อธิการบดีมจร"แนะเจริญวิปัสสนาสู้ปัญญาประดิษฐ์(AI)ได้
....
"การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานหรือสมถกรรมฐานถือว่าเป็นการฝึดหัดขัดเกลาตนเอง บริหารจิตเจริญปัญญาพัฒนาตนเอง เป็นวิธีการยอดเยี่ยมถือว่าเป็นหนึ่งเดียวของหลักการพัฒนาตนเอง ไมว่าจะนับถือศาสนาใด เป็นคนชาติไหน เมื่อจะฝึกหัดขัดเกลาพัฒนาตนเองให้มีความเจริญทางด้านร่างกายและจิตใจ จะใช้หลักกรรมฐานทั้งนั้น เพียงแต่รูปแบบของการปฏิบัติมีความแตกต่างออกไป" อธิการบดี มจร กล่าวและว่า
บางศาสนาอาจจะใช้วิธีการนั่ง การเดิน การนอน สวดมนต์ นั่งดูลมหายใจ หรือมีการทำกิจกรรมร่วมกัน แต่มีเป้าหมายคือพัฒนาจิตใจ
ขั้นตอนของการพัฒนาจิตใจเริ่มจาก "การทำสติให้มีความเข้มแข็ง" สติเป็นจุดเริ่มต้นของคุณงามความดี เริ่มจากสติจบด้วยอนุปาทาปรินิพพาน มีเส้นทางที่ชัดเจน บางศาสนาไม่ได้ไปถึงนิพพานแต่มีเป้าหมายให้ตนเองมีความเข้มแข็ง เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงาน
พระราชปริยัติกวี กล่าวต่อว่า ในสังคมปัจจุบันการบริหารจิตเจริญปัญญา เป็นไปเพื่อเป้าหมาย 1) การทำตนเองให้จิตนิ่งมั่นคง เพื่อปัญญาความรู้จากการศึกษา เพราะเมื่อจิตนิ่งจะสามารถใช้ปัญญาได้อย่างเต็มที่ ในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา เพราะวิทยาการใหม่ๆ อยู่รูปของเครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งอำนวยความสะดวกมีเพียงพอ คนที่ได้เปรียบเป็นคนที่มีจิตนิ่งด้วยการสามารถไปรวบเอาสิ่งต่างๆ มาสร้างนวัตกรรม บุคคลที่สามารถสร้างนวัตกรรมได้ เกิดจากการมีจิตใจนิ่งมีความมั่นคง มีการครุ่นคิดใช้โยนิโสมนสิการ กรรมฐานโดยความหมายคือ กิจกรรมหรือการทำงานที่เป็นฐานแห่งการบรรลุผลที่วิเศษเรียกว่ากรรมฐาน
2)ปัญญาประดิษฐ์ Ai เป็นหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรจะมาทำงานแทนมนุษย์ในอนาคตนี้โดยจะมีความฉลาดกว่ามนุษย์ แต่ Ai ไม่ใช่มนุษย์ แต่จะฉลาดกว่ามนุษย์ วิธีเดียวที่มนุษย์จะฉลาดได้คือ กลับมาดูตนเองจะสามารถสู้กับปัญญาประดิษฐ์ได้ หุ่นยนต์ไม่มีมโนทัศน์ ฉลาดได้โดยอาศัยข้อมูลที่มนุษย์ป้อนเข้าไป มนุษย์เป็นผู้ควบคุม แต่การป้อนข้อมูลจะบอกเชิงบวกหรือเชิงลบ เป็นเรื่องที่น่ากลัว กรรมฐานจะช่วยควบคุมทัศนคติให้เป็นสัมมาทิฐิตลอดเวลา ฉลาดแต่สร้างประโยชน์ให้กับมนุษย์สังคมโลก กรรมฐานจะมีประโยชน์มาก หรืออาจจะมีคนใส่ข้อมูลเชิงทำลายล้างเข้าไป คนที่มีสัมมาทิฐิมีวิธีการในการบริหารควบคุมทิศทางด้วยอาศัยกรรมฐาน 3)การดำเนินชีวิตเพื่อโลกิยะวิสัย หลักกรรมฐานเท่านั้นจะช่วยให้มนุษย์มีกิเลสที่เบาบางพัฒนาต่อยอดไปเรื่อย จนบรรลุเป็นอรหันต์
................
