึกษาก็ลอบสังเกตหญิงสาวกับชายหนุ่มที่โต๊ะนั้นโดยตลอด อาจจะมีละสายตาบ้าง เวลามีสาวสวยหุ่นเซ็กซี่แต่งตัวน้อยชิ้นเดินผ่านมาในคลองสายตา
ไม่นานหญิงสาวเป้าหมายกับชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินออกไป ปราชญ์จ้องมองพวกเขา รีบลุกขึ้นพร้อมหันไปบอกกับอรัญว่า
“อรัญ เราต้องตามไปดูแล้วแหละ”
“เออ ก็ไปดิ”
(มีต่อครับ)
☠️👁❄️THE WEEKLY GLOVES ไตรมาสสุดท้าย วีคที่ 39 วีคสุดท้าย เรื่องสั้น#92 สุดท้ายจริงๆ "OTHERSIDE" : ถุงมือ "คิคิ"❄️👁☠️
เพื่อนพี่น้องครับ....กรรมการเพิ่งได้ ถุงมือเรื่องสั้น "จานด่วน" มาสดๆร้อนๆ (เข้าใจว่า จขถม. ไม่ทราบว่าเป็นวีคสุดท้าย)
ครั้นจะไว้เล่นในเกมใหญ่ก็ไม่ได้ เพราะ จขถม. แต่งมาจนจบ (เกมใหญ่จะแต่งกันคนละครึ่งแบบเกมถุงมือกวี "ใครแต่งใครต่อ" ที่เคยเล่นกันปีที่แล้วครับ)
และกรรมการก็ไม่ต้องการ "ต่อเวลาพิเศษ" จนล่วงเลยเดือนกันยายนด้วย
เพราะฉะนั้น จึงขอนำเรื่องสั้นเรื่องนี้ มาลงปิดท้ายวีคสุดท้ายของ THE WEEKLY GLOVES ก็แล้วกัน และคุยกับ จขถม. แล้ว ก็ไม่มีปัญหาแต่ประการใด
เรามาอ่านเรื่องนี้ไป พร้อมๆ กันเลยครับ สดๆร้อนๆ จริงๆ กรรมการก็ยังไม่ได้อ่านครับผม
อ่านจบก็จัดเกรดมาเลยเน้อ ก่อนจะตอบ...อ้อ กรรมการจะให้ภาพปริศนาหลังจากวางกระทู้ ไม่เกินเที่ยงคืนๆนี้ครับผม
สรุปแล้ว เรามี 12 กระทู้ ส่งท้ายไตรมาสที่สามไตรมาสสุดท้ายของ THE WEEKLY GLOVES ครับ !
ตายแล้วไปไหน
นักศึกษาหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้าพลางครุ่นคิด นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่เขาคิดเรื่องนี้ คงไม่มีใครรู้คำตอบหรอกว่าตายแล้วไปไหน เพราะคนเราทุกคนไม่เคยตาย
แต่ไอ้ความคิดเรื่องตายแล้วไปไหนมักวนเวียนมาอยู่ในหัวของนักศึกษาหนุ่มที่ชื่อ อรัญ คนนี้เสมอ ทว่าการหาคำตอบของคำถามนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
ใครจะยอมตาย
ถ้าตายไปแล้วเราจะยังรู้สึกถึงคำตอบอยู่หรือเปล่า
“เฮ้ย อรัญ มานั่งเหม่ออะไรไม่เข้าเรียนเหรอ”
เสียงของนักศึกษาชายอีกคนทักเขาจนหลุดในภวังค์ เขาคนนี้เดินมาเห็นอรัญนั่งเหม่อมองฟ้าไม่ยอมเข้าเรียนทั้งที่ได้เวลาเลยทักขึ้นมา
อรัญหันมองเขา คลี่ยิ้มแบบนิ่ง ๆ
“แล้วแกล่ะปราชญ์ มาสายตรงเวลาเสมอนะ” อรัญบอกกับเขา
ปราชญ์หัวเราะในคอเบา ๆ นั่งลงตรงตำแหน่งที่ว่างอยู่ “ตกลงจะสายหรือตรงเวลา?”
