บทที่1 จุดเริ่มต้น
“ ที่นี่ ที่ไหน ...! แล้วผมเป็นใคร ๐
ผมตื่นขึ้นพร้อมกับความมึนงงและสับสน ท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างหนักในป่าที่ไหนสักแห่ง
มันเงียบจนสามารถได้ยินเสียงลมที่พัดผ่านมากระทบหูเบาๆ ในตอนกลางคืน
“ อุแว้....อุแว้ "
ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงร้องนั้น มันเป็นเสียงร้องของเด็กทารกผู้หญิงที่นอนอยู่ข้างๆผม
เธอมีผ้าที่คลุมอยู่รอบตัวเธอดูแล้วเป็นผ้าเนื้อดีมาก ๆ ผมคิดว่ามันคงเป็นผ้าที่มีราคาสูงมากแน่ ๆ ถ้ามันไปอยู่ในร้านค้าของพวกชนชั้นสูงสักแห่ง
…….….!!
เธอหยุดร้องทันทีเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าผมกำลังจ้องไปที่เธอ
ผมมองไปที่ใบหน้าของเธอ เธอมีแววตาที่ไร้เดียงสา และดูอ่อนโยน ผมรู้สึกอบอุ่นเวลาจ้องมองเธอในขณะนี้
“ แกร็ก..! "
เสียงดังมาจากมุมใดมุมนึงของป่า มันเป็นเสียงเหมือนอะไรสักอย่างกำลังค่อยๆ เดินมาทางผม
ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมรีบอุ้มเธอขึ้นมาอย่างไว แล้ววิ่งให้สุดฝีเท้าท่ามกลางสายฝน ไปในป่าที่มืดจนไม่สามารถมองเห็นสิ่งรอบตัวผมได้
ผมหลับตาแล้ววิ่งสุดแรงไม่สนใจอะไรรอบตัวเลย
ได้แต่คิดว่าถ้าผมหยุดวิ่ง ผมและเด็กคนนี้ไม่มีทางรอดแน่ ๆ ผมมาไกลมากจนรู้สึกว่าตัวเองนั่นแทบจะไม่ได้หายใจ
เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง ผมก็ต้องผงะ เมื่อรู้สึกว่าเม็ดฝนมันตกใส่หัวผมมากขึ้น ผมลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าผาที่ไหนสักแห่ง
มันโล่งมาก ผมมองลงไปจากบนหน้าผา มันทำให้เห็นได้ว่าถ้าผมพลาดตกลงไปคงจะเละไม่เป็นชิ้นดีแน่ ๆ
“ มันใช่เวลามาสนความสูงของผาไหมเนี้ยเรา "
ผมรีบมองหาของที่พอจะใช้เป็นอาวุธได้ โดยที่ผมเองนั้นไม่รู้เลยว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร
" แกร็ก..แกร็ก..! "
เสียงกิ่งไม้จากทางป่าที่ผมวิ่งมามันหักลงมาทางผมอย่างช้า ๆ พร้อมกับเงาดำที่ค่อยๆจางลงมุ่งตรงมาทางผม
เผยให้เห็นร่างกายของสัตว์ร้ายสีดำทมิฬ ที่แทบจะกลืนไปกับสีในยามค่ำคืน ตาสีฟ้าของมันเย็นยะเยือก
จนทำให้แค่เพียงสบตากับมัน ขาผมก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้แล้ว ขาทั้งสี่ของมันกับกรงเล็บอันแหลมคมซะจน
