.
บทที่ ๔๓ เจ้าทิพต้องพิษ
ขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๔ ปีฉลู เบญจศก
สนามประลองยามนี้บรรจุผู้คนเต็มอัตรา มีองค์ราชาและองค์ประมุขของ ๑๓ เมืองประทับอยู่ด้านทิศเหนือ แสงแดดยามเช้าเริ่มทอดพ้นผ่านอัฒจันทร์สูงทางด้านทิศตะวันออก เฉียงส่องลงยังอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้ามแต่ยังไม่สาดลงสู่ลานประลอง
ชั้นล่างสุดของอัฒจันทร์ทำเป็นเชิงเทินสำหรับพลแม่นธนูเชื่อมต่อกันเป็นวง ยกพื้นสูงจากพื้นลานประลอง ๑ วา ๒ ศอก (๓ เมตร) มีไม้ซีกสูง ๒ วา (๔ เมตร) ตีกั้นขึ้นมาจนบังถึงระดับอกของพลแม่นธนู... ระหว่างเชิงเทินและอัฒจันทร์สำหรับผู้ชมซึ่งจัดเป็นแถวเป็นชั้นเรียงลาดสูงเฉียงขึ้นไป มีตาข่ายขึงป้องกันลูกธนูที่อาจจะหลุดลอดขึ้นมา
การประลองธนูในครั้งนี้มีกฎกติกาคล้ายคลึงกับการประลองของฉลูนักษัตรเมื่อ ๓ เดือนก่อน เพียงแต่จำกัดจำนวนลูกธนูลง โดยผู้เข้าประลองและพลแม่นธนูต่างมีลูกธนูสำหรับใช้ยิงคนละ ๑๒ ดอก ผู้เข้าประลองจะถูกจำกัดขอบเขตอยู่ภายในเส้นวงกลมสีขาวขนาดกว้าง ๔ วาซึ่งอยู่กลางสนาม
ป้ายนักษัตรที่เป็นเป้าประลองจำนวน ๑๒ ป้ายถูกแขวนห้อยลงมาจากเสาที่ปักไว้ริมรอบขอบสนามใกล้ผนังเชิงเทินทั้ง ๑๒ ทิศ และกำหนดให้ผู้เข้าประลองยิงธนูไปยังป้ายนักษัตรแต่ละป้ายได้เพียงครั้งเดียว จะเล็งยิงซ้ำอีกมิได้ ดังเช่นหากยิงครั้งแรกไปยังป้ายชวดนักษัตรแล้วไม่ถูกเป้าหมาย กรรมการที่ยืนประจำตำแหน่งของเสาชวดนักษัตรจะชูธงแดงขึ้นทันทีเป็นสัญญาณว่าไม่ได้คะแนน ให้ผู้เข้าประลองผ่านไปยิงป้ายนักษัตรอื่น แต่หากยิงเข้าเป้ากรรมการจะชูธงเขียวขึ้น
ผลการแข่งขันจะตัดสินจากจำนวนธงเขียวว่าผู้ใดได้มากกว่า หากจำนวนธงเขียวเท่ากันให้นับจำนวนลูกธนูของผู้เข้าประลอง ผู้ใดใช้ยิงออกไปน้อยกว่าเป็นผู้ชนะ
การประลองในแต่ละรอบจะยุติลงทันทีเมื่อขุนพลนักษัตรพลาดถูกลูกธนูของพลแม่นธนูยิงใส่ หรือเมื่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายสัมผัสพื้นดินนอกเขตเส้นวงกลมสีขาว หรือเมื่อใช้ลูกธนูทั้ง ๑๒ ดอกหมดสิ้นไป ส่วนกฎการสวมชุดดำปิดบังใบหน้าถูกยกเลิก ขุนพลนักษัตรสามารถแต่งกายใส่เกราะเยี่ยงใดก็ได้ อีกทั้งสามารถเลือกใช้คันธนูประจำกายของตน
การประลองถูกกำหนดให้เรียงลำดับนักษัตรจากท้ายขึ้นมา เริ่มจากขุนพลกุนนักษัตรไปจบที่ขุนพลชวดนักษัตร เพื่อสลับเปลี่ยนจากการแสดงของเมื่อวานที่เริ่มต้นจากขุนพลชวดนักษัตร
การประลองเริ่มขึ้นแล้ว...
เสียงโห่ร้องในสนามดังสลับไปมาทุกครั้งที่ผู้เข้าประลองสามารถยิงธนูเข้าไปปักตรึงบนป้ายนักษัตรได้ ป้ายนักษัตรเป็นป้ายวงกลมขนาดกว้าง ๕ นิ้ว หนา ๑ นิ้ว มีตราสัญลักษณ์นักษัตรอยู่ทั้งสองด้าน ถูกผูกห้อยลงมาจากยอดเสา แม้ป้ายจะมีน้ำหนักแต่บางครั้งก็หมุนแกว่งรอบตัวอย่างช้าๆ ยามต้องลม ทำให้การจับจังหวะยิงธนูยากขึ้นไปอีก บางครั้งผู้เข้าประลองยิงไปต้องป้ายนักษัตรขณะหมุนเฉียงจนลูกธนูไม่สามารถปักตรึงได้ ต้องแฉลบออกไปอย่างน่าเสียดาย
แสงแดดปกคลุมทั่วทั้งสนามเมื่อการประลองผ่านไปได้ ๑๐ รอบ ผลการยิงธนูของขุนพลนักษัตรทั้งสิบเป็นดังนี้...