“สายตรงเวลา” อรัญบอกต่อ เขากับปราชญ์ถือเป็นเพื่อนที่สนิทกัน จริง ๆ ทั้งคู่ก็ชอบเข้าห้องเรียนสายเป็นประจำ ถ้านับแล้วก็เข้าสายทั้งคู่นั่นแหละ “เอ่อ แล้วที่แกบอกว่าคืนนี้แกจะชวนฉันไป จะชวนไปไหนเหรอ”
ปราชญ์ยิ้มอย่างมีเลศนัย “เรื่องนั้นขออุ๊บไว้ก่อน รับรองนายสนุกแน่ ไว้ถึงเวลาฉันจะโทรบอกละกัน เข้าห้องเรียนเถอะ”
“อืม ๆ” อรัญพยักหน้ารับ กำลังจะลุกขึ้นต่อ แต่ว่า
“เดี๋ยวก่อน!”
ปราชญ์ขัดขึ้นมา เขาไม่ได้พูดต่อ กลับลุกขึ้นแล้วเดินไปทางนักศึกษาชายคนหนึ่งที่กำลังเก็บอะไรบางอย่างอยู่
หนุ่มผมตั้งก้าวเดินไปพร้อมรอยยิ้ม ทันทีที่ชายคนนั้นเก็บบางอย่างนั้นขึ้นมาในมือ เขาก็พูดขึ้นว่า
“อยู่นี่เอง หาตั้งนาน”
ชายที่เก็บของหันไปหาปราชญ์ นิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายกำลังคิดทบทวนในใจ แล้วปราชญ์ก็ไม่รอให้เขาคิดนาน เอ่ยต่อว่า
“ขอบคุณนะครับที่เก็บไว้ให้ เงินผมตก ผมหาอยู่ตั้งนาน”
ปราชญ์ยื่นมือไปหานักศึกษาชายผู้นั้นทันที สิ่งที่เขาเก็บคือ ธนบัตรราคา 1000 บาท ชายผู้เก็บเงินได้นิ่งไปอีกครู่หนึ่ง จ้องหน้าหนุ่มผมตั้ง สุดท้ายต้องยอมส่งเงินให้กับปราชญ์ไป
“ขอบคุณมาก ๆ นะครับ”
ปราชญ์กล่าวขอบคุณอีกครั้ง หันหลังเดินกลับไปทันที
แต่ว่าปราชญ์ทำเงินตกจริง ๆ หรือ เงินของเขาหายไปหรือ ทำไมเขาถึงไม่ได้ลุกขึ้นตั้งแต่ทีแรก
อรัญครุ่นคิดเล็กน้อยกับการกระทำของปราชญ์ เขาย่อมรู้ว่าเงินหนึ่งพันนี้ปราชญ์ไม่ได้ทำตก นี่มันเป็นการหลอกเอาเงินจากนักศึกษาคนนั้นชัด ๆ
“นี่แกไปหลอกเอาเงินเค้าใช่ไหม” อรัญถามทันทีที่ปราชญ์เดินกลับมาถึง
“ไม่ได้หลอกหรอกนะ” ปราญช์ยิ้ม “คนแค่หาเรื่องเปลี่ยนคนโชคดีให้กลายเป็นฉันต่างหากล่ะ”
“แกนี่มันร้ายกาจ” อรัญบอก
“แต่ฉันไม่เอาเงินนี้ไว้หรอก เพราะเงินนี้มันเป็นสะพานสร้างความสัมพันธ์ของฉันกับใครบางคน” ปราชญ์พูดจบ ก็เดินไปหานักศึกษาสาวร่างเล็กคนหนึ่ง ที่กำลังเดินก้มหน้าก้มตาคล้ายหาอะไรบางอย่างอยู่
นักศึกษาสาวคนนี้น่ารักใช้ได้เลย ขาวหมวยผมสั้น ก้าวเดินไปมาคล่องแคล่วพอสมควร
“ของคุณใช่ไหมครับ” ปราชญ์ถามพร้อมรอยยิ้ม ยื่นแบงค์พันไปทางเธอ
“คุณเจอเหรอ โชคดีจัง” นักศึกษาสาวตอบรับด้วยความดีใจ “ฉันกำลังหาอยู่เลย ขอบคุณนะคะ”
ปราชญ์ยิ้มรับ ส่งแบงค์พันให้เธอ “ไม่เป็นไรครับ ผมเห็นคุณเดินก้มหน้าเหมือนหาอะไรสักอย่างมาสักพักแล้ว บังเอิญผมเจอแบงค์พันนี่พอดี คิดว่าน่าจะเป็นของคุณแน่ ๆ”
“ขอบคุณมากเลยค่ะ” นักศึกษาสาวยิ้มตอบ “คุณเป็นคนดีมาก ๆ เลย เป็นคนอื่นเจอเงินแบบนี้ ไม่เอามาคืนหรอก”