มันเดินผ่านบนพื้น ใบหญ้ายังขาดตามรอยเท้าที่มันเดินไป หางของมันเรียวตรงเหมือนดาบของพวกนักรบ ที่ถูกตีจากช่างตีดาบชั้นยอด
มันค่อยๆ เดินมาหาตัวผมอย่างช้า ๆ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรสัญชาตญาณของผมมันเตือนว่าถ้าผมขยับตัวเพียงนิดเดียว ตัวผมคงจะขาดเป็นสองท่อนเพียงเสี้ยววินาทีแน่นอน ตัวผมได้แต่ยืนนิ่งๆ ดูท่าทีของมัน แต่อีกใจนึงผมก็คิดว่าถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่างผมก็ตายอยู่ดี
ผมเหลือบมองดูรอบ ๆ เพื่อที่จะหาอาวุธไว้ใช้ต่อสู้ และวางทารกน้อยคนนี้ในที่ปลอดภัย แต่เหมือนกับฟ้าไม่เป็นใจให้ผม
เพราะมันก็เป็นเพียงพื้นที่โล่งๆ กลางหน้าผาสูงมันแถบไม่มีอะไรเลยที่ใช้เป็นอาวุธและที่หลบภัย
“ ซี้ด!..เอาไงเอากันวะ "
ผมเตรียมใจและตัดสินใจวางเด็กทารกอย่างรวดเร็วและเบาที่สุด แล้ววิ่งสุดแรงให้ออกห่างจากทารกน้อย เพื่อล่อมันมาทางผม
เป็นไปตามแผนมันมาทางผม
ผมพยามวิ่งไปแล้วมองรอบ ๆไปด้วยเพื่อหาอาวุธ ที่จะต่อสู้กับมัน ผมได้เหลือบไปเห็นหินแหลม มันมีขนาดที่เหมาะมือ
ผมคว้ามันขึ้นทันทีในขณะที่วิ่งอยู่ แต่ผมรู้ดีว่าแค่นี้มันยังไม่พอที่จะต่อกรกับมันผมยังไม่มีอะไรที่พอจะป้องกันตัวผมเองได้
ในขณะที่ผมวิ่งอยู่ ผมหยิบท่อนไม้ขนาดไม่ใหญ่มากแต่มีความหนาพอที่จะใช้เป็นโล่ป้องกัน และยื้อเวลาตายของผมไปได้
ผมหยุดวิ่งตรงมุมผาพยามล่อให้มันมาทางผมเพื่อที่มันกระโดดมาหาผมจะได้ใช้โล่ไม้ของผม
ล็อคระหว่างกรงเล็บแล้วกระโดดตกหน้าผาไปพร้อมกับมัน
“ มาสิ เจ้าหมาโง่ แกคงอยากกินผมเต็มแก่แล้วไม่ใช่รึไง "
มันจ้องมาที่ผมอย่างใจเย็นด้วยสายเย็นยะเยือกของมัน แต่กลับไม่มุ่งตรงมาทางผมเลย มันหยุดนิ่งเหมือนอ่านเกมออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ มาสิ แกรออะไรของแกอยู่ เจ้าหมาโง่ "
“ อุแว้ ..! "
เสียงทารกน้อยที่กำลังร้องเสียงดังออกมาเพราะฝนที่ตกหนักมากขึ้น ทำให้เจ้าสัตว์ร้ายหันไปมองที่มาของเสียง มันเปลี่ยนความสนใจไปที่ทารก
“ ซวยแล้วไง "
แผนของผมพังไม่เป็นท่า มันเดินตรงไปทางทารก ผมรีบยกโล่ไม้ของผมขึ้นไปบนหัวแล้ววิ่งพุงชนมันก่อนที่มันจะถึงตัวทารก
แต่พลาดเป้า ผมรู้ตัวทันทีว่านี้เป็นแผนของมัน หลังจากที่เห็นมันยิ้มมุมปากเผยให้เห็นเขี้ยวที่แหลมยาวของมัน
