ศึกษาและปฏิบัติธรรม เพื่อละกิเลส นั้นก็คือเพื่อ(บรรลุ) พระนิพพาน....
เพราะ นิพพาน คือ ความสิ้น ราคะ โทสะ โมหะ
ซึ่งผัที่ศึกษาและปฏิบัติธรรม พึงสังเกตุใจตนเองได้ง่าย เพราะเมื่อยังมีกิเลสอยู่ กิเลสย่อมฟูย่อมปรากฏกับใจตนนั้นเอง ถ้าไม่หลงผิด หรือเกิดทิฏฐิผิดๆ ที่ฝังติดแน่นแบบไม่ยอมจางคลาย หรือหลงหลอกลวงตัวเองอยู่เนื่องๆ ด้วยกิเลสปรากฏกับใจตนแล้วล่วงเลยจนเกิดพฤติกรรมปรากฏ ว่านั้นไม่ใช่กิเลส ด้วยยึดมั่นตน หรือยึดมั่นทิฏฐิตนผิดๆ เป็นที่ตั้ง
ด้วยอวิชชา เป็นปัจจัย จึงเกิดมี ตัณหา-อุปทาน เป็นอาหารหล่อเลี้ยง หาที่สุดไม่ได้ นั้นเอง
พึ่งปฏิบัติธรรม ละกิเลส เป็นสมุทเฉจไม่กลับคืนมาอีก(แม้บางส่วน) ที่เป็นธรรมชาติของฝั่งสังขตธรรม อันหล่อเลี้ยงอุปาทานชันธ์ ซึ่งดับพ้นไปจาก รูป-นามและอวิชชาที่เป็นปัจจัยนั้นเสีย นิพพาน อันไม่ตั้งอยู่ในโลกนี้ ไม่ตั้งอยู่ในโลกเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง คือไม่ตั้งอยู่ในโลกใหนๆ เป็น อสังขตธรรม ย่อมบรรลุปรากฏ.
ศึกษาและปฏิบัติธรรม เพื่อละกิเลส นั้นก็คือเพื่อ(บรรลุ) พระนิพพาน
เพราะ นิพพาน คือ ความสิ้น ราคะ โทสะ โมหะ
ซึ่งผัที่ศึกษาและปฏิบัติธรรม พึงสังเกตุใจตนเองได้ง่าย เพราะเมื่อยังมีกิเลสอยู่ กิเลสย่อมฟูย่อมปรากฏกับใจตนนั้นเอง ถ้าไม่หลงผิด หรือเกิดทิฏฐิผิดๆ ที่ฝังติดแน่นแบบไม่ยอมจางคลาย หรือหลงหลอกลวงตัวเองอยู่เนื่องๆ ด้วยกิเลสปรากฏกับใจตนแล้วล่วงเลยจนเกิดพฤติกรรมปรากฏ ว่านั้นไม่ใช่กิเลส ด้วยยึดมั่นตน หรือยึดมั่นทิฏฐิตนผิดๆ เป็นที่ตั้ง
ด้วยอวิชชา เป็นปัจจัย จึงเกิดมี ตัณหา-อุปทาน เป็นอาหารหล่อเลี้ยง หาที่สุดไม่ได้ นั้นเอง
พึ่งปฏิบัติธรรม ละกิเลส เป็นสมุทเฉจไม่กลับคืนมาอีก(แม้บางส่วน) ที่เป็นธรรมชาติของฝั่งสังขตธรรม อันหล่อเลี้ยงอุปาทานชันธ์ ซึ่งดับพ้นไปจาก รูป-นามและอวิชชาที่เป็นปัจจัยนั้นเสีย นิพพาน อันไม่ตั้งอยู่ในโลกนี้ ไม่ตั้งอยู่ในโลกเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง คือไม่ตั้งอยู่ในโลกใหนๆ เป็น อสังขตธรรม ย่อมบรรลุปรากฏ.