“เงินมันไม่ใช่ผมของผม ผมไม่เอาหรอกครับ” ปราชญ์ตอบ “ผมคิดว่าบางทีแบงค์พันนี้อาจจะสำคัญมาก ๆ สำหรับบางคน เราเอามาคืนเจ้าของน่าจะดีกว่า”
นักศึกษาสาวยิ้มกว้างอีก เธอไม่คิดว่าจะมีคนรุ่นเดียวกับเธอคิดอ่านเช่นนี้
“คุณชื่ออะไรเหรอ” เธอถาม
“ปราชญ์ครับ แล้วเธอล่ะ”
“ฮิบี้ค่ะ” นักศึกษาสาวตอบ
“ไม่เป็นไรครับ แต่ชื่อฮิบี้เหรอ เป็นลูกครึ่งหรือเปล่า” ปราชญ์ถาม
“ใช่ค่ะ เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น ยังไงขอบคุณปราชญ์มากเลยนะ ไว้เราเลี้ยงขนมเป็นการขอบคุณดีไหม”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมขอแค่เบอร์หรือไลน์ฮิบี้ล่ะกัน ถือว่าเราสองคนได้รู้จักกัน ยินดีที่รู้จักนะครับ” ปราชญ์พูด พร้อมทั้งเอามือถือของตัวเองส่งไปให้ฮิบี้ด้วย
“เอ่อ ยินดีค่ะ” ฮิบี้รับมือถือมา กดเบอร์โทรให้ปราญช์ไป “ไอดีไลน์ใช้เบอร์เลยนะคะ”
“ครับ” ปราชญ์รับมือถือกลับมา “ไว้เจอกันใหม่นะครับ”
นักศึกษาหนุ่มโบกมือลาให้เธอ เดินกลับไปหาอรัญที่ดูเหตุการณ์ที่เขาทำโดยตลอด
“ไอ้ปราชญ์… เอาอีกแล้วนะ”
ปราชญ์ยิ้มยียวนให้เพื่อนไม่ตอบโดยทันที หยิบเอกสารประกอบการเรียนที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วค่อยพูดออกมาว่า
“ธรรมดาของคนช่างสังเกตว่ะ เข้าเรียนกันดีกว่า สายแล้ว”
“นัดแล้วมาช้าทุกที”
อรัญบ่นขึ้นมาเบา ๆ เขายืนรอเพื่อนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ แต่ว่าการแต่งตัวของเขาตอนนี้ไม่ใช่ชุดนักศึกษา เสื้อผ้าหน้าผมออกจะดูดีมากกว่าปกติ มีฉีดน้ำหอมอีกต่างหาก
ชายหนุ่มเอามือถือขึ้นมาโทรหาปราชญ์อีกครั้ง ทำให้รู้ว่าปราชญ์กำลังขับรถมายังจุดนัดนี้
“โทษทีที่ช้า”
ปราชญ์เอ่ยทันทีที่รับอรัญขึ้นรถ เขาเองก็แต่งตัวด้วยชุดหล่อ เซ็ตผมตั้งไว้อย่างดี แถมรถที่เขาขับมาก็ไม่ใช่รถบ้านทั่วไปอีกด้วย
“ตกลงแกจะชวนฉันไปไหน” อรัญถามเขา
“ที่ ๆ สนุกไง พอดีฉันไปเจอผับหนึ่ง ผู้หญิงในนั้นแจ่มมากมาย เราไปเที่ยวที่นั่นกัน” ปราชญ์ตอบอย่างร่าเริง
“นึกแล้ว แกนี่ทุกที ตะเวณหาผับใหม่ ๆ ตลอดเลยนะ”
“นิดนึง ที่เดิม ๆ มันเหงา อยากได้ความแตกต่าง แกไม่เคยได้ยินที่ไอน์สไตน์ว่าหรอกเหรอ มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่ทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ แต่หวังผลที่แตกต่าง”
“ฐุย.. แกนี่แถไปเรื่อย” อรัญมองหน้าเพื่อน “เอาเถอะ ไปไหนก็ไป”
