(อะยะเมวะ อะริโย อัฎฐังคิโก มัคโค)
หนทางนี้แลเป็นหนทางอันประเสริฐ ซึ่งประกอบด้วยองค์แปด
(เสยยะถีทัง)
ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ:-
(สัมมาทิฎฐิ)
ความเห็นชอบ
(สัมมาสังกัปโป)
ความดำริชอบ
(สัมมาวาจา)
การพูดจาชอบ
(สัมมากัมมันโต)
การทำการงานชอบ
(สัมมาอาชีโว)
การเลี้ยงชีวิตชอบ
(สัมมาวายาโม)
ความพากเพียรชอบ
(สัมมาสะติ)
ความระลึกชอบ
(สัมมาสะมาธิ)
ความตั้งใจมั่นชอบ
(กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาทิฎฐิ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัมมาทิฏฐิเป็นอย่างไรเล่า?
(ยัง โข ภิกขะเว ทุกเข ญาณัง)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้อันใด เป็นความรู้ในทุกข์
(ทุกขะสะมุทะเย ญาณัง)
เป็นความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์
(ทุกขะนิโรเธ ญาณัง)
เป็นความรู้ในความดับแห่งทุกข์
(ทุกขะนิโรธะคามินิยา ปะฏิปะทายะ ญาณัง)
เป็นความรู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับแห่งทุกข์
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาทิฎฐิ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาทิฏฐิ
(กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัมมาสังกัปปะ เป็นอย่างไรเล่า?
(เนกขัมมะสังกัปโป)
ความดำริในการออกจากกาม
(อะพยาปาทะสังกัปโป)
ความดำริในการไม่มุ่งร้าย
(อะวิหิงสาสังกัปโป)
ความดำริในการไม่เบียดเบียน
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาสังกัปปะ
(กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาวาจา)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัมมาวาจา เป็นอย่างไรเล่า?
(มุสาวาทา เวระมะณี)
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดไม่จริง
(ปิสุณายะ วาจายะ เวระมะณี)
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดส่อเสียด
(ผะรุสายะ วาจายะ เวระมะณี)
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดหยาบ
(สัมผัปปะลาปา เวระมะณี)
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวาจา)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาวาจา
(กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัมมากัมมันตะ เป็นอย่างไรเล่า?
(ปาณาติปาตา เวระมะณี)
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการฆ่า
(อะทินนาทานา เวระมะณี)
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการถือเอาสิ่งของ ที่เจ้าของไม่ได้ให้แล้ว
(กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี)
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมากัมมันตะ
(กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัมมาอาชีวะ เป็นอย่างไรเล่า?
(อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาวกของพระอริยเจ้า ในธรรมวินัยนี้
(มิจฉาอาชีวัง ปะหายะ)
ละการเลี้ยงชีวิตที่ผิดเสีย
(สัมมาอาชีเวนะ ชีวิกัง กัปเปติ)
ย่อมสำเร็จความเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีวิตที่ชอบ
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาอาชีวะ
(กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาวายาโม)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัมมาวายามะเป็นอย่างไรเล่า?
(อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
(อะนุปปันนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง อะนุปปาทายะ,
ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ;)
ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น, ย่อมพยายาม, ปรารภความเพียร,
ประคองตั้งจิตไว้, เพื่อจะยังอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น
(อุปปันนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง ปะหานายะ,
ฉันทัง ชะเนติ วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ;)
ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น, ย่อมพยายาม, ปรารภความเพียร,
ประคองตั้งจิตไว้, เพื่อจะละอกุศลธรรม อันเป็นบาปที่เกิดขึ้นแล้ว
(อนุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง อุปปาทายะ ฉันทัง ชะเนติ,
วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง, ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ;)
ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายาม ปรารภความเพียร
ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น
(อุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง ฐิติยา, อะสัมโมสายะ ภิยโยภาวายะ,
เวปุลลายะ ภาวะนายะ, ปาริปูริยา, ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ,
วิริยัง อาระภะติ จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ)
ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายาม ปรารภความเพียร
ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งอยู่ ความไม่เลอะเลือน ความงอกงามยิ่งขึ้น
ความไพบูลย์ ความเจริญ ความเต็มรอบ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวายาโม)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาวายามะ
(กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาสะติ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัมมาสติ เป็นอย่างไรเล่า?
(อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
(กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ)
ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
(อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ
โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง)
มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌา และโทมนัส ในโลกออกเสียได้
(เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ)
ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
(อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ
โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง)
มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌา และโทมนัส ในโลกออกเสียได้
(จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ)
ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ
(อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ
โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง)
มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌา และโทมนัส ในโลกออกเสียได้
(ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ)
ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
(อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ
โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง)
มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌา และโทมนัส ในโลกออกเสียได้
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะติ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาสติ
(กะตะโม จะภิกขะเว สัมมาสะมาธิ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัมมาสมาธิ เป็นอย่างไรเล่า?
(อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
(วิวิจเจวะ กาเมหิ)
สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย
(วิวิจจะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ)
สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลาย
(สะวิตักกัง สะวิจารัง, วิเวกะชัง. ปีติสุขัง ปะฐะมัง
ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ;)
เข้าถึงปฐมฌาน, ประกอบด้วยวิตกวิจาร,
มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวกแล้วแลอยู่;
(วิตักกะวิจารานัง วูปะสะมา)
เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง
(อัชฌัตตัง สัมปะสาทะนัง เจตะโส, เอโกทิภาวัง อะวิตักกัง อะวิจารัง
สะมาธิชัง ปีติสุขัง ทุติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ;)
เข้าถึงทุติยฌาน, เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน
ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่
(ปีติยา จะ วิราคา)
อนึ่ง เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ
(อุเปกขะโก จะวิหะระติ, สะโต จะ สัมปะชาโน,)
ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา, มีสติและสัมปชัญญะ,
(สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏิสังเวเทติ,)
และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย,
(ยันตัง อะริยา อาจิกขันติ, อุเปกขะโก สะติมา สุขะวิหารี ติ,)
ชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า
“เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปรกติสุข” ดังนี้
(ตะติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ;)
เข้าถึงตติยฌาน แล้วแลอยู่;
(สุขัสสะ จะ ปะหานา,)
เพราะละสุขเสียได้,
(ทุกขัสสะ จะ ปะหานา,)
และเพราะละทุกข์เสียได้,
(ปุพเพวะ โสมะนัสสะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมา,)
เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อน,
(อะทุกขะมะสุขัง อุเปกขาสะติปาริสุทธิง,
จะตุตถัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ.)
เข้าถึงจตุตฌาน, ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข,
มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาสมาธิ
Cr.
https://ppantip.com/topic/37994633/comment17 คห.8
" อ ริ ย อั ฏ ฐั ง คิ ก ม ร ร ค "
หนทางนี้แลเป็นหนทางอันประเสริฐ ซึ่งประกอบด้วยองค์แปด
(เสยยะถีทัง)
ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ:-
(สัมมาทิฎฐิ)
ความเห็นชอบ
(สัมมาสังกัปโป)
ความดำริชอบ
(สัมมาวาจา)
การพูดจาชอบ
(สัมมากัมมันโต)
การทำการงานชอบ
(สัมมาอาชีโว)
การเลี้ยงชีวิตชอบ
(สัมมาวายาโม)
ความพากเพียรชอบ
(สัมมาสะติ)
ความระลึกชอบ
(สัมมาสะมาธิ)
ความตั้งใจมั่นชอบ
(กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาทิฎฐิ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิเป็นอย่างไรเล่า?
(ยัง โข ภิกขะเว ทุกเข ญาณัง)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้อันใด เป็นความรู้ในทุกข์
(ทุกขะสะมุทะเย ญาณัง)
เป็นความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์
(ทุกขะนิโรเธ ญาณัง)
เป็นความรู้ในความดับแห่งทุกข์
(ทุกขะนิโรธะคามินิยา ปะฏิปะทายะ ญาณัง)
เป็นความรู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับแห่งทุกข์
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาทิฎฐิ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาทิฏฐิ
(กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสังกัปปะ เป็นอย่างไรเล่า?
(เนกขัมมะสังกัปโป)
ความดำริในการออกจากกาม
(อะพยาปาทะสังกัปโป)
ความดำริในการไม่มุ่งร้าย
(อะวิหิงสาสังกัปโป)
ความดำริในการไม่เบียดเบียน
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาสังกัปปะ
(กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาวาจา)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวาจา เป็นอย่างไรเล่า?
(มุสาวาทา เวระมะณี)
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดไม่จริง
(ปิสุณายะ วาจายะ เวระมะณี)
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดส่อเสียด
(ผะรุสายะ วาจายะ เวระมะณี)
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดหยาบ
(สัมผัปปะลาปา เวระมะณี)
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวาจา)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาวาจา
(กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมากัมมันตะ เป็นอย่างไรเล่า?
