10 หนังปมลัทธิสยอง (Religious Horror) ยอดเยี่ยมตลอดกาล


สำหรับลิสต์ 'รีลิเจียสฮอเรอร์' เป็นลักษณะของหนังสยองขวัญที่มีการผูกเนื้อหาเข้ากับประเด็นทางศาสนา ความเชื่อ และเรื่องราวเหนือธรรมชาติ โดยพยายามพิสูจน์ ค้นหาคำตอบ หรือต่อต้านสิ่งเร้นลับที่ซ่อนอยู่ในภายใต้ประเด็นซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของหนัง...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

10. The House of the Devil (2009)

สำหรับใครที่เคยชื่นชอบพล็อตและวิธีการเล่าเรื่องของ The Skeleton Key เชื่อว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้คุณรู้สึกประทับใจไม่น้อยไปกว่ากัน โดยลักษณะการเซ็ทพล็อตที่พาตัวเอกสาวไปอยู่ในสถานการณ์พิเศษ ที่เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว และความลึกลับที่ชวนขนหัวลุก ก่อนความชั่วร้ายที่ถูกเก็บงำเอาไว้จะค่อยๆถูกเปิดออกอย่างน่าสะพรึง ซึ่งจุดเริ่มต้นของเรื่องเกิดจากตัวเอกสาวนักศึกษามหาลัยที่ไปรับงานพี่เลี้ยงเด็กให้กับครอบครัวมหาเศรษฐี แต่เมื่อไปถึงบ้านที่นัดหมายกลับพบว่าไม่มีเด็กอยู่เลยสักคน ขณะเดียวกันภายในบ้านก็อบอวนไปด้วยรังสีอำมหิตและจิตมุ่งร้ายจากบางสิ่งที่รอการมาของเธออย่างใจจดใจจ่อ








9. Hereditary (2018)

การสืบสานเจตนารมณ์แห่งความชั่วร้าย เป็นคอนเซ็ปต์หลักของหนังรีลิเจียสฮอเรอร์ที่ถูกนำมาใช้กันอยู่บ่อยครั้งในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะต่างเลือดเนื้อเชื้อไขอย่าง Drag Me to Hell, The Skeleton Key จึงเป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับการใช้แบบแผนดังกล่าวมาโฟกัสภายในวงศาคณาญาติที่ผู้เป็นแม่ถูกบังให้มีลูกสองคนเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ก่อนจะใช้ปมการสูญเสียลูกสาว เพื่อล้วงถึงมุมซ่อนเร้นภายในครอบครัวและนำไปสู่ช่วงไคลแม็กซ์ที่หลอนลึก ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอีกความยอดเยี่ยมของหนังที่ไม่ได้เน้นขายตุ้งแช่ แต่หลายๆซีนมีการโผล่ให้เห็นกันซึ่งๆหน้า เพียงแต่เราไม่อาจรู้ว่าพวกมันจะมาไม้ไหนหรือด้วยเหตุผลอะไร จึงกลายเป็นความหลอน ความหวาดระแวงที่ไม่อาจลืมได้ลง








8. The Devil's Advocate (1997)

เมื่อมนุษย์ถูกหลอกล่อให้ต้องเผชิญกับกิเลสที่ซ่อนอยู่ในจิตเบื้องลึก เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจที่จะเป็นบทสรุปของการต่อสู้กับปีศาจร้าย ซึ่งข้อความข้างต้นเรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญที่ถูกดัดแปลงจากนิยายของ Andrew Neiderman โดยหนังเปิดเรื่องด้วยทนายหนุ่มไฟแรงผู้ชนะในการว่าความติดต่อกันถึง 64 ครั้ง ก่อนจะเป็นที่ต้องตาของบริษัทกฎหมายยักษ์ใหญ่ที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งจุดที่หนังพยายามโฟกัสคือตัวตนที่ค่อยๆเปลี่ยนไปของทนายหนุ่มที่ถูกขับจากกิเลสที่พร้อมจะละทิ้งทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าจุดสูงสุด ขณะเดียวกันก็ถูกหนุนหลังโดยเจ้าของบริษัทใหม่ซึ่งเป็นชายสูงวัยที่มีบุคลิกลึกลับและแฝงด้วยเจตนารมณ์อันซ่อนเร้น