ปราชญ์ขับรถไปได้ครู่หนึ่ง เลี้ยวเข้าซอย ซึ่งในย่านนี้ดูไปก็ไม่เหมือนแหล่งที่เที่ยวยามราตรีสักเท่าไร แต่ก็ไม่แปลก ผับบางทีก็ชอบแอบซ่อนอยู่
โดยเฉพาะผับที่ไม่ขึ้นกับกฎหมาย
แต่ว่าที่นี่มองไปเหมือนไม่ใช่ผับสักเท่าไร มันน่าจะเรียกว่าบ้านหลังหนึ่งมากกว่า
ปราชญ์จอดรถไว้ในสถานที่จอดเรียบร้อยก็เดินเข้าไปยังทางเข้าผับแห่งนี้พร้อมกับอรัญ
ด้านหน้าทางเข้ามีการ์ดคอยดูแลสองคน รูปร่างสูงใหญ่ ถ้าให้ต่อยตัวต่อตัว ไม่คุ้มที่จะต่อกรอย่างมาก
“มีบัตรหรอเปล่า”
การ์ดคนหนึ่งถามกับทั้งคู่ อรัญทำท่าจะควักบัตรประชาชนออกมาให้การ์ดดูตามแบบฉบับสถานที่เที่ยวกลางคืนทั่วไป แต่ว่าปราชญ์กลับส่งบัตรสีทองสองใบให้ไปก่อน
“ไม่ใช่บัตรประชาชนเหรอ” อรัญงง
ปราชญ์หันมายิ้มยียวน “ป่ะ เข้าไปข้างในกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน” หนึ่งในการ์ดบอก “ขอค้นตัวก่อน ที่นี่ห้ามพกอาวุธใด ๆ ทั้งสิ้น”
ปราชญ์ยิ้มรับ “ตามสบายเลยครับ อาวุธผมคงมีแต่ไอ้นั่นกับถุงยางเท่านั้นแหละ”
สองการ์ดก็เข้าไปค้นตัวทั้งคู่ ซึ่งเขาก็พบบางอย่างในตัวของปราชญ์
“นี่มันอะไร” การ์ดล้วงสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงปราชญ์ รูปร่างมันมีลักษณะเหมือนปืนขนาดเล็ก
หนุ่มผมตั้งยิ้ม “ปืนครับ แต่เป็นปืนฉีดน้ำ พอดีติดกระเป๋ามาตั้งแต่ช่วงสงกรานต์มั้งครับ”
การ์ดพลิกดูปืนฉีดน้ำกระบอกเล็กน้อย ซึ่งมันก็เป็นปืนฉีดน้ำจริง ๆ แหละ เลยส่งคืนปราชญ์ไป
“ก็บอกแล้วว่าผมยืดอกพกถุง ไม่มีอาวุธอื่นหรอกครับ”
จากนั้นก็ไม่มีอะไร เพราะอรัญเองก็ไม่ได้พกสิ่งใดที่เป็นอาวุธเช่นกัน
ทั้งสองเข้าไปข้างในบ้าน รอบบริเวณบ้านหลังนี้ถูกจัดธีมไว้แตกต่างจากผับทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เป็นการผสมสีม่วง สีดำ สีแดง ดูอึมครึม บางจุดจัดแต่งด้วยหัวกระโหลก
“นี่มันอะไร” อรัญหันมองไปรอบ ๆ
“ที่แปลก ๆ ย่อมมีเรื่องสนุกไม่ใช่หรือเพื่อน” ปราชญ์แย้มยิ้ม เหมือนเขาจะรู้เรื่องเกี่ยวกับผับนี้อยู่แล้ว
“ก็ใช่ แต่นี่มันแปลกเกินจะเป็นผับแล้วนะ” อรัญพูดขึ้นอีก
“ก็แค่ผับแปลก ๆ น่า”
ในผับก็มีผู้คนอยู่พอสมควร จริงอย่างที่ปราชญ์บอก ถึงการแต่งสถานที่จะดูแตกต่าง บรรยากาศในร้านก็เหมือนเช่นผับปกติ ผู้คนมากินดื่มฟังเพลงเคล้าแสงสี
ปราชญ์กับอรัญเลือกนั่งอยู่ที่โต๊ะทางมุมขวา เขาสั่งเครื่องดื่มและกับแกล้มมากินอย่างเช่นที่เคยทำ นั่งโยกตัวเบา ๆ ตามจังหวะเสียงเพลงที่ดีเจในผับเปิด
อรัญก็เริ่มรู้สึกว่าที่นี่เหมือนผับทั่วไป มันก็แค่ผับแปลก ๆ อย่างปราชญ์ว่าจริง ๆ