มันกระโจนใส่ผมไม่รอให้ผมตั้งตัวได้ ผมรีบยกโล่ไม้มาป้องกันตัว
แต่ก็ยื้อได้แปปเดียวโล่ไม้ที่ใช้ป้องกันตัวของผมแตกละเอียด เหลือก็แต่เพียงหินแหลมที่ผมเก็บได้
ผมอาศัยจังหวะมันยกกรงเล็บที่จะแทงมาทางซ้ายของผม ผมก้มตัวลงแล้วสวนด้วยหินแหลม
แต่มันกลับกระโดดถอยหลังหลบทันที แล้วหมุนตัวเหวี่ยงหางของมันเข้าที่ขาข้างขวาของผมอย่างจัง ผมทรุดตัวลงกับพื้นอย่างแรง แต่ไม่ทันถึงห้าวินาที มันกระโดดเข้ามาหาผมทันที
ผมเกือบหลบไม่ทันกรงเล็บของมัน กรงเล็บได้ผ่านเฉียดเข้าใบหน้าของผมไป
โชคดีที่ผมพอจะอ่านการเคลื่อนไหวของกรงเล็บมันได้ จากก่อนที่โล่ไม้ของผมจะพัง ทำให้ไม่โดนเข้าเต็มๆ มันกระโดดถอยกลับไปตั้งหลัก ผมแปลกใจว่าเพราะอะไรถึงทำให้มันถอยออก
“ แหมะ..! "
เสียงน้ำอะไรสักอย่างไหลจากใบหน้าของผม ผมเริ่มที่จะรู้สึกเจ็บที่ใบหน้า
ผมลูบหน้าตัวเองเพราะรู้สึกว่าผมเริ่มที่จะมองไม่ค่อยเห็น แต่ก็ทำให้รู้ว่าเสียงตกลงพื้นนั้นมันเป็นเลือดของผมเอง ที่ไหลท่วมอยู่บนหน้าของผม
“ น่ากลัวจริง ๆ เลยนะแกเนี้ย "
ความหน้ากลัวของกรงเล็บนั้น เพียงแค่เฉียดนิดเดียว แต่ทำให้เกิดแผลลึกที่ฝากเอาไว้ที่ใบหน้าผมจนทำให้เลือดไหลไม่หยุดได้
ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกเหนื่อยและอ่อนแรงมากจากการที่ผมเสียเลือดและต่อสู้กับมัน แต่ผมก็ไม่สามารถหยุดการต่อสู้ได้เลย
เพราะถ้าผมหยุดเมื่อไหร่นั้นคือจุดจบของผมและเด็กทารกน้อย แน่นอน
" ซ่า..! ตู้ม..ตู้ม!! "
เสียงดังมาก มาจากทางป่าเหมือนเจ้าสัตว์ร้ายนั้นเองก็จะได้ยินด้วย
มันเปลี่ยนความสนใจไปที่เสียงทันที มันรีบมองซ้ายขวา ทำท่าทางเหมือนกลัวอะไรสักอย่างอยู่ ผมเห็นว่าเป็นโอกาส เลยรีบวิ่งแล้วตรงไปหามันหวังจะเอาหินแหลมของผมแทงไปที่ลำตัวของมัน แต่แล้วอยู่ดี ๆ มันก็กระโดดสูงหายไปในป่า อย่างไว
“ เห้อ "
ผมถอนหายใจทันทีที่เห็นมันได้จากไปแล้ว ผมทรุดตัวลงกับพื้นอย่างแรง ร่างกายของผมอ่อนล้ามาก แทบที่จะไม่มีแรงเคลื่อนไหวร่างกายเลย
“ อุแว้..!! "
เสียงทารก ร้องดังขึ้นอีกครั้ง
“ ไม่สิเรายังพักไม่ได้ "
ผมเดินไปหาทารกน้อยด้วยขาที่ยังพอมีแรงจากการต่อสู้
“ ตู้ม..!! "