7. Frailty (2001)

วิธีการเล่าเรื่องลักษณะเดียวกับ The Usual Suspects ที่เปิดเรื่องด้วยการสนทนาระหว่าง 2 ตัวละครที่แบ่งเป็นฝั่งผู้พูดและผู้ฟัง เพื่อเป็นการวางปมและกระตุ้นข้อสงสัยของคนดูก่อนนำไปสู่การเฉลยความจริงที่สอดแทรกจุดพล็อตทวิสต์อย่างแนบเนียน โดยเรื่องนี้เปิดปมด้วยชายคนหนึ่งที่กล่าวอ้างกับหัวหน้าเอฟบีไอว่ารู้จักฆาตกรนามว่า "หัตถ์พระเจ้า" ก่อนที่ชายคนนั้นจะย้อนเล่าความเป็นมาทั้งหมด ตั้งแต่สมัยวัยเด็กของฆาตกรที่มีจุดเริ่มจากผู้เป็นพ่อที่ขายวิญญาณให้กับพระเจ้า และเชื่อว่าการกำจัดมนุษย์ที่เขามองว่ามีจิตใจชั่วร้ายจะเป็นการชำระบาปให้กับโลก ซึ่งมันก็นำมาสู่การถ่ายทอดเจตนารมณ์สู่ผู้เป็นลูกและการเล่นกับความเชื่อถึงการมีอยู่จริงของพระเจ้าได้อย่างดีเยี่ยม








6. The Omen (1976)

ต้นแบบที่ประสบความสำเร็จของตัวละครแนว evil children ที่เชื่อมโยงกับแนวคิดลี้ลับของคริสต์และอาถรรพ์ตัวเลข '666' ที่หมายถึงวิญญาณชั่วร้าย การต่อต้านพระเจ้า และการทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ โดยหนังเปิดปมด้วยนักการทูตอังกฤษที่รับเด็กทารกคนหนึ่งมาเลี้ยงเป็นลูกของตัวเอง ซึ่งครอบครัวนี้ที่มีทั้งพ่อ แม่ และลูก ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข กระทั่งเกิดเหตุฆ่าตัวตายของหญิงสาวคนหนึ่งในงานเลี้ยงสังสรรค์ที่เต็มไปด้วยปริศนาอันซ่อนเร้นโดยเฉพาะคำพูดก่อนตายถึงเด็กน้อย 'เดเมียน' และหนังก็โฟกัสไปยังการค่อยๆเปิดเผยเบื้องหลังและการกระทำที่เป็นภัยคุกคามของเดเมียน ที่นับวันจะยิ่งหนักข้อมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีช่างภาพอิสระรายหนึ่งที่ฉุกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนต้องไล่สืบความจริงด้วยตัวเอง








5. Mother! (2017)

หากมองผิวเผินในมุมหนังดราม่า-โรแมนซ์อาจอธิบายได้ว่าเป็นความสัมพันธ์คู่รักที่ถูกกลุ่มมือที่สามเข้ามาคุกคามพื้นที่ส่วนตัวและเกิดการเสียสละ ที่นำไปสู่การล่มสลายของชีวิตคู่ แม้เป็นมุมมองที่สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหนัง แต่หัวใจสำคัญแท้จริงคือสะท้อนประเด็นทางศาสนา ตัวตนของพระเจ้า และพระแม่ธรณีที่เชื่อมโยงถึงการให้กำเนิดโลก ซึ่งทาง Darren Aronofsky นำเสนอสิ่งเหล่านั้นในสไตล์ที่ตัวเองถนัด ที่ค่อยๆไต่ระดับของความเข้มข้น ความบ้าคลั่งจนถึงขีดสุด โดยหนังเปิดเรื่องด้วยคู่สามีภรรยาที่มีอดีตอันเจ็บปวดจากการสูญเสียบ้าน ก่อนจะพาไปสำรวจชีวิตอันเรียบง่ายของทั้งคู่ กระทั่งการมาเยือนของชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการคุกคามที่จะแปรเปลี่ยนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปตลอดกาล








4. The Wicker Man (1973)

ผลงานที่ดีที่สุดภายใต้การกำกับของ Robin Hardy และเป็นหนึ่งในหนังที่ถูกพูดถึงบ่อยในแง่ของทวิสต์เอนดิ้งหรือหนังที่มีตอนจบช็อคคนดูมากที่สุด โดยหัวใจสำคัญคือการนำเสนอพิธีกรรมสุดแปลกเพื่อเป็นการพิสูจน์ศรัทธาต่อพระเจ้า และมีลักษณะของการกระทำที่หมิ่นเหม่ศีลธรรม ความถูกต้อง จนนำไปสู่ข้อถกเถียงถึงตัวเนื้อหาจากคนบางกลุ่ม โดยหนังวางปมเกี่ยวกับตำรวจผู้เคร่งศาสนาที่ต้องเดินทางไปยังเกาะแห่งหนึ่งเพื่อสืบหาการหายตัวไปของเด็กสาว และยังโฟกัสไปที่ปริศนาคำว่า 'วิกเกอร์ เเมน' :ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ถูกเชื่อมโยงกับไคลแม็กซ์ของเรื่องที่เฉลยออกมาได้อย่างทรงพลัง