ขุนพลกุนนักษัตรจากกระบุรี ยิงได้ ๓ ป้าย
ขุนพลจอนักษัตรจากตะกั่วป่า ยิงได้ ๕ ป้าย
ขุนพลระกานักษัตรจากสะอุเลา ยิงได้ ๕ ป้าย
ขุนพลวอกนักษัตรจากบันทายสมอ ยิงได้ ๗ ป้าย
ขุนพลมะแมนักษัตรจากชุมพร ยิงได้ ๔ ป้าย
ขุนพลมะเมียนักษัตรจากตรัง ยิงได้ ๖ ป้าย
ขุนพลมะเส็งนักษัตรจากพัทลุง ยิงได้ ๖ ป้าย
ขุนพลมะโรงนักษัตรจากไทรบุรี ยิงได้ ๗ ป้าย
ขุนพลเถาะนักษัตรจากปะหัง ยิงได้ ๕ ป้าย
ขุนพลขาลนักษัตรจากกะลันตัน ยิงได้ ๓ ป้าย
การประลองรอบยิงธนูจะคัดเลือกเอาผู้มีฝีมือธนูสูงสุด ๖ คนเข้าแข่งขันในรอบต่อไป
หากนับถึงตอนนี้ผู้ที่ยิงป้ายนักษัตรได้สูงสุดคือเขมราฐจากบันทายสมอและกัมพะทมิฬจากไทรบุรียิงได้คนละ ๗ ป้าย มีผู้เข้าประลอง ๒ คนยิงได้คนละ ๖ ป้าย และอีก ๓ คนยิงได้ ๕ ป้ายเท่ากันซึ่งจะต้องมานับจำนวนลูกธนูที่เหลืออยู่ในซองหนังของแต่ละคนว่าผู้ใดมีมากกว่า ดังนั้นเจ้าทิพและขุนพลชวดนักษัตรที่รอเข้าแข่งขันจำเป็นต้องยิงป้ายนักษัตรให้ได้มากกว่า ๕ ป้ายขึ้นไป เพื่อโอกาสในการเป็น ๑ ใน ๖ ของผู้มีฝีมือธนูสูงสุด...
เสียงขานเรียกเจ้าทิพากร ขุนพลฉลูนักษัตรดังขึ้น
พลันกลองก็ถูกตีย่ำเสียงดังระทึกพร้อมกับที่เจ้าทิพเดินเข้ามาในสนาม ชายหนุ่มปรากฏกายในชุดขุนพลงามสง่า สวมเกราะหนังอ่อนฉลุลายฉลูนักษัตรอยู่กลางหน้าอก ตัวเกราะครอบคลุมป้องกันเฉพาะส่วนบนของลำตัว คาดซองหนังไว้ด้านหลังเห็นดอกธนูโผล่พ้นเหนือศีรษะ ในมือถือคันธนูสีดำ
ผู้ชมที่เป็นชาวปตานีต่างพากันวิจารณ์ด้วยความห่วงใย เรื่องขุนพลหนุ่มตัวแทนของพวกเขามิได้สวมเกราะป้องกันมิดชิดเหมือนผู้เข้าประลองคนอื่น เพราะการประลองครั้งนี้เป็นนักธนูมือหนึ่งจากเมืองนักษัตรต่างๆ ที่เข้าประจำการร่วมกัน ต่างยืนเฝ้าตำแหน่งเสานักษัตรของตน... ฝีมือการยิงธนูเข้าหาผู้เข้าแข่งขันจึงแม่นยำรุนแรงกว่าเมื่อครั้ง ๓ เดือนก่อนมากนัก แม้แต่พระองค์หญิงวิสาณีเองก็ทรงขมวดพระขนงด้วยความกังวลพระทัย ทรงตัดพ้อในพระทัยที่ชายคนรักกระทำการประมาทนัก
ขุนพลภัทธิยะบัดนี้ประจำอยู่บนเชิงเทินด้านทิศใต้ฝั่งตรงข้ามปะรำที่ประทับเพื่อควบคุมการประลอง ครั้นเห็นศิระพลแม่นธนูจากปตานีถูกเปลี่ยนทดแทนตำแหน่งด้วยพลแม่นธนูของเมืองนครฯ และเจ้าทิพถวายบังคมองค์กษัตริย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงสั่งให้ทหารลั่นกลองอีกครั้งเป็นสัญญาณเริ่มการประลอง
กลองถูกตีย่ำจากช้าไปหาเร็วจนกลายเป็นการรัวกลอง แล้วกระทำวนเวียนจนครบ ๓ รอบจึงเริ่มฟาดตีเน้นไปทีละครั้ง ทุกครั้งที่ตี คล้ายไปเร่งเร้าจังหวะหัวใจของผู้ชมรอบสนาม ด้วยรู้ดีว่าเมื่อครบ ๑๒ ครั้ง เหล่าลูกธนูจะถูกระดมยิงลงไปยังชายหนุ่มที่มีเพียงเกราะอ่อนป้องกันช่วงบนของลำตัว
เมื่อตีกลองไป ๑๐ ครั้ง เจ้าทิพยังคงยืนนิ่งอยู่กลางสนามภายในเส้นวงกลมสีขาว ใบหน้าเชิดมองไปยังปะรำที่ประทับ คล้ายมิได้รับรู้เลยว่าการประลองกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว พอเสียงกลองดังครั้งที่ ๑๑ องค์หญิงวิสาณีทรงเบือนพระพักตร์หลบสายตาของชายหนุ่ม ทั้งยังทรงหลับพระเนตรลงคล้ายดั่งมิปรารถนาจะทอดพระเนตรฝูงลูกธนูที่กำลังจะโบยบินลงสู่ร่างของชายคนรัก
เสียงตีกลองครั้งที่ ๑๒ ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงเฟี้ยวฟ้าวรอบทิศ
ลูกธนู ๑๒ ดอกพุ่งออกจากแหล่ง รวดเร็วจนแทบจะเห็นเป็นแนวเส้น ๑๒ สายลากขึงจาก ๑๒ มุมสู่จุดกึ่งกลางสนามเบื้องล่าง... ซึ่งคือตำแหน่งกลางลำตัวของเจ้าทิพ
ก่อนที่ลูกธนูทั้ง ๑๒ ดอกจะพุ่งฝ่าเข้าไปในเขตเส้นวงกลมสีขาว...