คราวนี้เสียงใกล้มาก สัญชาตญาณผมบอกว่าให้รีบไปคว้าทารกน้อยให้เร็วที่สุด ผมวิ่งสุดแรงที่เหลืออยู่ แต่ยังไม่ทันถึงตัวหน้าผาก็เริ่มสะเทือนเหมือนกับเผ่นดินไหว แต่ไม่ใช่ มีน้ำจำนวนมากออกจากป่า
“ น้ำป่า!! เอาจริงดิ "
ผมอุทานพร้อมวิ่งจนจวนใกล้จะถึงตัวทารก แล้วกระโดดคว้าทารกสุดแรงของผม น้ำป่าที่ไหลมาอย่างไวได้พัดตัวผมไปพร้อมกับมันผมเอาผ้าที่ห่อตัวทารกมามัดตัวผมกับทารกไว้แล้วกอดเธอไว้ในอก
ในขณะที่กำลังจมไปกับกระแสน้ำ ผมสังเกตเห็นมีขอนไม้ขนาดใหญ่ลอยมากับน้ำป่า ผมรีบคว้าเอาไว้ เพื่อที่ผมจะไม่จมไปกับน้ำป่า ผมไหลไปกับน้ำเป็นเวลานานมากจนผมสลบไป
“ จิ๊บๆ..จิ๊บๆ "
เสียงนกทำให้ผมตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือแสงจากดวงอาทิตย์ที่รอดผ่านต้นไม้ใหญ่หลายต้น มันอุ่นมากจน ทำให้ผมรู้สึกอยากจะนอนต่อสักพัก
“ ทารกน้อยละ!! "
ผมร้องเสียงหลง ด้วยความกังกลเกี่ยวกับเธอ
แต่เมื่อมองที่อกผมก็พบว่าเธอยังอยู่กับผม ผมนั่งมองใบหน้าของเธออย่างจริงจัง ใบหน้าเธอน่ารักซะจนผมอยากจะกอดเธอไว้ในอกตลอด
แววตาที่กำลังมองผม และรอยยิ้มที่อ่อนโยนนั้นมันช่างทำให้ผมสบายใจ เหมือนกับว่าเธอกำลังจะบอกขอบคุณผมผ่านสายตาของเธอ
มันทำให้ความเหนื่อยล้าของผม ที่ผ่านเรื่องราวเมื่อคืนแทบจะหายไปเลยละ
“ จ๊อก..!! "
เสียงท้องผมร้องดังมาก ใช่สิผมยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืนที่ผมลืมตาตื่นมาจากในป่านั้น ผมสังเกตไปรอบ ๆ เพื่อดูว่ามีอะไรพอจะกินได้บ้าง
แต่ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าข้างหน้าผมมีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สูงมากเท่ากับผมสิบคนยืนต่อกันขึ้นไป ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้นมีโพรงขนาดใหญ่ที่คนสามารถเข้าไปได้ รอบต้นไม้ใหญ่ มีต้นไม้เล็กๆที่มีผลแปลกๆ ที่ผมไม่เคยเห็นแต่ผมคิดว่ามันน่าจะกินได้ ผมสังเกตเอาจากนกตัวนึงที่กำลังจิกกินผลมันอยู่
ผมเริ่มเดินสำรวจข้างใต้ต้นไม้ใหญ่ มันกว้างมาก พอมองขึ้นไปใต้ต้นไม้มันเป็นโพรงสูงขึ้นไปอยู่พอสมควร
“ ที่นี่จะเป็นบ้านของพวกเรา ตั้งแต่นี้ต่อไปผมจะดูแลเธอให้ดี แต่เอ๊ะ ผมควรตั้งชื่อให้เธอก่อนสิ อืม..!! "
“ ฮันน่า” ใช่ฮันน่าก็แล้วกัน ดูสมกับรอยยิ้มของเธอดีนะ "
เธอหันมามองหน้าผมและยิ้มให้ผมอีกครั้ง
............
