ผาวิ่งชู้ ตำนานรักอมตะ ขี่ม้าลงหน้าผา เพื่อรักนิรันดร์ของหญิงชายต่างฐานันดร (อ.ฮอด จ.เชียงใหม่)
*** อยากบอกคนที่ผิดหวังในความรักสมัยนี้ว่าให้คิดดีๆก่อนที่จะทำอะไรลงไป สงสารคนข้างหลัง(พ่อแม่พี่น้อง)บ้าง เขาจะรู้สึกอย่างไรกับการจากไปของเรา
ความตายมันสั้นและง่าย
แต่คนที่เศร้าและทุกข์อยู่ด้านหลังนั้นทรมารและยาวนาน
*** ผมไปเมื่อสงกรานต์ปี 2553 ไปบ้านน้อง(หนุยและเพื่อนๆ)ที่รู้จักที่ อำเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำพูน แวะเที่ยวที่นี่ด้วย ตอนที่ไปยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆน้องจากศาลภูมิและรูปปั้นม้า
*** ที่นี่เป็นที่ผมก็เคยมีความรักเหมือนกัน....
*** ไม่ควรไปตอนดึกหรือเย็นมากเพราะพื้นที่ดูเปลี่ยว
---------------------------------
ผาวิ่งชู้เป็นตำนานพื้นบ้านล้านนาผ่านมานับพันปีพอมีเรื่องราวพอคร่าวๆดังนี้ พระยาแสนโทเป็นผู้ปกครองเมืองพิศดารนคร หรือเมืองฮอดปัจจุบัน มีธิดาชื่อพระนางแอ่นฟ้า กับพระนาย และได้ไปรักไคร่กับลูกชายเสนาชื่อน้อยสิงห์คำ ปัญหารักต่างฐานันดรจึงเกิดขึ้น พระยาแสนโททราบเรื่องจึงเรียกคนทั้งสองมาว่ากล่าวตักเตือน หากฝ่าฝืนกฎมณเฑียรบาลมีโทษประหารชีวิต แต่ด้วยความรักทั้งสองที่มีต่อกันจึงตกลงหนีออกจากเมืองโดยการควบม้าสีขาวไปกลางดึกสงัด
ความทราบถึงพระยาแสนโทได้กริ้วมากสั่งเสนาอำมาตย์และทหารออกติดตามพร้อมสั่งว่าหากเจอคนทั้งสองให้ประหารชีวิตเสีย ขณะที่พระนางแอ่นฟ้าและน้อยสิงห์คำกำลังควบม้า ได้ยินเสียงเท้าม้ากระทบแผ่นดินสะเทือนเลือนลั่นตามมาติดๆทั้งสองเห็นจวนตัวจึงหยุดริมชายป่าปรึกษากันว่า
อยู่ก็ตายหนีก็ตายเราจะกระโดดหน้าผาอันสูงชันนี้ตายด้วยกันทั้งสองจึงเห็นควร จึงเอาผ้าขาวผูกตาม้าไว้เพื่อไม่ให้ม้าเห็นหน้าผาจะวิ่งไปทางอื่น พระนางแอ่นฟ้าเห็นว่าน้อยสิงห์คำไม่กล้าบังคับม้าให้กระโดดหน้าผา จึงเป็นผู้ควบม้าแทนให้น้อยสิงห์คำนั่งช้อนท้าย จากนั้นพระนางแอ่นฟ้าได้ตีม้าอย่างแรง ม้าจึงวิ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วตกลงไปหน้าผาสูงลงสู่แม่ระมิงค์(แม่นำเปิง)จมหายไปทั้งม้าทั้งคน
ต่อมาหน้าผาแห่งนี้เรียกว่า”ผาวิ่งชู้”
ร่างของน้อยสิงห์คำลอยไปติดท่าน้ำแห่งหนึ่งจึงเรียกที่นี่ว่า”บ้านน้อย”ร่างของพระนางแอ่นน้อยลอยไปติดอีกท่าน้ำเรียกว่า”บ้านแอ่น”ส่วนผ้าขาวที่ปิดตาม้าจมอยู่ในน้ำเรียกว่า”วังผ้าขาว”ส่วนร่างของม้าลอยไปติดไม่ไกลนักเรียกที่นั้นว่า”ท่าม้า”
ส่วนพระนายน้องชายของพระนางแอ่นฟ้าที่ร่วมขบวนมากับทหารที่ไล่ติดตามพระนางแอ่นฟ้ากับน้อยสิงห์คำ เห็นรอยม้ากระโดดลงหน้าผาไป จึงโศกเศร้าเสียใจอาวรณ์เป็นอย่างยิ่งจึงตรอมใจขาดใจตายที่ริมห้วยใกล้กับหน้าผาและที่นี้ว่า”ห้วยพระนาย”และทางพ่อแม่ของพระนางแอ่นฟ้ากับพระนาย เสียใจมากและมาทำบุญนำสิ่งของทิ้งลงแม่น้ำได้ลอยไปติดตามสถานที่ต่างๆจนกลายเป็นชื่อหมู่บ้าน เช่น ข้าวแต๋น เป็นบ้านผาแตน หม้อเป็นบ้านวังหม้อ สลุงเป็นบ้านวังลุง มาจนถึงปัจจุบันนี้
ข้อมูลจาก
https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/805377/
วิวมุมสูงและแนวหน้าผา
[CR] ผาวิ่งชู้ ตำนานรักอมตะ ขี่ม้าลงหน้าผา เพื่อรักนิรันดร์ของหญิงชายต่างฐานันดร (อ.ฮอด จ.เชียงใหม่)
*** อยากบอกคนที่ผิดหวังในความรักสมัยนี้ว่าให้คิดดีๆก่อนที่จะทำอะไรลงไป สงสารคนข้างหลัง(พ่อแม่พี่น้อง)บ้าง เขาจะรู้สึกอย่างไรกับการจากไปของเรา
ความตายมันสั้นและง่าย
แต่คนที่เศร้าและทุกข์อยู่ด้านหลังนั้นทรมารและยาวนาน
*** ผมไปเมื่อสงกรานต์ปี 2553 ไปบ้านน้อง(หนุยและเพื่อนๆ)ที่รู้จักที่ อำเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำพูน แวะเที่ยวที่นี่ด้วย ตอนที่ไปยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆน้องจากศาลภูมิและรูปปั้นม้า