ชายหนุ่มเบื้องล่างพลันทิ้งลมหายใจออก แล้วพุ่งกายไปทางเบื้องซ้ายทิศตะวันตก ความเร็วเสมอด้วยลูกธนูที่ฝ่าเข้ามา... เจ้าทิพใช้วิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติทันที
คันธนูในมือพลันฟาดใส่ลูกธนูทางเบื้องซ้าย แหวกกายออกจากวงล้อมของลูกธนู แล้วสะบัดเหวี่ยงคันธนูอีกครั้งปัดลูกธนูที่ตามมาเบื้องหลังร่วงหล่นไป
จนเหลือลูกธนูเพียง ๖ ดอกจากแถบด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้ที่พุ่งปักลงกับพื้น
การยิงธนูของระลอกแรกผ่านไป...
จากนั้นลูกธนูก็ถูกระดมยิงเข้ามาตามจังหวะของมือธนูแต่ละคน บ้างเล็งยิงไปยังจุดที่เจ้าทิพยืน บ้างยิงไปยังจุดเบื้องหน้าที่คาดว่าเจ้าทิพจะก้าวไป แต่ชายหนุ่มกลับถอยเข้าไปสู่จุดกึ่งกลางของวงกลม แล้ววกลงไปทางทิศใต้ ทุกก้าวย่างติดตามด้วยลูกธนูกลุ่มหนึ่งซึ่งเจ้าตัวต้องคอยใช้คันธนูปัดป่ายให้พ้นไป แต่ลูกธนูส่วนใหญ่กลับยิงไปยังจุดที่ผิดจากตำแหน่งยืนปัจจุบันของเจ้าทิพ
ลูกธนูของสุดยอดพลแม่นธนูจาก ๑๒ เมืองนับว่ารวดเร็วนัก แต่ก้าวย่างของเจ้าทิพรวดเร็วและดูสับสนวกวนยิ่งกว่า เป็นก้าวย่างที่ดูเหมือนจะคาดคะเนได้ว่าจะพุ่งร่างไปยังทิศใด แต่สุดท้ายกลับก้าวไปยังตำแหน่งที่คาดไม่ถึง เจ้าทิพยิ่งเดินกลุ่มลูกธนูที่สามารถยิงติดตามยิ่งน้อยลง... จนสุดท้ายเจ้าทิพไม่ต้องใช้คันธนูฟาดลูกธนูที่ยิงเข้ามาอีกแล้ว
“เป็นท่าเดินพญาราชสีห์ก้าวแปดทิศ ผนวกกับความเร็วของวิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติ พระพุทธเจ้าข้า”
ขุนพลใหญ่สิงหลซึ่งบัดนี้นั่งรับสนองงานเฉพาะเบื้องพระพักตร์ แทนตำแหน่งเดิมของขุนพลภัทธิยะเมื่อวานนี้ กราบทูลขึ้นเมื่อพระเจ้าศรีมหาราชตรัสถาม
“เป็นท่าก้าวย่างที่สวยงามและทรงอานุภาพยิ่งนัก” องค์กษัตริย์ผู้ครอบครอง ๑๒ เมืองนักษัตรรับสั่งชมเชย จากนั้นรับสั่งถามต่อว่า “แล้วเจ้าตัวต้องรอให้พลแม่นธนูระดมยิงถึงคำรบที่ ๑๒ อีกหรือ จึงจะสามารถเริ่มยิงป้ายนักษัตรได้เหมือนเมื่อครั้งที่แล้ว”
“คงมิเป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าข้า เจ้าทิพได้แจ้งต่อข้าพระพุทธเจ้าไว้ว่าบัดนี้ตัวเขาสามารถคะเนวิถีของธนูรุกได้เร็วขึ้นกว่าเดิม อาจเพียงแค่รอบที่ ๖ ก็สามารถเริ่มยิงธนูสู่ป้ายนักษัตรได้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า”
เพียง ๓ เดือน ความรุดหน้าในเชิงอาวุธของเจ้าทิพถึงกับน่าตระหนกจริงๆ
แต่แล้ว..
“อ้าก...”