ปล.จากนี้จะเป็นการเริ่มต้นการเดินเพื่อช่วยน้องแล้วนะครับ
ไม่ดีอย่างไรให้คำแนะนำในการเขียนของผมด้วยอาจมีตกหล่นบ้างเพราะมีเวลาเขียนแค่ช่วงดึก
เลยตรวจคำผิดได้ไม่ดีพอแต่จะนำไปแก้ไขและปรับปรุงทุกคำแนะนำครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/38029017 บทนำ
พันธะสัญญาปีศาจ
“ ที่นี่ ที่ไหน ...! แล้วผมเป็นใคร ๐
ผมตื่นขึ้นพร้อมกับความมึนงงและสับสน ท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างหนักในป่าที่ไหนสักแห่ง
มันเงียบจนสามารถได้ยินเสียงลมที่พัดผ่านมากระทบหูเบาๆ ในตอนกลางคืน
“ อุแว้....อุแว้ "
ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงร้องนั้น มันเป็นเสียงร้องของเด็กทารกผู้หญิงที่นอนอยู่ข้างๆผม
เธอมีผ้าที่คลุมอยู่รอบตัวเธอดูแล้วเป็นผ้าเนื้อดีมาก ๆ ผมคิดว่ามันคงเป็นผ้าที่มีราคาสูงมากแน่ ๆ ถ้ามันไปอยู่ในร้านค้าของพวกชนชั้นสูงสักแห่ง
…….….!!
เธอหยุดร้องทันทีเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าผมกำลังจ้องไปที่เธอ
ผมมองไปที่ใบหน้าของเธอ เธอมีแววตาที่ไร้เดียงสา และดูอ่อนโยน ผมรู้สึกอบอุ่นเวลาจ้องมองเธอในขณะนี้
“ แกร็ก..! "
เสียงดังมาจากมุมใดมุมนึงของป่า มันเป็นเสียงเหมือนอะไรสักอย่างกำลังค่อยๆ เดินมาทางผม
ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมรีบอุ้มเธอขึ้นมาอย่างไว แล้ววิ่งให้สุดฝีเท้าท่ามกลางสายฝน ไปในป่าที่มืดจนไม่สามารถมองเห็นสิ่งรอบตัวผมได้
ผมหลับตาแล้ววิ่งสุดแรงไม่สนใจอะไรรอบตัวเลย
ได้แต่คิดว่าถ้าผมหยุดวิ่ง ผมและเด็กคนนี้ไม่มีทางรอดแน่ ๆ ผมมาไกลมากจนรู้สึกว่าตัวเองนั่นแทบจะไม่ได้หายใจ
เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง ผมก็ต้องผงะ เมื่อรู้สึกว่าเม็ดฝนมันตกใส่หัวผมมากขึ้น ผมลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าผาที่ไหนสักแห่ง
มันโล่งมาก ผมมองลงไปจากบนหน้าผา มันทำให้เห็นได้ว่าถ้าผมพลาดตกลงไปคงจะเละไม่เป็นชิ้นดีแน่ ๆ
“ มันใช่เวลามาสนความสูงของผาไหมเนี้ยเรา "
ผมรีบมองหาของที่พอจะใช้เป็นอาวุธได้ โดยที่ผมเองนั้นไม่รู้เลยว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร
" แกร็ก..แกร็ก..! "
เสียงกิ่งไม้จากทางป่าที่ผมวิ่งมามันหักลงมาทางผมอย่างช้า ๆ พร้อมกับเงาดำที่ค่อยๆจางลงมุ่งตรงมาทางผม
เผยให้เห็นร่างกายของสัตว์ร้ายสีดำทมิฬ ที่แทบจะกลืนไปกับสีในยามค่ำคืน ตาสีฟ้าของมันเย็นยะเยือก
