ธรรมะรักษาโรค วิญญาณเปรียบเหมือนน้ำ ตัณหาเปรียบเหมือนนายช่างสี นามรูป เปรียบเหมือนรูปภาพที่วาดลงบนฉาก ดุจดั่งกรรม

#################
วิญญาณเปรียบเหมือนเมล็ดพืช  (รสหวาน รสขม วิญญาณที่รู้ บุญ หรือ บาป)
ตัณหาเปรียบเหมือนผู้ปลูกพืช
กรรมเปรียบเหมือนผืนนา


################
ความงอกงาม ของ วิญญาณ ทำให้มีการหยั่งลงของนามรูป  นามรูป ทำให้ได้ขันธิ์ หรืออาตยนะ

คือการได้ขันธิ์ใหม่ของสัตว์เรียกว่าชาติ  นามรูปเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณใหม่ อาตยนะจึงมีผัสสะ เวทนา สังขาร  ตัณหาใหม่ของสัตว์
เพราะอาศัยอาหาร4
วิญญาณ
กรรม มโนกรรม
รูป
ผัสสะ
เป็นอาหารเพราะตัณหา
ตัณหา เรียกอีกชื่อว่านายช่างเรือน  ผู้ปลูกสรา้ง  นายช่างสี   อาหาร   เพื่อเป็นปัจจัย ให้เกิด ผัสสะ เวทนา  ตัณหารุ่นต่อไป
################
พระอานนท์;    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวอยู่ว่า ‘ภพ–ภพ’ (การบังเกิดในภพ)ดังนี้

ภพ ย่อมมีด้วยเหตุเพียงเท่าไรเล่า พระเจ้าข้า!

พระพุทธเจ้าตรัสว่า;    อานนท์ ! ถ้ากรรมมีกามธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้ กามภพ จะพึงปรากฏได้แลหรือ ?

พระอานนท์    ;หามิได้ พระเจ้าข้า !

พระพุทธเจ้าตรัสว่า; อานนท์ ! ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา วิญญาณเป็นเมล็ดพืช ตัณหาเป็นยาง (ผู้หล่อเลี้ยงเชื้องอก) ของพืช วิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ตั้งอยู่แล้วด้วยธาตุชั้นทราม (กามธาตุ) การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้.

อานนท์ ! ถ้ากรรมมีรูปธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้ รูปภพ จะพึงปรากฏได้แลหรือ ?

พระอานนท์    ;หามิได้ พระเจ้าข้า !

พระพุทธเจ้าตรัสว่า; อานนท์ ! ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา วิญญาณเป็นเมล็ดพืช ตัณหาเป็นยางของพืช วิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ตั้งอยู่แล้วด้วยธาตุชั้นกลาง (รูปธาตุ) การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้.

อานนท์ ! ถ้ากรรมมีอรูปธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้ อรูปภพ จะพึงปรากฏได้แลหรือ ?

พระอานนท์    ;หามิได้ พระเจ้าข้า !

พระพุทธเจ้าตรัสว่า; อานนท์ ! ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา วิญญาณเป็นเมล็ดพืช ตัณหาเป็นยางของพืช วิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ตั้งอยู่แล้วด้วยธาตุชั้นประณีต (อรูปธาตุ) การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไปย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้.

อานนท์ ! ภพ ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.


###############################
พุทธวจน


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! อาหาร ๔ อย่างเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรง
อยู่ของสัตว์ทั้งหลาย หรือว่า เพื่ออนุเคราะห์แก่สัมภเวสีสัตว์ทั้งหลาย.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!เปรียบเหมือนช่างย้อม หรือช่างเขียน, เมื่อมีน้ำย้อมคือครั่ง ขมิ้น คราม
หรือสีแดงอ่อน ก็จะพึงเขียนรูปสตรี หรือรูปบุรุษ ลงที่แผ่นกระดาษ หรือฝาผนัง หรือผืนผ้า
ซึ่งเกลี้ยงเกลา ได้ครบทุกส่วน, อุปมานี้ฉันใด;

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! อุปไมยก็ฉันนั้น ถ้ามีราคะ(ความกำหนัดยินดี) มีนันทิ(ความเพลิดเพลิน)
มีตัณหา (ความทะยานอยาก) ในกพฬิการาหาร, ในผัสสาหาร ,ในมโนสัญเจตนาหาร,
ในวิญญาณาหาร  ไซร้, วิญญาณ ก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ได้ เจริญ
งอกงามอยู่ได้ ในกพฬิการาหาร,ในผัสสาหาร ,ในมโนสัญเจตนาหาร,
ในวิญญาณาหารนั้น. วิญญาณที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ มีอยู่
ในที่ใด.การหยั่งลงแห่งนามรูป ก็มีอยู่ในที่นั้น. การหยั่งลงแห่งนามรูปมีอยู่ ในที่ใด,
ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ก็มีอยู่ในที่นั้น. ความเจริญแห่งสังขาร(กรรมเก่า ตาหูจมูกลิ้นกายใจ  กรรมใหม่เจตนา)ทั้งหลาย มีอยู่
ในที่ใด การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น. การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป
มีอยู่ ในที่ใด, ชาติรามรณะต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น. ชาติรามรณะต่อไป มีอยู่ ในที่ใด,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เราเรียกที่นั้นว่า "เป็นที่มีโศก มีธุลี มีความคับแค้น" ดังนี้.