*** ที่นี่เป็นที่ผมก็เคยมีความรักเหมือนกัน....
*** ไม่ควรไปตอนดึกหรือเย็นมากเพราะพื้นที่ดูเปลี่ยว
---------------------------------
ผาวิ่งชู้เป็นตำนานพื้นบ้านล้านนาผ่านมานับพันปีพอมีเรื่องราวพอคร่าวๆดังนี้ พระยาแสนโทเป็นผู้ปกครองเมืองพิศดารนคร หรือเมืองฮอดปัจจุบัน มีธิดาชื่อพระนางแอ่นฟ้า กับพระนาย และได้ไปรักไคร่กับลูกชายเสนาชื่อน้อยสิงห์คำ ปัญหารักต่างฐานันดรจึงเกิดขึ้น พระยาแสนโททราบเรื่องจึงเรียกคนทั้งสองมาว่ากล่าวตักเตือน หากฝ่าฝืนกฎมณเฑียรบาลมีโทษประหารชีวิต แต่ด้วยความรักทั้งสองที่มีต่อกันจึงตกลงหนีออกจากเมืองโดยการควบม้าสีขาวไปกลางดึกสงัด
ความทราบถึงพระยาแสนโทได้กริ้วมากสั่งเสนาอำมาตย์และทหารออกติดตามพร้อมสั่งว่าหากเจอคนทั้งสองให้ประหารชีวิตเสีย ขณะที่พระนางแอ่นฟ้าและน้อยสิงห์คำกำลังควบม้า ได้ยินเสียงเท้าม้ากระทบแผ่นดินสะเทือนเลือนลั่นตามมาติดๆทั้งสองเห็นจวนตัวจึงหยุดริมชายป่าปรึกษากันว่า
อยู่ก็ตายหนีก็ตายเราจะกระโดดหน้าผาอันสูงชันนี้ตายด้วยกันทั้งสองจึงเห็นควร จึงเอาผ้าขาวผูกตาม้าไว้เพื่อไม่ให้ม้าเห็นหน้าผาจะวิ่งไปทางอื่น พระนางแอ่นฟ้าเห็นว่าน้อยสิงห์คำไม่กล้าบังคับม้าให้กระโดดหน้าผา จึงเป็นผู้ควบม้าแทนให้น้อยสิงห์คำนั่งช้อนท้าย จากนั้นพระนางแอ่นฟ้าได้ตีม้าอย่างแรง ม้าจึงวิ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วตกลงไปหน้าผาสูงลงสู่แม่ระมิงค์(แม่นำเปิง)จมหายไปทั้งม้าทั้งคน
ต่อมาหน้าผาแห่งนี้เรียกว่า”ผาวิ่งชู้”
ร่างของน้อยสิงห์คำลอยไปติดท่าน้ำแห่งหนึ่งจึงเรียกที่นี่ว่า”บ้านน้อย”ร่างของพระนางแอ่นน้อยลอยไปติดอีกท่าน้ำเรียกว่า”บ้านแอ่น”ส่วนผ้าขาวที่ปิดตาม้าจมอยู่ในน้ำเรียกว่า”วังผ้าขาว”ส่วนร่างของม้าลอยไปติดไม่ไกลนักเรียกที่นั้นว่า”ท่าม้า”
ส่วนพระนายน้องชายของพระนางแอ่นฟ้าที่ร่วมขบวนมากับทหารที่ไล่ติดตามพระนางแอ่นฟ้ากับน้อยสิงห์คำ เห็นรอยม้ากระโดดลงหน้าผาไป จึงโศกเศร้าเสียใจอาวรณ์เป็นอย่างยิ่งจึงตรอมใจขาดใจตายที่ริมห้วยใกล้กับหน้าผาและที่นี้ว่า”ห้วยพระนาย”และทางพ่อแม่ของพระนางแอ่นฟ้ากับพระนาย เสียใจมากและมาทำบุญนำสิ่งของทิ้งลงแม่น้ำได้ลอยไปติดตามสถานที่ต่างๆจนกลายเป็นชื่อหมู่บ้าน เช่น ข้าวแต๋น เป็นบ้านผาแตน หม้อเป็นบ้านวังหม้อ สลุงเป็นบ้านวังลุง มาจนถึงปัจจุบันนี้
ข้อมูลจาก
https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/805377/
วิวมุมสูงและแนวหน้าผา
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้