จนทำให้แค่เพียงสบตากับมัน ขาผมก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้แล้ว ขาทั้งสี่ของมันกับกรงเล็บอันแหลมคมซะจน
มันเดินผ่านบนพื้น ใบหญ้ายังขาดตามรอยเท้าที่มันเดินไป หางของมันเรียวตรงเหมือนดาบของพวกนักรบ ที่ถูกตีจากช่างตีดาบชั้นยอด
มันค่อยๆ เดินมาหาตัวผมอย่างช้า ๆ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรสัญชาตญาณของผมมันเตือนว่าถ้าผมขยับตัวเพียงนิดเดียว ตัวผมคงจะขาดเป็นสองท่อนเพียงเสี้ยววินาทีแน่นอน ตัวผมได้แต่ยืนนิ่งๆ ดูท่าทีของมัน แต่อีกใจนึงผมก็คิดว่าถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่างผมก็ตายอยู่ดี
ผมเหลือบมองดูรอบ ๆ เพื่อที่จะหาอาวุธไว้ใช้ต่อสู้ และวางทารกน้อยคนนี้ในที่ปลอดภัย แต่เหมือนกับฟ้าไม่เป็นใจให้ผม
เพราะมันก็เป็นเพียงพื้นที่โล่งๆ กลางหน้าผาสูงมันแถบไม่มีอะไรเลยที่ใช้เป็นอาวุธและที่หลบภัย
“ ซี้ด!..เอาไงเอากันวะ "
ผมเตรียมใจและตัดสินใจวางเด็กทารกอย่างรวดเร็วและเบาที่สุด แล้ววิ่งสุดแรงให้ออกห่างจากทารกน้อย เพื่อล่อมันมาทางผม
เป็นไปตามแผนมันมาทางผม
ผมพยามวิ่งไปแล้วมองรอบ ๆไปด้วยเพื่อหาอาวุธ ที่จะต่อสู้กับมัน ผมได้เหลือบไปเห็นหินแหลม มันมีขนาดที่เหมาะมือ
ผมคว้ามันขึ้นทันทีในขณะที่วิ่งอยู่ แต่ผมรู้ดีว่าแค่นี้มันยังไม่พอที่จะต่อกรกับมันผมยังไม่มีอะไรที่พอจะป้องกันตัวผมเองได้
ในขณะที่ผมวิ่งอยู่ ผมหยิบท่อนไม้ขนาดไม่ใหญ่มากแต่มีความหนาพอที่จะใช้เป็นโล่ป้องกัน และยื้อเวลาตายของผมไปได้
ผมหยุดวิ่งตรงมุมผาพยามล่อให้มันมาทางผมเพื่อที่มันกระโดดมาหาผมจะได้ใช้โล่ไม้ของผม
ล็อคระหว่างกรงเล็บแล้วกระโดดตกหน้าผาไปพร้อมกับมัน
“ มาสิ เจ้าหมาโง่ แกคงอยากกินผมเต็มแก่แล้วไม่ใช่รึไง "
มันจ้องมาที่ผมอย่างใจเย็นด้วยสายเย็นยะเยือกของมัน แต่กลับไม่มุ่งตรงมาทางผมเลย มันหยุดนิ่งเหมือนอ่านเกมออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ มาสิ แกรออะไรของแกอยู่ เจ้าหมาโง่ "
“ อุแว้ ..! "
เสียงทารกน้อยที่กำลังร้องเสียงดังออกมาเพราะฝนที่ตกหนักมากขึ้น ทำให้เจ้าสัตว์ร้ายหันไปมองที่มาของเสียง มันเปลี่ยนความสนใจไปที่ทารก
“ ซวยแล้วไง "
แผนของผมพังไม่เป็นท่า มันเดินตรงไปทางทารก ผมรีบยกโล่ไม้ของผมขึ้นไปบนหัวแล้ววิ่งพุงชนมันก่อนที่มันจะถึงตัวทารก