เสียงแผดร้องดังขึ้นด้วยความเจ็บปวดของเจ้าทิพ.. พร้อมร่างที่สะท้านซวนเซแล้วคะมำลงไปคุกเข่ากับพื้น
ห่าธนูที่ติดตามมาใกล้สัมผัสร่าง ชายหนุ่มได้แต่ดีดกายกลิ้งวนออกไปจากจุดเดิม จากนั้นร่างก็หมุนคว้างไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ลูกธนูใกล้จะสัมผัสกายชายหนุ่มจะใช้ความเร็วของปิดปราณเปลี่ยนมิติสะอึกร่างให้หลุดพ้นไป บัดนี้ไม่มีร่องรอยของราชสีห์ก้าวแปดทิศให้เห็นแล้ว
“เกิดสิ่งใดขึ้น ท่านขุนพล”
“เชื้อพิษไข้ป่ากำเริบขึ้นมา พระพุทธเจ้าข้า” ขุนพลสิงหลรีบกราบทูล “พิษจะทำให้เจ้าทิพเจ็บปวดสาหัส แต่หากสะกดควบคุมความเจ็บปวดไว้ก็จะมิอาจใช้ปราณเปลี่ยนมิติได้ ตอนนี้คงได้แต่หวังให้อาการกำเริบขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ เป็นพิษไข้จากป่าปฏักเมืองสายบุรี พระพุทธเจ้าข้า”
เจ้าทิพที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ภายในเส้นวงกลมสีขาวยามนี้ถูกห่าลูกธนูพุ่งรุมเข้ามา ได้แต่อาศัยความเร็วของคันธนูที่ฟาดแกว่งไกวป้องกันตัว หลายครั้งกระทำไปอย่างน่าหวาดเสียวด้วยลูกธนูใกล้เฉียดสัมผัสร่าง
ทันใดนั้นสิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น... ป้ายมะโรงนักษัตรพลันร่วงหล่นกับพื้น ตามมาด้วยป้ายเถาะนักษัตรและป้ายมะเส็งนักษัตรที่อยู่ด้านข้างทั้งซ้ายและขวา
จากนั้นจึงเห็นพลแม่นธนูของเมืองไทรบุรีที่ประจำอยู่ในตำแหน่งหลังป้ายมะโรงนักษัตรวิ่งวนไปทางขวาตามเชิงเทิน กำลังเล็งยิงเชือกที่ผูกแขวนป้ายนักษัตรต่างๆ
ตัวป้ายแขวนร้อยด้วยเชือกปอ ห้อยอยู่เหนือพื้นราว ๑ วา ๒ ศอก ห่างจากเชิงเทินเพียง ๒ ศอก จึงไม่ใช่เรื่องยากที่พลแม่นธนูคนใดจะยิงธนูไปตัดเชือกปอดังกล่าวให้ขาดลง
“พระศรีมหาอินทรวงศา ท่านให้คนกระทำเยี่ยงนี้ได้เช่นไร” พระสุรเสียงที่ดังของพระเจ้านครศรีธรรมราชรับสั่งไปถึงพระเจ้าไทรบุรีที่ประทับอยู่ห่างออกไป
“หม่อมฉันมิได้รู้เรื่องเลยพระองค์ คนผู้นี้เป็นมือธนูชาวโจฬะทมิฬในสังกัดของหิงสาอาตมัน... ครั้งนี้หม่อมฉันยอมรับว่าคนของหม่อมฉันกระทำเรื่องที่ไม่สมควรจริงๆ”
ป้ายมะเมียนักษัตรปลิวลงกับพื้นไปอีกหนึ่งป้าย หากทุกป้ายถูกยิงร่วงหล่นกับพื้น เจ้าทิพก็ไม่มีป้ายให้ยิงแล้ว...
“ท่านขุนพล ตามกติกาสามารถยกเลิกแล้วให้เริ่มประลองรอบนี้ใหม่ได้หรือไม่”
ขุนพลใหญ่แห่งปตานีนิ่งตรอง ถอนหายใจ กราบทูลไปว่า
“ขอเดชะ ตามกติกาลูกธนูของพลแม่นธนูถือเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน หากไปกระทบกับลูกธนูของผู้เข้าประลองหรือกระทบกับป้ายนักษัตรหรือสิ่งอื่นใดจนมีผลยับยั้งการยิงธนูของผู้เข้าประลอง ก็ให้ถือผลตามนั้น พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าศรีมหาราชทรงถอนประปัสสาสะ (ถอนหายใจ) แรง ส่ายพระพักตร์ด้วยมิพอพระราชหฤทัย
ป้ายมะแมนักษัตรล่วงหล่นไปอีกหนึ่งป้าย...
เจ้าทิพที่อยู่กลางสนามได้ยินเสียงคนโห่ร้องด้วยความโกรธแค้น ครั้นเห็นป้ายนักษัตรทยอยหลุดหายไปก็ให้รู้ตัวว่าต้องรีบยิงธนูไปยังป้ายที่เหลือโดยเร็ว
พลันพุ่งตัวไปข้างหน้ากวาดสะบัดคันธนูป้องกันตัวด้วยความเร็วของปิดปราณเปลี่ยนมิติ แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้ไม่อาจกำหนดก้าวย่างได้มั่นคง พุ่งกายสะเปะสะปะไปซ้ายขวาจนพอจะเปิดจังหวะให้ยิงธนูออกไปได้
ชายหนุ่มรีบดึงลูกธนูขึ้นพาดน้าวกับสายธนู แล้วยิงออกไป...