#######################################

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายย่อมเห็นขันธปัญจกที่เกิดแล้วหรือไม่ ?

     ภ. เห็นพระพุทธเจ้าข้า.
     พ. เธอทั้งหลายย่อมเห็นว่า ขันธปัญจกนั้นเกิดเพราะอาหารหรือ ?
     ภ. เห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
     พ. เธอทั้งหลายย่อมเห็นว่า ขันธปัญจกนั้นมีความดับเป็นธรรมดา เพราะความดับแห่งอาหารนั้นหรือ?
     ภ. เห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

     พ. ความสงสัยย่อมเกิดขึ้น เพราะความเคลือบแคลงว่า ขันธปัญจกนี้ มีหรือหนอ?
     ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
     พ. ความสงสัยย่อมเกิดขึ้น เพราะความเคลือบแคลงว่า ขันธปัญจกเกิดเพราะอาหารนั้นหรือหนอ?
     ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

     พ. ความสงสัยย่อมเกิดขึ้น เพราะความเคลือบแคลงว่า ขันธปัญจกนั้น มีความดับเป็นธรรมดา เพราะความดับแห่งอาหารนั้น หรือหนอ?
     ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
     พ. บุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า ขันธปัญจกนี้เกิดแล้ว ย่อมละความสงสัยที่เกิดขึ้นเสียได้หรือ?
     ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

     พ. บุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า ขันธปัญจกเกิดเพราะอาหารนั้นย่อมละความสงสัยที่เกิดขึ้นเสียได้หรือ?
     ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
     พ. บุคคลเห็นอยู่ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า ขันธปัญจกนั้น มีความดับเป็นธรรมดา เพราะความดับแห่งอาหารนั้น ย่อมละความสงสัยที่เกิดขึ้นเสียได้หรือ?
     ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

     พ. เธอทั้งหลายหมดความสงสัยในข้อว่า ขันธปัญจกนี้เกิดแล้ว แม้ดังนี้หรือ?
     ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
     พ. เธอทั้งหลายหมดความสงสัยในข้อว่า ขันธปัญจกเกิดเพราะอาหารนั้น แม้ดังนี้หรือ?
     ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

     พ. เธอทั้งหลายหมดความสงสัยในข้อว่า ขันธปัญจกนั้นมีความดับเป็นธรรมดา เพราะความดับแห่งอาหารนั้น แม้ดังนี้หรือ?
     ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
     พ. เธอทั้งหลายเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า ขันธปัญจกนี้เกิดแล้วดังนี้หรือ?
     ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

     พ. เธอทั้งหลายเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า ขันธปัญจกเกิดเพราะอาหารนั้น ดังนี้หรือ?
     ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
     พ. เธอทั้งหลายเห็นดีแล้วปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า ขันธปัญจกนั้น มีความดับเป็นธรรมดา เพราะความดับแห่งอาหารนั้น ดังนี้หรือ?
     ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

     พ. หากว่า เธอทั้งหลาย พึงติดอยู่ เพลินอยู่ ปรารถนาอยู่ ยึดถือเป็นของเราอยู่ซึ่งทิฏฐินี้อันบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างนี้ (ด้วยตัณหาและทิฏฐิ) เธอทั้งหลายพึงรู้ทั่วถึงธรรมที่เปรียบด้วยทุ่น อันเราแสดงแล้ว เพื่อประโยชน์ในอันสลัดออก  มิใช่แสดงแล้วเพื่อประโยชน์ในอันถือไว้บ้างหรือหนอ?
     ภ. ข้อนี้ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

     พ. หากว่า เธอทั้งหลาย ไม่ติดอยู่ ไม่เพลินอยู่ ไม่ปรารถนาอยู่ ไม่ยึดถือเป็นของเราอยู่ ซึ่งทิฏฐิอันบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างนี้ เธอทั้งหลายพึงรู้ธรรมที่เปรียบด้วยทุ่นอันเราแสดงแล้วเพื่อประโยชน์ในอันสลัดออก ไม่ใช่แสดงแล้ว เพื่อประโยชน์ในอันถือไว้ บ้างหรือหนอ?
     ภ. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่