แต่พลาดเป้า ผมรู้ตัวทันทีว่านี้เป็นแผนของมัน หลังจากที่เห็นมันยิ้มมุมปากเผยให้เห็นเขี้ยวที่แหลมยาวของมัน
มันกระโจนใส่ผมไม่รอให้ผมตั้งตัวได้ ผมรีบยกโล่ไม้มาป้องกันตัว
แต่ก็ยื้อได้แปปเดียวโล่ไม้ที่ใช้ป้องกันตัวของผมแตกละเอียด เหลือก็แต่เพียงหินแหลมที่ผมเก็บได้
ผมอาศัยจังหวะมันยกกรงเล็บที่จะแทงมาทางซ้ายของผม ผมก้มตัวลงแล้วสวนด้วยหินแหลม
แต่มันกลับกระโดดถอยหลังหลบทันที แล้วหมุนตัวเหวี่ยงหางของมันเข้าที่ขาข้างขวาของผมอย่างจัง ผมทรุดตัวลงกับพื้นอย่างแรง แต่ไม่ทันถึงห้าวินาที มันกระโดดเข้ามาหาผมทันที
ผมเกือบหลบไม่ทันกรงเล็บของมัน กรงเล็บได้ผ่านเฉียดเข้าใบหน้าของผมไป
โชคดีที่ผมพอจะอ่านการเคลื่อนไหวของกรงเล็บมันได้ จากก่อนที่โล่ไม้ของผมจะพัง ทำให้ไม่โดนเข้าเต็มๆ มันกระโดดถอยกลับไปตั้งหลัก ผมแปลกใจว่าเพราะอะไรถึงทำให้มันถอยออก
“ แหมะ..! "
เสียงน้ำอะไรสักอย่างไหลจากใบหน้าของผม ผมเริ่มที่จะรู้สึกเจ็บที่ใบหน้า
ผมลูบหน้าตัวเองเพราะรู้สึกว่าผมเริ่มที่จะมองไม่ค่อยเห็น แต่ก็ทำให้รู้ว่าเสียงตกลงพื้นนั้นมันเป็นเลือดของผมเอง ที่ไหลท่วมอยู่บนหน้าของผม
“ น่ากลัวจริง ๆ เลยนะแกเนี้ย "
ความหน้ากลัวของกรงเล็บนั้น เพียงแค่เฉียดนิดเดียว แต่ทำให้เกิดแผลลึกที่ฝากเอาไว้ที่ใบหน้าผมจนทำให้เลือดไหลไม่หยุดได้
ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกเหนื่อยและอ่อนแรงมากจากการที่ผมเสียเลือดและต่อสู้กับมัน แต่ผมก็ไม่สามารถหยุดการต่อสู้ได้เลย
เพราะถ้าผมหยุดเมื่อไหร่นั้นคือจุดจบของผมและเด็กทารกน้อย แน่นอน
" ซ่า..! ตู้ม..ตู้ม!! "
เสียงดังมาก มาจากทางป่าเหมือนเจ้าสัตว์ร้ายนั้นเองก็จะได้ยินด้วย
มันเปลี่ยนความสนใจไปที่เสียงทันที มันรีบมองซ้ายขวา ทำท่าทางเหมือนกลัวอะไรสักอย่างอยู่ ผมเห็นว่าเป็นโอกาส เลยรีบวิ่งแล้วตรงไปหามันหวังจะเอาหินแหลมของผมแทงไปที่ลำตัวของมัน แต่แล้วอยู่ดี ๆ มันก็กระโดดสูงหายไปในป่า อย่างไว
“ เห้อ "
ผมถอนหายใจทันทีที่เห็นมันได้จากไปแล้ว ผมทรุดตัวลงกับพื้นอย่างแรง ร่างกายของผมอ่อนล้ามาก แทบที่จะไม่มีแรงเคลื่อนไหวร่างกายเลย
“ อุแว้..!! "
เสียงทารก ร้องดังขึ้นอีกครั้ง
“ ไม่สิเรายังพักไม่ได้ "
ผมเดินไปหาทารกน้อยด้วยขาที่ยังพอมีแรงจากการต่อสู้
“ ตู้ม..!! "
คราวนี้เสียงใกล้มาก สัญชาตญาณผมบอกว่าให้รีบไปคว้าทารกน้อยให้เร็วที่สุด ผมวิ่งสุดแรงที่เหลืออยู่ แต่ยังไม่ทันถึงตัวหน้าผาก็เริ่มสะเทือนเหมือนกับเผ่นดินไหว แต่ไม่ใช่ มีน้ำจำนวนมากออกจากป่า