ลูกธนูแรกพุ่งตรงสู่ป้ายวอกนักษัตร
ทั่วสนามเงียบกริบ ทุกสายตาเพ่งตามลูกธนูที่แล่นฝ่าออกไป
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๔๓ เจ้าทิพต้องพิษ
บทที่ ๔๓ เจ้าทิพต้องพิษ
ขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๔ ปีฉลู เบญจศก
สนามประลองยามนี้บรรจุผู้คนเต็มอัตรา มีองค์ราชาและองค์ประมุขของ ๑๓ เมืองประทับอยู่ด้านทิศเหนือ แสงแดดยามเช้าเริ่มทอดพ้นผ่านอัฒจันทร์สูงทางด้านทิศตะวันออก เฉียงส่องลงยังอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้ามแต่ยังไม่สาดลงสู่ลานประลอง
ชั้นล่างสุดของอัฒจันทร์ทำเป็นเชิงเทินสำหรับพลแม่นธนูเชื่อมต่อกันเป็นวง ยกพื้นสูงจากพื้นลานประลอง ๑ วา ๒ ศอก (๓ เมตร) มีไม้ซีกสูง ๒ วา (๔ เมตร) ตีกั้นขึ้นมาจนบังถึงระดับอกของพลแม่นธนู... ระหว่างเชิงเทินและอัฒจันทร์สำหรับผู้ชมซึ่งจัดเป็นแถวเป็นชั้นเรียงลาดสูงเฉียงขึ้นไป มีตาข่ายขึงป้องกันลูกธนูที่อาจจะหลุดลอดขึ้นมา
การประลองธนูในครั้งนี้มีกฎกติกาคล้ายคลึงกับการประลองของฉลูนักษัตรเมื่อ ๓ เดือนก่อน เพียงแต่จำกัดจำนวนลูกธนูลง โดยผู้เข้าประลองและพลแม่นธนูต่างมีลูกธนูสำหรับใช้ยิงคนละ ๑๒ ดอก ผู้เข้าประลองจะถูกจำกัดขอบเขตอยู่ภายในเส้นวงกลมสีขาวขนาดกว้าง ๔ วาซึ่งอยู่กลางสนาม
ป้ายนักษัตรที่เป็นเป้าประลองจำนวน ๑๒ ป้ายถูกแขวนห้อยลงมาจากเสาที่ปักไว้ริมรอบขอบสนามใกล้ผนังเชิงเทินทั้ง ๑๒ ทิศ และกำหนดให้ผู้เข้าประลองยิงธนูไปยังป้ายนักษัตรแต่ละป้ายได้เพียงครั้งเดียว จะเล็งยิงซ้ำอีกมิได้ ดังเช่นหากยิงครั้งแรกไปยังป้ายชวดนักษัตรแล้วไม่ถูกเป้าหมาย กรรมการที่ยืนประจำตำแหน่งของเสาชวดนักษัตรจะชูธงแดงขึ้นทันทีเป็นสัญญาณว่าไม่ได้คะแนน ให้ผู้เข้าประลองผ่านไปยิงป้ายนักษัตรอื่น แต่หากยิงเข้าเป้ากรรมการจะชูธงเขียวขึ้น
ผลการแข่งขันจะตัดสินจากจำนวนธงเขียวว่าผู้ใดได้มากกว่า หากจำนวนธงเขียวเท่ากันให้นับจำนวนลูกธนูของผู้เข้าประลอง ผู้ใดใช้ยิงออกไปน้อยกว่าเป็นผู้ชนะ
การประลองในแต่ละรอบจะยุติลงทันทีเมื่อขุนพลนักษัตรพลาดถูกลูกธนูของพลแม่นธนูยิงใส่ หรือเมื่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายสัมผัสพื้นดินนอกเขตเส้นวงกลมสีขาว หรือเมื่อใช้ลูกธนูทั้ง ๑๒ ดอกหมดสิ้นไป ส่วนกฎการสวมชุดดำปิดบังใบหน้าถูกยกเลิก ขุนพลนักษัตรสามารถแต่งกายใส่เกราะเยี่ยงใดก็ได้ อีกทั้งสามารถเลือกใช้คันธนูประจำกายของตน
การประลองถูกกำหนดให้เรียงลำดับนักษัตรจากท้ายขึ้นมา เริ่มจากขุนพลกุนนักษัตรไปจบที่ขุนพลชวดนักษัตร เพื่อสลับเปลี่ยนจากการแสดงของเมื่อวานที่เริ่มต้นจากขุนพลชวดนักษัตร
การประลองเริ่มขึ้นแล้ว...
เสียงโห่ร้องในสนามดังสลับไปมาทุกครั้งที่ผู้เข้าประลองสามารถยิงธนูเข้าไปปักตรึงบนป้ายนักษัตรได้ ป้ายนักษัตรเป็นป้ายวงกลมขนาดกว้าง ๕ นิ้ว หนา ๑ นิ้ว มีตราสัญลักษณ์นักษัตรอยู่ทั้งสองด้าน ถูกผูกห้อยลงมาจากยอดเสา แม้ป้ายจะมีน้ำหนักแต่บางครั้งก็หมุนแกว่งรอบตัวอย่างช้าๆ ยามต้องลม ทำให้การจับจังหวะยิงธนูยากขึ้นไปอีก บางครั้งผู้เข้าประลองยิงไปต้องป้ายนักษัตรขณะหมุนเฉียงจนลูกธนูไม่สามารถปักตรึงได้ ต้องแฉลบออกไปอย่างน่าเสียดาย
แสงแดดปกคลุมทั่วทั้งสนามเมื่อการประลองผ่านไปได้ ๑๐ รอบ ผลการยิงธนูของขุนพลนักษัตรทั้งสิบเป็นดังนี้...