(ปาณาติปาตา เวระมะณี)
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการฆ่า
(อะทินนาทานา เวระมะณี)
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการถือเอาสิ่งของ ที่เจ้าของไม่ได้ให้แล้ว
(กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี)
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมากัมมันตะ
(กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาอาชีวะ เป็นอย่างไรเล่า?
(อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาวกของพระอริยเจ้า ในธรรมวินัยนี้
(มิจฉาอาชีวัง ปะหายะ)
ละการเลี้ยงชีวิตที่ผิดเสีย
(สัมมาอาชีเวนะ ชีวิกัง กัปเปติ)
ย่อมสำเร็จความเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีวิตที่ชอบ
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาอาชีวะ
(กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาวายาโม)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวายามะเป็นอย่างไรเล่า?
(อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
(อะนุปปันนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง อะนุปปาทายะ,
ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ;)
ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น, ย่อมพยายาม, ปรารภความเพียร,
ประคองตั้งจิตไว้, เพื่อจะยังอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น
(อุปปันนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง ปะหานายะ,
ฉันทัง ชะเนติ วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ;)
ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น, ย่อมพยายาม, ปรารภความเพียร,
ประคองตั้งจิตไว้, เพื่อจะละอกุศลธรรม อันเป็นบาปที่เกิดขึ้นแล้ว
(อนุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง อุปปาทายะ ฉันทัง ชะเนติ,
วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง, ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ;)
ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายาม ปรารภความเพียร
ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น
(อุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง ฐิติยา, อะสัมโมสายะ ภิยโยภาวายะ,
เวปุลลายะ ภาวะนายะ, ปาริปูริยา, ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ,
วิริยัง อาระภะติ จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ)
ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายาม ปรารภความเพียร
ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งอยู่ ความไม่เลอะเลือน ความงอกงามยิ่งขึ้น
ความไพบูลย์ ความเจริญ ความเต็มรอบ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวายาโม)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาวายามะ
(กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาสะติ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสติ เป็นอย่างไรเล่า?
(อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
(กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ)
ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
(อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง)
มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌา และโทมนัส ในโลกออกเสียได้
(เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ)
ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
(อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง)
มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌา และโทมนัส ในโลกออกเสียได้
(จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ)
ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ
(อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง)
มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌา และโทมนัส ในโลกออกเสียได้
(ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ)
ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
(อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง)
มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌา และโทมนัส ในโลกออกเสียได้
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะติ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาสติ
(กะตะโม จะภิกขะเว สัมมาสะมาธิ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสมาธิ เป็นอย่างไรเล่า?
(อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
(วิวิจเจวะ กาเมหิ)
สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย
(วิวิจจะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ)
สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลาย
(สะวิตักกัง สะวิจารัง, วิเวกะชัง. ปีติสุขัง ปะฐะมัง
ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ;)
เข้าถึงปฐมฌาน, ประกอบด้วยวิตกวิจาร,
มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวกแล้วแลอยู่;
(วิตักกะวิจารานัง วูปะสะมา)
เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง
(อัชฌัตตัง สัมปะสาทะนัง เจตะโส, เอโกทิภาวัง อะวิตักกัง อะวิจารัง
สะมาธิชัง ปีติสุขัง ทุติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ;)
เข้าถึงทุติยฌาน, เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน
ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่
(ปีติยา จะ วิราคา)
อนึ่ง เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ
(อุเปกขะโก จะวิหะระติ, สะโต จะ สัมปะชาโน,)
ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา, มีสติและสัมปชัญญะ,
(สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏิสังเวเทติ,)
และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย,
(ยันตัง อะริยา อาจิกขันติ, อุเปกขะโก สะติมา สุขะวิหารี ติ,)
ชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า
“เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปรกติสุข” ดังนี้
(ตะติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ;)
เข้าถึงตติยฌาน แล้วแลอยู่;
(สุขัสสะ จะ ปะหานา,)
เพราะละสุขเสียได้,
(ทุกขัสสะ จะ ปะหานา,)
และเพราะละทุกข์เสียได้,
(ปุพเพวะ โสมะนัสสะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมา,)
เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อน,
(อะทุกขะมะสุขัง อุเปกขาสะติปาริสุทธิง,
จะตุตถัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ.)
เข้าถึงจตุตฌาน, ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข,
มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่
(อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาสมาธิ
Cr. https://ppantip.com/topic/37994633/comment17 คห.8