ตรัสสอนว่า
กะถัง ภาวิตา จะ ภิกขะเว อานาปานะสะติ
ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ
อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร
กะถัง พะหุลีกะตา จัตตาโร
สะติปัฏฐาเน ปะริปูเรนติ
ทำให้มากแล้วอย่างไร
จึงทำให้สติปัฏฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ได้
(หมวดกายานุปัสสนา)
ยัสมิง สะมะเย ภิกขะเว ภิกขุ ทีฆัง วา
อัสสะสันโต ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุ
เมื่อหายใจเข้ายาว
ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว
ทีฆัง วา ปัสสะสันโต ทีฆัง ปัสสะสามีติ
ปะชานาติ
เมื่อหายใจออกยาว
ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว
รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง อัสสะสามีติ
ปะชานาติ
เมื่อหายใจเข้าสั้น
ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น
รัสสัง วา ปะสัสสะสันโต รัสสัง ปัสสะสามีติ
ปะชานาติ
เมื่อหายใจออกสั้น
ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น
สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ
สิกขะติ
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง
หายใจเข้า
สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ
สิกขะติ
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง
หายใจออก
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ
สิกขะติ
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับ หายใจเข้า
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ
สิกขะติ
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับ หายใจออก
กาเย กายานุปัสสี ภิกขะเว ตัสมิง
สะมะเย ภิกขุ วิหะระติ
ภิกษุทั้งหลาย สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า
เป็นผู้เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
อาตาปิ สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ
โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้
กาเยสุ กายัญญะตะราหัง ภิกขะเว
เอตัง วะทามิ ยะทิทัง อัสสาสะปัสสาสัง
ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าว ลมหายใจเข้า
และลมหายใจออก ว่าเป็นกายอันหนึ่ง ๆ
ในกายทั้งหลาย
ตัสมาติหะ ภิกขะเว กาเย กายานุปัสสี
ตัสมิง สะมะเย ภิกขุ วิหะระติ อาตาปี
สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก
อะภิชฌาโทมะนัสสัง
ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้
ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่า เป็นผู้เห็นกายในกาย
อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น
"อานาปานสติ" เจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงทำให้สติปัฏฐานทั้งสี่บริบูรณ์ได้
กะถัง ภาวิตา จะ ภิกขะเว อานาปานะสะติ
ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ
อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร
กะถัง พะหุลีกะตา จัตตาโร
สะติปัฏฐาเน ปะริปูเรนติ
ทำให้มากแล้วอย่างไร
จึงทำให้สติปัฏฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ได้
(หมวดกายานุปัสสนา)
ยัสมิง สะมะเย ภิกขะเว ภิกขุ ทีฆัง วา
อัสสะสันโต ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ
ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุ
เมื่อหายใจเข้ายาว
ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว
ทีฆัง วา ปัสสะสันโต ทีฆัง ปัสสะสามีติ
ปะชานาติ
เมื่อหายใจออกยาว
ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว
รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง อัสสะสามีติ
ปะชานาติ
เมื่อหายใจเข้าสั้น
ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น
รัสสัง วา ปะสัสสะสันโต รัสสัง ปัสสะสามีติ
ปะชานาติ
เมื่อหายใจออกสั้น
ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น
สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ
สิกขะติ
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง
หายใจเข้า
สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ
สิกขะติ
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง
หายใจออก
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ
สิกขะติ
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับ หายใจเข้า
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ
สิกขะติ
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับ หายใจออก
กาเย กายานุปัสสี ภิกขะเว ตัสมิง
สะมะเย ภิกขุ วิหะระติ
ภิกษุทั้งหลาย สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า
เป็นผู้เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
อาตาปิ สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ
โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้
กาเยสุ กายัญญะตะราหัง ภิกขะเว
เอตัง วะทามิ ยะทิทัง อัสสาสะปัสสาสัง
ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าว ลมหายใจเข้า
และลมหายใจออก ว่าเป็นกายอันหนึ่ง ๆ
ในกายทั้งหลาย
ตัสมาติหะ ภิกขะเว กาเย กายานุปัสสี
ตัสมิง สะมะเย ภิกขุ วิหะระติ อาตาปี
สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก
อะภิชฌาโทมะนัสสัง
ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้
ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่า เป็นผู้เห็นกายในกาย
อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกออกเสียได้ ในสมัยนั้น