3. Suspiria (1977)

นับเป็นหนังรีลิเจียสฮอเรอร์ที่ขึ้นชื่อในแง่ความสยองขวัญที่ทั้งแหวะและน่าขยะแขยงมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ทั้งยังโดดเด่นด้วยองค์ประกอบศิลป์โดยเฉพาะการใช้สีแดงเป็นโทนสีหลักที่จะพบเห็นได้เกือบทุกซีนในเรื่อง เพื่อสะท้อนความอันตราย ความอาฆาตที่ถูกฝังลึกอยู่ในผู้คนและสถานที่ โดยปมเรื่องพูดถึง 'ซูซี่ เเบนเนียน' หญิงสาวที่เดินทางจากนิวยอร์กเพื่อมาฝึกบัลเล่ต์ในสถานบันชื่อดังที่เยอรมัน ทว่าเมื่อเธอมาถึงกลับพบการเสียชีวิตปริศนาของหญิงสาวรายหนึ่งที่มีสภาพอันน่าสยดสยอง ชวนขนหัวลุก โดยหนังโฟกัสไปยังซูซี่ที่ต้องเผชิญเหตุการณ์แปลกประหลาดมากมายในสถาบันแห่งนี้ ก่อนข้อมูลบางอย่างจะเชื่อมโยงไปถึงสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ








2. Rosemary's Baby (1968)

การสูญเสียภรรยาด้วยน้ำมือของครอบครัวแมนสันที่นำมาสู่สภาวะซึมเศร้า จิตตกของ Roman Polanski ได้ถูกสะท้อนผ่าน "ดิ อพาร์ทเม้นท์ ทริโลจี้" ซึ่งหนังเรื่องนี้ได้นำเสนอเค้าไอเดียการให้กำเนิดบุตรซาตาน ที่ต่อยอดถึงเรื่องลัทธิและสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ กระทั่งพาไปสู่ตอนจบชวนช็อคที่กลายเป็นต้นแบบของหนังรีลิเจียสฮอเรอร์ในยุคปัจจุบัน โดยเปิดเรื่องด้วยคู่รักหนุ่มสาวที่ย้ายมายังอพาร์ทเม้นท์แห่งใหม่ ก่อนหนังจะถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศอันน่าฉงนใจของสถานที่และผู้คนที่อยู่อาศัย ซึ่งจุดสำคัญคือหลังตัวเอกสาวได้ทำการตั้งครรภ์ และทำให้เธอต้องเผชิญกับเหตุการณ์แปลกประหลาดที่นำไปสู่สภาวะหวาดระแวง จิตตกขั้นรุนแรงกลัวว่าคนรอบตัวจะมาพรากลูกจากเธอไป








1. The Exorcist (1973)

เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบหนังสยองขวัญที่ประสบความสำเร็จจากตัวบทที่สามารถเซ็ทเรื่องราวเข้ากับการผูกปมอาถรรพ์และสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติได้อย่างดีเยี่ยม และยังโดดเด่นในงานเมคอัพเพื่อสร้างความสยองที่ดูดิบและสมจริง ไม่ใช่แค่หวังพึ่งงานวิชวลเอฟเฟคเหมือนหนังส่วนใหญ่ยุคปัจจุบัน รวมถึงการกำกับที่เล่นกับไทม์มิ่งในการสร้างความสยองได้อย่างลงตัว จนกลายเป็นความยอดเยี่ยมที่ส่งต่อผ่านกาลเวลา โดยเปิดเรื่องด้วยบาทหลวงนักโบราณที่บังเอิญขุดพบวัตถุแปลกประหลาดที่เชื่อมโยงไปยังอาถรรพ์ปีศาจร้าย และหนังก็ผูกปมดังกล่าวเข้ากับเหตุการณ์ที่ผ่านล่วงเลยไปหลายสิบปีเมื่อเด็กสาวคนหนึ่งต้องเผชิญกับอาการป่วยที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์
.
.
.
.
.
.
.

ทวิตเตอร์เพจ @Review_Me_ พูดคุยหนังทั่วไปเเละซีรีส์(โดยเฉพาะฝั่งเกาหลี)



ขออนุญาตฝากเพจนะครับ

https://www.facebook.com/Criticalme



เเละขออนุญาตฝากไอจีเพจด้วยนะครับ @review_me__
เป็นพื้นที่สำหรับรีวิวหนังสือนิยายต่างๆโดยเฉพาะแนวสืบสวน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่