“เออว่ะ ก็แค่ผับแปลก ๆ”
จากนั้นทั้งคู่ก็ดื่มกินพลางเต้นเบา ๆ กันต่อไป แต่ว่าสายตาของปราชญ์นั้นคล้ายสอดส่องหาบางอย่างอยู่
ดูแล้วน่าจะเป็นผู้หญิง
จริงด้วย ปราชญ์มองหาจนเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เพราะสายตาได้ล็อคเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว เธอคนนี้หน้าตาดี ทรวดทรงองค์เอวได้รูป สวยใส่ชุดแซกเนื้อบางสีแดง หน้าอกหน้าใจเรียกสายตาของผู้ชายทุกคนได้เป็นแน่
ปราชญ์ยังคงจ้องมองเธอต่อ จนอรัญรู้สึกได้
“นั่นสินะสาวที่นายว่าแจ่ม”
“แม่น” ปราชญ์พยักหน้า “คนนั้นแหละเป้าหมายของวันนี้ ถูกสเป็กมากมาย”
อรัญมองหญิงสาวบ้าง นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยบอกว่า
“ฉันว่าคืนนี้นายคงสนุกแน่”
“หุ่นอย่างนี้ฉันจัดเต็มอยู่แล้ว” ปราชญ์พูดขึ้นต่อ “รอจังหวะชัวร์ ๆ อยู่เนี่ย”
“นายพูดแบบนี้ แสดงว่ามีสิทธิ์ลงมือคืนนี้สินะ” อรัญถาม
“ก็น่าจะแบบนั้น” ปราชญ์ตอบ สายตายังมองไปทางเธอ “กลัวแค่ว่าจะตึงมือเกินไป”
“แต่ไหนแกบอกไม่ทำแล้วไง ปล่อย ๆ เธอไปก็ได้”
“ปล่อยไปคงยากน่ะเพื่อน ฉันเล็งมาหลายครั้ง บางทีถึงเวลาต้องจัดให้เธอแล้วล่ะมั้ง” ปราชญ์พูดพร้อมใช้มือตบเบา ๆ ไปที่กระเป๋ากางเกงของตัวเองที่มีถุงยางกับปืนฉีดน้ำอยู่
แต่ว่าขณะที่พูดคุยกันกลับมีชายหนุ่มผู้หนึ่งเข้าไปหาสาวเป้าหมายของปราชญ์เสียก่อน ชายที่เข้ามานั้นรูปร่างหน้าตาดี หล่อแบบสาวเลียวหลัง ที่นี้ก็เหลือแค่ว่าเขามีชั้นเชิงพอจะเข้าไปสื่อสัมพันธ์กับหญิงสาวคนนี้สักแค่ไหน
แม้จากโต๊ะที่ปราชญ์กับอรัญนั่งจะไม่ได้ยินการพูดคุยของทั้งสอง แต่ดูจากสีหน้าที่แสดงออกมาของทั้งคู่ มีสิทธิ์ที่หนุ่มหล่อที่เข้ามานี้ชนะใจของเธอได้
หลักฐานที่แสดงให้เห็นชัดคือ เขานั่งลงร่วมโต๊ะกับเธอแล้วดื่มกินด้วยกัน
“แบบนี้จะทำยังไง” อรัญหันไปถามปราชญ์ที่จ้องดูเธออยู่
“ไม่เป็นไร แบบนี้แหละดีแล้ว อะไรมันจะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดูกันไปก่อน” ปราชญ์ตอบ สีหน้ายังเรียบเฉย
สองหนุ่มนักศึกษาก็ลอบสังเกตหญิงสาวกับชายหนุ่มที่โต๊ะนั้นโดยตลอด อาจจะมีละสายตาบ้าง เวลามีสาวสวยหุ่นเซ็กซี่แต่งตัวน้อยชิ้นเดินผ่านมาในคลองสายตา
ไม่นานหญิงสาวเป้าหมายกับชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินออกไป ปราชญ์จ้องมองพวกเขา รีบลุกขึ้นพร้อมหันไปบอกกับอรัญว่า
“อรัญ เราต้องตามไปดูแล้วแหละ”
“เออ ก็ไปดิ”
(มีต่อครับ)