ขุนพลกุนนักษัตรจากกระบุรี ยิงได้ ๓ ป้าย
ขุนพลจอนักษัตรจากตะกั่วป่า ยิงได้ ๕ ป้าย
ขุนพลระกานักษัตรจากสะอุเลา ยิงได้ ๕ ป้าย
ขุนพลวอกนักษัตรจากบันทายสมอ ยิงได้ ๗ ป้าย
ขุนพลมะแมนักษัตรจากชุมพร ยิงได้ ๔ ป้าย
ขุนพลมะเมียนักษัตรจากตรัง ยิงได้ ๖ ป้าย
ขุนพลมะเส็งนักษัตรจากพัทลุง ยิงได้ ๖ ป้าย
ขุนพลมะโรงนักษัตรจากไทรบุรี ยิงได้ ๗ ป้าย
ขุนพลเถาะนักษัตรจากปะหัง ยิงได้ ๕ ป้าย
ขุนพลขาลนักษัตรจากกะลันตัน ยิงได้ ๓ ป้าย
การประลองรอบยิงธนูจะคัดเลือกเอาผู้มีฝีมือธนูสูงสุด ๖ คนเข้าแข่งขันในรอบต่อไป
หากนับถึงตอนนี้ผู้ที่ยิงป้ายนักษัตรได้สูงสุดคือเขมราฐจากบันทายสมอและกัมพะทมิฬจากไทรบุรียิงได้คนละ ๗ ป้าย มีผู้เข้าประลอง ๒ คนยิงได้คนละ ๖ ป้าย และอีก ๓ คนยิงได้ ๕ ป้ายเท่ากันซึ่งจะต้องมานับจำนวนลูกธนูที่เหลืออยู่ในซองหนังของแต่ละคนว่าผู้ใดมีมากกว่า ดังนั้นเจ้าทิพและขุนพลชวดนักษัตรที่รอเข้าแข่งขันจำเป็นต้องยิงป้ายนักษัตรให้ได้มากกว่า ๕ ป้ายขึ้นไป เพื่อโอกาสในการเป็น ๑ ใน ๖ ของผู้มีฝีมือธนูสูงสุด...
เสียงขานเรียกเจ้าทิพากร ขุนพลฉลูนักษัตรดังขึ้น
พลันกลองก็ถูกตีย่ำเสียงดังระทึกพร้อมกับที่เจ้าทิพเดินเข้ามาในสนาม ชายหนุ่มปรากฏกายในชุดขุนพลงามสง่า สวมเกราะหนังอ่อนฉลุลายฉลูนักษัตรอยู่กลางหน้าอก ตัวเกราะครอบคลุมป้องกันเฉพาะส่วนบนของลำตัว คาดซองหนังไว้ด้านหลังเห็นดอกธนูโผล่พ้นเหนือศีรษะ ในมือถือคันธนูสีดำ
ผู้ชมที่เป็นชาวปตานีต่างพากันวิจารณ์ด้วยความห่วงใย เรื่องขุนพลหนุ่มตัวแทนของพวกเขามิได้สวมเกราะป้องกันมิดชิดเหมือนผู้เข้าประลองคนอื่น เพราะการประลองครั้งนี้เป็นนักธนูมือหนึ่งจากเมืองนักษัตรต่างๆ ที่เข้าประจำการร่วมกัน ต่างยืนเฝ้าตำแหน่งเสานักษัตรของตน... ฝีมือการยิงธนูเข้าหาผู้เข้าแข่งขันจึงแม่นยำรุนแรงกว่าเมื่อครั้ง ๓ เดือนก่อนมากนัก แม้แต่พระองค์หญิงวิสาณีเองก็ทรงขมวดพระขนงด้วยความกังวลพระทัย ทรงตัดพ้อในพระทัยที่ชายคนรักกระทำการประมาทนัก
ขุนพลภัทธิยะบัดนี้ประจำอยู่บนเชิงเทินด้านทิศใต้ฝั่งตรงข้ามปะรำที่ประทับเพื่อควบคุมการประลอง ครั้นเห็นศิระพลแม่นธนูจากปตานีถูกเปลี่ยนทดแทนตำแหน่งด้วยพลแม่นธนูของเมืองนครฯ และเจ้าทิพถวายบังคมองค์กษัตริย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงสั่งให้ทหารลั่นกลองอีกครั้งเป็นสัญญาณเริ่มการประลอง
กลองถูกตีย่ำจากช้าไปหาเร็วจนกลายเป็นการรัวกลอง แล้วกระทำวนเวียนจนครบ ๓ รอบจึงเริ่มฟาดตีเน้นไปทีละครั้ง ทุกครั้งที่ตี คล้ายไปเร่งเร้าจังหวะหัวใจของผู้ชมรอบสนาม ด้วยรู้ดีว่าเมื่อครบ ๑๒ ครั้ง เหล่าลูกธนูจะถูกระดมยิงลงไปยังชายหนุ่มที่มีเพียงเกราะอ่อนป้องกันช่วงบนของลำตัว
เมื่อตีกลองไป ๑๐ ครั้ง เจ้าทิพยังคงยืนนิ่งอยู่กลางสนามภายในเส้นวงกลมสีขาว ใบหน้าเชิดมองไปยังปะรำที่ประทับ คล้ายมิได้รับรู้เลยว่าการประลองกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว พอเสียงกลองดังครั้งที่ ๑๑ องค์หญิงวิสาณีทรงเบือนพระพักตร์หลบสายตาของชายหนุ่ม ทั้งยังทรงหลับพระเนตรลงคล้ายดั่งมิปรารถนาจะทอดพระเนตรฝูงลูกธนูที่กำลังจะโบยบินลงสู่ร่างของชายคนรัก
เสียงตีกลองครั้งที่ ๑๒ ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงเฟี้ยวฟ้าวรอบทิศ
ลูกธนู ๑๒ ดอกพุ่งออกจากแหล่ง รวดเร็วจนแทบจะเห็นเป็นแนวเส้น ๑๒ สายลากขึงจาก ๑๒ มุมสู่จุดกึ่งกลางสนามเบื้องล่าง... ซึ่งคือตำแหน่งกลางลำตัวของเจ้าทิพ
ก่อนที่ลูกธนูทั้ง ๑๒ ดอกจะพุ่งฝ่าเข้าไปในเขตเส้นวงกลมสีขาว...
