ก า ย ค ต า ส ติ

กายคตาสติ
เปรียบดั่งแม่น้ำทั้งหลายมีมหาสุมทรเป็นที่หยั่งลงภายใน
มหาสมุทร เปรียบดั่ง กายคตาสติ ( ความไม่ประมาท )
แม่น้ำทั้งหลาย เป็นอุปมาของ ธรรมทั้งหลาย เหล่านี้ อันได้แก่


1. อานาปานสติสมาธิ
เป็นธรรมอันเอก เป็นวิหารธรรมของพระศาสดาเมื่อปลีกวิเวก เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
ด้วยการพิจารณาว่า ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก นั้นเป็นกายอันหนึ่งๆในกายทั้งหลาย ดังนี้ก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ


2. การรู้อิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง นอน
เรา เดินอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า “เราเดินอยู่”  เมื่อยืน ย่อมรู้ชัดว่า "เรายืนอยู่" เมื่อนั่ง ย่อมรู้ชัดว่า "เรานั่งอยู่" เมื่อนอน ย่อมรู้ชัดว่า "เรานอนอยู่"
เมื่อเราตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใด ก็ย่อมรู้ทั่วถึงกายนั้น ด้วยอาการอย่างนั้น ก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ


3. การมีสัมปชัญญะความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
ในกรณีการก้าวไปข้างหน้า ถอยกลับหลัง การเหลียวดูแลดู การคู้ การเหยียด ... ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ในการกิน การดื่ม
การเคี้ยว การลิ้ม การถ่ายอุจจาระปัสสาวะ การไป การหยุด การนั่ง การนอน การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง
พระองค์ทรงตรัสถึงการเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ ก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ



4. การพิจารณากายในเรื่องของความไม่งาม ( อสุภะสัญญา )
พิจารณาเห็นกายนี้ เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาด
มีประการต่างๆว่า ในกายนี้มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก... ก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ



5. การพิจารณากายโดยความเป็นธาตุมีอยู่ในกายนี้ ( ดิน น้ำ ไฟ ลม )
พิจารณากายนี้ รู้โดยความเป็นธาตุดิน รู้โดยความเป็นธาตุน้ำ รู้โดยความเป็นธาตุไฟ และ รู้โดยความเป็นธาตุลม
ไม่สำคัญโดยความเป็นธาตุเหล่านี้ ไม่ยินดีและไม่สำคัญว่าเป็นเรา ก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ



ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมีการกระทำในใจ (มนสิการ) เป็นแดนเกิด
มีผัสสะเป็นเหตุเกิด มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง
ผู้เข้าไปตั้งกายคตาสติไว้แล้ว สำรวมแล้วในผัสสายตนะ ๖
มีจิตตั้งมั่นแล้วเนืองๆ พึงรู้ความดับกิเลสของตน

กายคตาสติของเรานี้ จักเป็นสิ่งที่เราอบรม
กระทำให้มาก
กระทำให้เป็นยานเครื่องนำไป
กระทำให้เป็นของที่อาศัยได้
เพียงตั้งไว้เนืองๆ
เพียรเสริมสร้างโดยรอบคอบ
เพียรปรารภสม่ำเสมอด้วยดี ดังนี้


กายคตาสติ  ( การมีความระลึกรู้อยู่ที่กาย )
พระศาสดาตรัสว่า สติเป็นใหญ่ในที่ทั้งปวง
ผู้ใดไม่เจริญกระทำให้มากซึ่งกายคตาสติ
ผู้นั้นเป็นผู้หลงลืมอมตะ ( ความไม่ตาย ) เป็นผู้ประมาท ( ต่อความตาย )
ผู้ประมาทคือผู้ที่ไม่สังวรอินทรีย์
ผู้ที่ไม่สำรวมอินทรีย์คือผู้ที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ

พระตถาคตตรัสอุปมาว่าแม่น้ำทั้งหลายย่อมไหลไปสู่ โน้มไปสู่ น้อมไปสู่ โอนไปสู่สมุทร ฉันใด
กุศลธรรมเหล่าใดซึ่งเป็นไปในส่วนวิชชา มีความไม่ประมาทเป็นมูล มีความไม่ประมาทเป็นที่ประชุมลง ฉันนั้น
ความไม่ประมาทเป็นยอดแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย มีเบื้องต้นคือศีลและทิฏฐิที่ตั้งไว้ตรง เป็นเบื้องต้น
ดุจดั่งพระราชาทั้งหลายย่อมเดินตามพระมหาจักพรรดิ์ผู้เป็นยอดของพระราชาเหล่านั้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่าสิ่งที่เรียกว่า จิตก็ดี มโนก็ดี วิญญาณก็ดี ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไปตลอดวันตลอดคืน
ปุถุชนผู้มิได้สดับในธรรมไม่อาจรู้ธรรมอันเป็นเครื่องเกิดปัญญาที่เห็นความเกิดและความดับอันประเสริฐ
พระองค์เปรียบอุปมากายของเรานี้อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูติรูป ๔
เพราะเหตุแห่งการบังเกิดขึ้น การเสื่อมลงไป การถูกยึดครอง หรือแม้แต่การตายก็ดี
ปุถุชนผู้มิได้สดับในธรรมนี้ก็ยังพอจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ปล่อยวางลงได้บ้างในกาย
กายจึงเปรียบเหมือนเสาเขื่อนเสาหลัก ยึดกาย จึงดีกว่ายึดจิต ดังนี้

จึงควรมีสติเข้าไปตั้งไว้ในกาย นี้จึงเป็น กายคตาสติ
อันพระองค์สรรเสริญว่าเป็น
หนทางที่ให้ไปถึงธรรมในเบื้องหน้า
หนทางให้ไปถึงอสังขตะ
ทางคือความสิ้นไปแห่ง ราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ

กายคตาสติ เป็นธรรมที่พระองค์สรรเสริญว่า
เป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ เพื่อปัญญาเจริญไพบูลย์
มีความไม่ประมาทเป็นที่ประชุมลง ดังนี้แล้ว
กายคตาสติจึงเป็นธรรมที่เอื้อต่อความอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน


ขอขอบคุณแหล่งที่มา : https://kitjawattano.blogspot.com/2013/04/blog-post_19.html
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่