“ น้ำป่า!! เอาจริงดิ "
ผมอุทานพร้อมวิ่งจนจวนใกล้จะถึงตัวทารก แล้วกระโดดคว้าทารกสุดแรงของผม น้ำป่าที่ไหลมาอย่างไวได้พัดตัวผมไปพร้อมกับมันผมเอาผ้าที่ห่อตัวทารกมามัดตัวผมกับทารกไว้แล้วกอดเธอไว้ในอก
ในขณะที่กำลังจมไปกับกระแสน้ำ ผมสังเกตเห็นมีขอนไม้ขนาดใหญ่ลอยมากับน้ำป่า ผมรีบคว้าเอาไว้ เพื่อที่ผมจะไม่จมไปกับน้ำป่า ผมไหลไปกับน้ำเป็นเวลานานมากจนผมสลบไป
“ จิ๊บๆ..จิ๊บๆ "
เสียงนกทำให้ผมตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือแสงจากดวงอาทิตย์ที่รอดผ่านต้นไม้ใหญ่หลายต้น มันอุ่นมากจน ทำให้ผมรู้สึกอยากจะนอนต่อสักพัก
“ ทารกน้อยละ!! "
ผมร้องเสียงหลง ด้วยความกังกลเกี่ยวกับเธอ
แต่เมื่อมองที่อกผมก็พบว่าเธอยังอยู่กับผม ผมนั่งมองใบหน้าของเธออย่างจริงจัง ใบหน้าเธอน่ารักซะจนผมอยากจะกอดเธอไว้ในอกตลอด
แววตาที่กำลังมองผม และรอยยิ้มที่อ่อนโยนนั้นมันช่างทำให้ผมสบายใจ เหมือนกับว่าเธอกำลังจะบอกขอบคุณผมผ่านสายตาของเธอ
มันทำให้ความเหนื่อยล้าของผม ที่ผ่านเรื่องราวเมื่อคืนแทบจะหายไปเลยละ
“ จ๊อก..!! "
เสียงท้องผมร้องดังมาก ใช่สิผมยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืนที่ผมลืมตาตื่นมาจากในป่านั้น ผมสังเกตไปรอบ ๆ เพื่อดูว่ามีอะไรพอจะกินได้บ้าง
แต่ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าข้างหน้าผมมีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สูงมากเท่ากับผมสิบคนยืนต่อกันขึ้นไป ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้นมีโพรงขนาดใหญ่ที่คนสามารถเข้าไปได้ รอบต้นไม้ใหญ่ มีต้นไม้เล็กๆที่มีผลแปลกๆ ที่ผมไม่เคยเห็นแต่ผมคิดว่ามันน่าจะกินได้ ผมสังเกตเอาจากนกตัวนึงที่กำลังจิกกินผลมันอยู่
ผมเริ่มเดินสำรวจข้างใต้ต้นไม้ใหญ่ มันกว้างมาก พอมองขึ้นไปใต้ต้นไม้มันเป็นโพรงสูงขึ้นไปอยู่พอสมควร
“ ที่นี่จะเป็นบ้านของพวกเรา ตั้งแต่นี้ต่อไปผมจะดูแลเธอให้ดี แต่เอ๊ะ ผมควรตั้งชื่อให้เธอก่อนสิ อืม..!! "
“ ฮันน่า” ใช่ฮันน่าก็แล้วกัน ดูสมกับรอยยิ้มของเธอดีนะ "
เธอหันมามองหน้าผมและยิ้มให้ผมอีกครั้ง
ไม่ดีอย่างไรให้คำแนะนำในการเขียนของผมด้วยอาจมีตกหล่นบ้างเพราะมีเวลาเขียนแค่ช่วงดึก
เลยตรวจคำผิดได้ไม่ดีพอแต่จะนำไปแก้ไขและปรับปรุงทุกคำแนะนำครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้