ชายหนุ่มเบื้องล่างพลันทิ้งลมหายใจออก แล้วพุ่งกายไปทางเบื้องซ้ายทิศตะวันตก ความเร็วเสมอด้วยลูกธนูที่ฝ่าเข้ามา... เจ้าทิพใช้วิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติทันที
คันธนูในมือพลันฟาดใส่ลูกธนูทางเบื้องซ้าย แหวกกายออกจากวงล้อมของลูกธนู แล้วสะบัดเหวี่ยงคันธนูอีกครั้งปัดลูกธนูที่ตามมาเบื้องหลังร่วงหล่นไป
จนเหลือลูกธนูเพียง ๖ ดอกจากแถบด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้ที่พุ่งปักลงกับพื้น
การยิงธนูของระลอกแรกผ่านไป...
จากนั้นลูกธนูก็ถูกระดมยิงเข้ามาตามจังหวะของมือธนูแต่ละคน บ้างเล็งยิงไปยังจุดที่เจ้าทิพยืน บ้างยิงไปยังจุดเบื้องหน้าที่คาดว่าเจ้าทิพจะก้าวไป แต่ชายหนุ่มกลับถอยเข้าไปสู่จุดกึ่งกลางของวงกลม แล้ววกลงไปทางทิศใต้ ทุกก้าวย่างติดตามด้วยลูกธนูกลุ่มหนึ่งซึ่งเจ้าตัวต้องคอยใช้คันธนูปัดป่ายให้พ้นไป แต่ลูกธนูส่วนใหญ่กลับยิงไปยังจุดที่ผิดจากตำแหน่งยืนปัจจุบันของเจ้าทิพ
ลูกธนูของสุดยอดพลแม่นธนูจาก ๑๒ เมืองนับว่ารวดเร็วนัก แต่ก้าวย่างของเจ้าทิพรวดเร็วและดูสับสนวกวนยิ่งกว่า เป็นก้าวย่างที่ดูเหมือนจะคาดคะเนได้ว่าจะพุ่งร่างไปยังทิศใด แต่สุดท้ายกลับก้าวไปยังตำแหน่งที่คาดไม่ถึง เจ้าทิพยิ่งเดินกลุ่มลูกธนูที่สามารถยิงติดตามยิ่งน้อยลง... จนสุดท้ายเจ้าทิพไม่ต้องใช้คันธนูฟาดลูกธนูที่ยิงเข้ามาอีกแล้ว
“เป็นท่าเดินพญาราชสีห์ก้าวแปดทิศ ผนวกกับความเร็วของวิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติ พระพุทธเจ้าข้า”
ขุนพลใหญ่สิงหลซึ่งบัดนี้นั่งรับสนองงานเฉพาะเบื้องพระพักตร์ แทนตำแหน่งเดิมของขุนพลภัทธิยะเมื่อวานนี้ กราบทูลขึ้นเมื่อพระเจ้าศรีมหาราชตรัสถาม
“เป็นท่าก้าวย่างที่สวยงามและทรงอานุภาพยิ่งนัก” องค์กษัตริย์ผู้ครอบครอง ๑๒ เมืองนักษัตรรับสั่งชมเชย จากนั้นรับสั่งถามต่อว่า “แล้วเจ้าตัวต้องรอให้พลแม่นธนูระดมยิงถึงคำรบที่ ๑๒ อีกหรือ จึงจะสามารถเริ่มยิงป้ายนักษัตรได้เหมือนเมื่อครั้งที่แล้ว”
“คงมิเป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าข้า เจ้าทิพได้แจ้งต่อข้าพระพุทธเจ้าไว้ว่าบัดนี้ตัวเขาสามารถคะเนวิถีของธนูรุกได้เร็วขึ้นกว่าเดิม อาจเพียงแค่รอบที่ ๖ ก็สามารถเริ่มยิงธนูสู่ป้ายนักษัตรได้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า”
เพียง ๓ เดือน ความรุดหน้าในเชิงอาวุธของเจ้าทิพถึงกับน่าตระหนกจริงๆ
แต่แล้ว..
“อ้าก...”
