ว่าด้วยเหตุให้มีการเกิด-

(จุติและปฏิสนธิวิญญาณ)

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวอยู่ว่า  ‘ภพ  –  ภพ’  ดังนี้.  ภพ  ย่อมมีได้  ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเล่า ?  พระเจ้าข้า” 
  
อานนท์ !  ถ้ากรรม มีกามธาตุเป็นวิบาก  จักไม่ได้มีแล้วไซร้,  กามภพ   จะพึงปรากฏได้แลหรือ ? 
  “หามิได้ พระเจ้าข้า !” 
  
อานนท์ !  ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา, วิญญาณเป็นเมล็ดพืช,  ตัณหาเป็นยาง  (สำหรับหล่อเลี้ยงเชื้องอก)  ของพืช.  ความเจตนาก็ดี  ความปรารถนาก็ดี  วิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย  ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น  มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน  ตั้งอยู่แล้ว  ด้วยธาตุชั้นทราม(กามธาตุ),  การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป  ย่อมมีได้  ด้วยอาการอย่างนี้. 
  
อานนท์ !  ถ้ากรรม  มีรูปธาตุเป็นวิบาก  จักไม่ได้มีแล้วไซร้,  รูปภพ  จะพึงปรากฏได้แลหรือ ? 
  “หามิได้ พระเจ้าข้า !” 
  
อานนท์ !  ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา,  วิญญาณเป็นเมล็ดพืช,  ตัณหาเป็นยาง  (สำหรับหล่อเลี้ยงเชื้องอก)  ของพืช.  ความเจตนาก็ดี  ความปรารถนาก็ดี  วิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย  ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น  มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพันตั้งอยู่แล้ว  ด้วยธาตุชั้นกลาง(รูปธาตุ),  การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป  ย่อมมีได้  ด้วยอาการอย่างนี้.   
อานนท์ !  ถ้ากรรม มีอรูปธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้.  อรูปภพ  จะพึงปรากฏได้แลหรือ ? 
  “หามิได้ พระเจ้าข้า !” 
  
อานนท์ !  ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา,  วิญญาณเป็นเมล็ดพืช,  ตัณหาเป็นยาง  (สำหรับหล่อเลี้ยงเชื้องอก)  ของพืช.  ความเจตนาก็ดี  ความปรารถนาก็ดี  วิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย  ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น  มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพันตั้งอยู่แล้ว ด้วยธาตุชั้นประณีต(อรูปธาตุ),  การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป  ย่อมมีได้  ด้วยอาการอย่างนี้. 
อานนท์ !  ภพ ย่อมมีได้  ด้วยอาการอย่างนี้แล. 
 - ติก. อํ. ๒๐/๒๘๘/๕๑๗. 

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เปรียบเหมือนเมล็ดพืชทั้งหลาย ที่ไม่แตกหัก ที่ไม่เน่า ที่ไม่ถูกทำลายด้วยลมและแดด เลือกเอาแต่เม็ดดี เก็บงำไว้ดี อันบุคคลหว่านไปแล้ว ในพื้นที่ซึ่งมีปริกรรมอันกระทำดีแล้ว ในเนื้อนาดี. 
อนึ่ง สายฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล. 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เมล็ดพืชทั้งหลายเหล่านั้น จะพึงถึงซึ่งความเจริญ งอกงามไพบูลย์โดยแน่นอน, ฉันใด; 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือ กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโลภะ เกิดจากโลภะ มีโลภะเป็นเหตุ มีโลภะเป็นสมุทัย อันใด; 
กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลาย อันเป็นที่บังเกิดแก่อัตตภาพของบุคคลนั้น กรรมนั้นให้ผลในอัตตภาพใด เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง๑ ไม่ว่าจะเป็นไปอย่างในทิฏฐิธรรม หรือว่า เป็นไปอย่างในอุปปัชชะ หรือว่าเป็นไปอย่างในอปรปริยายะ๒ ก็ตาม. 
กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโทสะ เกิดจากโทสะ มีโทสะเป็นเหตุ มีโทสะเป็นสมุทัย อันใด; 
กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลายอันเป็นที่บังเกิดแก่อัตตภาพของบุคคลนั้น กรรมนั้น ให้ผลในอัตตภาพใด เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นไปอย่างในทิฏฐิธรรม หรือว่า เป็นไปอย่างในอุปปัชชะ หรือว่า เป็นไปอย่างในอปรปริยายะ ก็ตาม.
 
กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโมหะ เกิดจากโมหะ มีโมหะเป็นเหตุ มีโมหะเป็นสมุทัยอันใด; 
กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลาย อันเป็นที่บังเกิดแห่งอัตตภาพของบุคคลนั้น กรรมนั้น ให้ผลในอัตตภาพใด เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นไปอย่างใน ทิฏฐิธรรม(คือทันควัน) หรือว่า เป็นไปอย่างในอุปปัชชะ(ในระยะเวลาถัดมา) หรือว่า เป็นไปอย่างในอปรปริยายะ (เวลาที่ถัดมาอีก) ก็ตาม. 

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เหตุทั้งหลาย 3 ประการ คือ โลภะ เป็นเหตุเพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย, 
โทสะ เป็นเหตุเพื่อความเกิดขึ้น แห่งกรรมทั้งหลาย, 
โมหะ เป็นเหตุเพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย เหล่านี้แล เป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย. 
.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่