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Pramote OD Pantapat พระอาจารย์ปราโมทย์ วาทโกวิโท นิสิตปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มจร)
อ่านต่อที่
http://www.banmuang.co.th/news/education/125776
เพราะAIทำสมาธิไม่ได้ ไม่มีสติจึงฝึกสติไม่ได้
เอ... จริงหรือ ชักไม่แน่ใจในระยะยาว
++++++++++++++++++++
ขอสรุปประเด็นของกระทู้ให้ชัดขึ้นครับ
1. พระท่านมองว่า AI เป็นแค่เครื่องมือฉลาด
ไม่มีมโนทัศน์(ภาพในจิต)หรือไม่มีชีวิตนั้นเอง
ทำสมาธิหรือฝึกสติไม่ได้
2. AI จะอันตรายหรือมีประโยชน์อยู่ที่คน
ถ้าคนดีก็จะสร้างหรือใช้AIในทางดี
3. จึงต้องแก้ที่คนให้เป็นคนดีด้วยการฝึกเจริญสติ
ซึ่งจริงแท้ๆ
แต่ๆ....
4. จขกท. เชื่อว่าไม่สามารถทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้
สุดท้ายก็จะนำ
4.1 AI มาทำร้ายคน
4.2 พัฒนาAI จนคิดเองได้ มีความรู้สึกเป็นตัวตน
มีกลัว มีอยากดำรงอยู่ ขยายจำนวน มีการป้องกันตนเอง เหมือนคน ซึ่งตรงนี้คือสิ่งที่กลัวกันว่าจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์
4.3 เมื่อถึงตอนนั้น. จะสอนความดีความชั่ว
เช่น การทำสติ ทำสมาธิ ให้AI ได้ไหมเพื่อให้ได้ AI
ที่ดี
ตย.แนวทางป้องกัน AI
http://www.banmuang.co.th/news/education/123801
อธิการบดี มจร.แนะเจริญวิปัสสนาสู้ปัญญาประดิษฐ์(AI)ได้
....
"การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานหรือสมถกรรมฐานถือว่าเป็นการฝึดหัดขัดเกลาตนเอง บริหารจิตเจริญปัญญาพัฒนาตนเอง เป็นวิธีการยอดเยี่ยมถือว่าเป็นหนึ่งเดียวของหลักการพัฒนาตนเอง ไมว่าจะนับถือศาสนาใด เป็นคนชาติไหน เมื่อจะฝึกหัดขัดเกลาพัฒนาตนเองให้มีความเจริญทางด้านร่างกายและจิตใจ จะใช้หลักกรรมฐานทั้งนั้น เพียงแต่รูปแบบของการปฏิบัติมีความแตกต่างออกไป" อธิการบดี มจร กล่าวและว่า
บางศาสนาอาจจะใช้วิธีการนั่ง การเดิน การนอน สวดมนต์ นั่งดูลมหายใจ หรือมีการทำกิจกรรมร่วมกัน แต่มีเป้าหมายคือพัฒนาจิตใจ
ขั้นตอนของการพัฒนาจิตใจเริ่มจาก "การทำสติให้มีความเข้มแข็ง" สติเป็นจุดเริ่มต้นของคุณงามความดี เริ่มจากสติจบด้วยอนุปาทาปรินิพพาน มีเส้นทางที่ชัดเจน บางศาสนาไม่ได้ไปถึงนิพพานแต่มีเป้าหมายให้ตนเองมีความเข้มแข็ง เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงาน
พระราชปริยัติกวี กล่าวต่อว่า ในสังคมปัจจุบันการบริหารจิตเจริญปัญญา เป็นไปเพื่อเป้าหมาย 1) การทำตนเองให้จิตนิ่งมั่นคง เพื่อปัญญาความรู้จากการศึกษา เพราะเมื่อจิตนิ่งจะสามารถใช้ปัญญาได้อย่างเต็มที่ ในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา เพราะวิทยาการใหม่ๆ อยู่รูปของเครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งอำนวยความสะดวกมีเพียงพอ คนที่ได้เปรียบเป็นคนที่มีจิตนิ่งด้วยการสามารถไปรวบเอาสิ่งต่างๆ มาสร้างนวัตกรรม บุคคลที่สามารถสร้างนวัตกรรมได้ เกิดจากการมีจิตใจนิ่งมีความมั่นคง มีการครุ่นคิดใช้โยนิโสมนสิการ กรรมฐานโดยความหมายคือ กิจกรรมหรือการทำงานที่เป็นฐานแห่งการบรรลุผลที่วิเศษเรียกว่ากรรมฐาน
2)ปัญญาประดิษฐ์ Ai เป็นหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรจะมาทำงานแทนมนุษย์ในอนาคตนี้โดยจะมีความฉลาดกว่ามนุษย์ แต่ Ai ไม่ใช่มนุษย์ แต่จะฉลาดกว่ามนุษย์ วิธีเดียวที่มนุษย์จะฉลาดได้คือ กลับมาดูตนเองจะสามารถสู้กับปัญญาประดิษฐ์ได้ หุ่นยนต์ไม่มีมโนทัศน์ ฉลาดได้โดยอาศัยข้อมูลที่มนุษย์ป้อนเข้าไป มนุษย์เป็นผู้ควบคุม แต่การป้อนข้อมูลจะบอกเชิงบวกหรือเชิงลบ เป็นเรื่องที่น่ากลัว กรรมฐานจะช่วยควบคุมทัศนคติให้เป็นสัมมาทิฐิตลอดเวลา ฉลาดแต่สร้างประโยชน์ให้กับมนุษย์สังคมโลก กรรมฐานจะมีประโยชน์มาก หรืออาจจะมีคนใส่ข้อมูลเชิงทำลายล้างเข้าไป คนที่มีสัมมาทิฐิมีวิธีการในการบริหารควบคุมทิศทางด้วยอาศัยกรรมฐาน 3)การดำเนินชีวิตเพื่อโลกิยะวิสัย หลักกรรมฐานเท่านั้นจะช่วยให้มนุษย์มีกิเลสที่เบาบางพัฒนาต่อยอดไปเรื่อย จนบรรลุเป็นอรหันต์
................
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Pramote OD Pantapat พระอาจารย์ปราโมทย์ วาทโกวิโท นิสิตปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มจร)
อ่านต่อที่
http://www.banmuang.co.th/news/education/125776
เพราะAIทำสมาธิไม่ได้ ไม่มีสติจึงฝึกสติไม่ได้
เอ... จริงหรือ ชักไม่แน่ใจในระยะยาว
++++++++++++++++++++
ขอสรุปประเด็นของกระทู้ให้ชัดขึ้นครับ
1. พระท่านมองว่า AI เป็นแค่เครื่องมือฉลาด
ไม่มีมโนทัศน์(ภาพในจิต)หรือไม่มีชีวิตนั้นเอง
ทำสมาธิหรือฝึกสติไม่ได้
2. AI จะอันตรายหรือมีประโยชน์อยู่ที่คน
ถ้าคนดีก็จะสร้างหรือใช้AIในทางดี
3. จึงต้องแก้ที่คนให้เป็นคนดีด้วยการฝึกเจริญสติ
ซึ่งจริงแท้ๆ
แต่ๆ....
4. จขกท. เชื่อว่าไม่สามารถทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้
สุดท้ายก็จะนำ
4.1 AI มาทำร้ายคน
4.2 พัฒนาAI จนคิดเองได้ มีความรู้สึกเป็นตัวตน
มีกลัว มีอยากดำรงอยู่ ขยายจำนวน มีการป้องกันตนเอง เหมือนคน ซึ่งตรงนี้คือสิ่งที่กลัวกันว่าจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์
4.3 เมื่อถึงตอนนั้น. จะสอนความดีความชั่ว
เช่น การทำสติ ทำสมาธิ ให้AI ได้ไหมเพื่อให้ได้ AI
ที่ดี
ตย.แนวทางป้องกัน AI
http://www.banmuang.co.th/news/education/123801