เสียงแผดร้องดังขึ้นด้วยความเจ็บปวดของเจ้าทิพ.. พร้อมร่างที่สะท้านซวนเซแล้วคะมำลงไปคุกเข่ากับพื้น
ห่าธนูที่ติดตามมาใกล้สัมผัสร่าง ชายหนุ่มได้แต่ดีดกายกลิ้งวนออกไปจากจุดเดิม จากนั้นร่างก็หมุนคว้างไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ลูกธนูใกล้จะสัมผัสกายชายหนุ่มจะใช้ความเร็วของปิดปราณเปลี่ยนมิติสะอึกร่างให้หลุดพ้นไป บัดนี้ไม่มีร่องรอยของราชสีห์ก้าวแปดทิศให้เห็นแล้ว
“เกิดสิ่งใดขึ้น ท่านขุนพล”
“เชื้อพิษไข้ป่ากำเริบขึ้นมา พระพุทธเจ้าข้า” ขุนพลสิงหลรีบกราบทูล “พิษจะทำให้เจ้าทิพเจ็บปวดสาหัส แต่หากสะกดควบคุมความเจ็บปวดไว้ก็จะมิอาจใช้ปราณเปลี่ยนมิติได้ ตอนนี้คงได้แต่หวังให้อาการกำเริบขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ เป็นพิษไข้จากป่าปฏักเมืองสายบุรี พระพุทธเจ้าข้า”
เจ้าทิพที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ภายในเส้นวงกลมสีขาวยามนี้ถูกห่าลูกธนูพุ่งรุมเข้ามา ได้แต่อาศัยความเร็วของคันธนูที่ฟาดแกว่งไกวป้องกันตัว หลายครั้งกระทำไปอย่างน่าหวาดเสียวด้วยลูกธนูใกล้เฉียดสัมผัสร่าง
ทันใดนั้นสิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น... ป้ายมะโรงนักษัตรพลันร่วงหล่นกับพื้น ตามมาด้วยป้ายเถาะนักษัตรและป้ายมะเส็งนักษัตรที่อยู่ด้านข้างทั้งซ้ายและขวา
จากนั้นจึงเห็นพลแม่นธนูของเมืองไทรบุรีที่ประจำอยู่ในตำแหน่งหลังป้ายมะโรงนักษัตรวิ่งวนไปทางขวาตามเชิงเทิน กำลังเล็งยิงเชือกที่ผูกแขวนป้ายนักษัตรต่างๆ
ตัวป้ายแขวนร้อยด้วยเชือกปอ ห้อยอยู่เหนือพื้นราว ๑ วา ๒ ศอก ห่างจากเชิงเทินเพียง ๒ ศอก จึงไม่ใช่เรื่องยากที่พลแม่นธนูคนใดจะยิงธนูไปตัดเชือกปอดังกล่าวให้ขาดลง
“พระศรีมหาอินทรวงศา ท่านให้คนกระทำเยี่ยงนี้ได้เช่นไร” พระสุรเสียงที่ดังของพระเจ้านครศรีธรรมราชรับสั่งไปถึงพระเจ้าไทรบุรีที่ประทับอยู่ห่างออกไป
“หม่อมฉันมิได้รู้เรื่องเลยพระองค์ คนผู้นี้เป็นมือธนูชาวโจฬะทมิฬในสังกัดของหิงสาอาตมัน... ครั้งนี้หม่อมฉันยอมรับว่าคนของหม่อมฉันกระทำเรื่องที่ไม่สมควรจริงๆ”
ป้ายมะเมียนักษัตรปลิวลงกับพื้นไปอีกหนึ่งป้าย หากทุกป้ายถูกยิงร่วงหล่นกับพื้น เจ้าทิพก็ไม่มีป้ายให้ยิงแล้ว...
“ท่านขุนพล ตามกติกาสามารถยกเลิกแล้วให้เริ่มประลองรอบนี้ใหม่ได้หรือไม่”
ขุนพลใหญ่แห่งปตานีนิ่งตรอง ถอนหายใจ กราบทูลไปว่า
“ขอเดชะ ตามกติกาลูกธนูของพลแม่นธนูถือเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน หากไปกระทบกับลูกธนูของผู้เข้าประลองหรือกระทบกับป้ายนักษัตรหรือสิ่งอื่นใดจนมีผลยับยั้งการยิงธนูของผู้เข้าประลอง ก็ให้ถือผลตามนั้น พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าศรีมหาราชทรงถอนประปัสสาสะ (ถอนหายใจ) แรง ส่ายพระพักตร์ด้วยมิพอพระราชหฤทัย
ป้ายมะแมนักษัตรล่วงหล่นไปอีกหนึ่งป้าย...
เจ้าทิพที่อยู่กลางสนามได้ยินเสียงคนโห่ร้องด้วยความโกรธแค้น ครั้นเห็นป้ายนักษัตรทยอยหลุดหายไปก็ให้รู้ตัวว่าต้องรีบยิงธนูไปยังป้ายที่เหลือโดยเร็ว
พลันพุ่งตัวไปข้างหน้ากวาดสะบัดคันธนูป้องกันตัวด้วยความเร็วของปิดปราณเปลี่ยนมิติ แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้ไม่อาจกำหนดก้าวย่างได้มั่นคง พุ่งกายสะเปะสะปะไปซ้ายขวาจนพอจะเปิดจังหวะให้ยิงธนูออกไปได้
ชายหนุ่มรีบดึงลูกธนูขึ้นพาดน้าวกับสายธนู แล้วยิงออกไป...
ลูกธนูแรกพุ่งตรงสู่ป้ายวอกนักษัตร
ทั่วสนามเงียบกริบ ทุกสายตาเพ่งตามลูกธนูที่แล่นฝ่าออกไป
(มีต่อ)