ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๙ ราชสีห์ก้าวแปดทิศ

.
                                                  

บทที่ ๙ ราชสีห์ก้าวแปดทิศ

แสงอาทิตย์ยามสายของเดือนอ้ายช่างอบอุ่น
ฟ้าใสสีครามละมุนทาบทับด้วยเมฆขุ่น มองไปคล้ายมวยมุ่นผมของหญิงชราวางซ้อนกัน...

ลานประลองยามนี้ว่างเปล่า แต่ผู้คนบนอัฒจันทร์ต่างเบียดเสียดกันแน่นขนัดด้วยความตื่นเต้นคึกคัก ต่างพากันพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ถึงฝีมือผู้เข้าแข่งขันแต่ละรายว่าจะยิงป้ายนักษัตรได้มากน้อยเพียงไร

ป้ายนักษัตรวงกลมขนาด ๕ นิ้วจำนวน ๑๒ ป้ายปักแขวนรายรอบลานประลองทั้ง ๑๒ ทิศ ใกล้ผนังเชิงเทิน แต่ละป้ายผูกห้อยลอยอยู่สูงราว ๑ วากับ ๒ ศอก (๓ เมตร) อยู่ในระนาบเดียวกับพื้นทางเดินของเชิงเทิน
ผนังเชิงเทินซึ่งตีกั้นล้อมลานประลองทำด้วยปีกไม้ซีกหน้ากว้างตั้งแต่หนึ่งคืบถึงสองคืบ ปักชิดติดกันสูง ๒ วา อยู่พ้นระดับพื้นทางเดินไปครึ่งวา เมื่อพลแม่นธนูขึ้นยืนประจำตำแหน่งทั้ง ๑๒ จุดกระจายไปตามป้ายนักษัตร จึงเห็นร่างเพียงระดับอกโผล่พ้นผนังเชิงเทิน
ผนังด้านทิศใต้เว้นช่องเป็นประตูเข้าออกลานประลอง อยู่ใต้พื้นทางเดินของเชิงเทิน นอกจากนี้ยังตั้งกลองสัญญาณไว้ด้วย

ไม่นานเสียงรัวกลองก็ดังขึ้นกึกก้อง เป็นสัญญาณเรียกผู้เข้าแข่งขันเข้าสู่สนาม เมื่อเสียงกลองหยุดลง ปรากฏร่างผู้เข้าแข่งขันคนที่หนึ่งเดินถือคันธนูออกมาพร้อมลูกธนู ๒๐ ดอกในซองหนังที่คาดเฉียงบ่า เสียงฝูงชนปรบมือโห่ร้องต้อนรับด้วยความตื่นเต้น ผู้เข้าแข่งขันสวมเกราะหนังอ่อนคลุมร่าง ส่วนหัวสวมหน้ากากหวายที่เปิดช่องตา นอกจากดวงตาที่ปรากฏแล้ว แทรกลงไปในช่องหวายจะเห็นเพียงผ้าไหมสีดำคลุมส่วนศีรษะและใบหน้ามิดชิด ส่วนตามช่องข้อต่อเกราะหนังบนร่างกาย ก็เห็นเป็นชุดผ้าไหมสีดำปกคลุมอยู่ภายใน ไม่สามารถจำแนกออกว่าคือผู้ใด...

ผู้เข้าแข่งขันคนที่หนึ่งเดินเข้าไปยืนภายในพื้นที่เส้นวงกลมกลางลานซึ่งมีระยะรัศมี ๒ วา โรยด้วยปูนขาวเป็นแนวเส้น จากนั้นได้ยินเสียงของขุนพลธรณินผู้ซึ่งบัดนี้ยืนอยู่บนเชิงเทินข้างกลองสัญญาณประกาศดังขึ้น

“ผู้เข้าแข่งขันหมายเลขหนึ่งพร้อมอยู่ในเขตวงกลม... พลแม่นธนูทั้ง ๑๒ คนพร้อมประจำที่... ลูกธนูทั้งหมดให้เก็บอยู่ในซอง... เมื่อสัญญานกลองตีรัวขึ้น และย่ำกลองครบ ๑๒ ครั้งให้เริ่มการประลองได้... เมื่อผู้เข้าแข่งขันใช้ธนู ๒๐ ดอกยิงออกไปจนหมดสิ้น หรือเป็นฝ่ายถูกธนูยิงโดนร่าง หรือผู้เข้าแข่งขันออกนอกเส้นวงกลม ให้ถือเป็นอันยุติ ห้ามยิงธนูอีกเป็นอันขาด และเสียงกลองจะดังขึ้นให้เป็นที่รู้กัน”

ระยะห่างจากจุดกึ่งกลางสนามถึงผนังเชิงเทินคือ ๒๕ วา ถ้าผู้เข้าแข่งขันไปยืนริมเส้นวงกลมสีขาวจะทำให้ระยะยิงไปยังป้ายนักษัตรในทิศนั้นไม่ไกลเกิน ๒๓ วา แต่ก็ยังเป็นระยะที่ท้าทายมากสำหรับยอดนักยิงธนูซึ่งต้องเคลื่อนไหวหลบหลีกห่าธนูจาก ๑๒ แหล่งไปพร้อมกัน

เสียงย่ำกลองเริ่มตีดังช้าๆ ก่อนจะกลายเป็นเร่งรัวจังหวะแล้วหยุดลง จากนั้นจึงตีลงเน้นน้ำหนัก ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม... จนเสียงตีครั้งที่สิบสองดังขึ้น
ผู้เข้าแข่งขันยืนอยู่ริมขอบเส้นวงกลมด้านหน้าปะรำที่ประทับทางทิศเหนือ พลันฉวยดอกธนูออกจากซองหนังที่สะพายไขว้บ่า วางทาบกับคันธนูและสายหนัง เหนี่ยวยิงออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่พลแม่นธนูทั้ง ๑๒ คนบนเชิงเทินเหนี่ยวยิงธนูลงมา

ธนูทั้ง ๑๓ ดอกพุ่งออกจากแหล่ง หนึ่งดอกพุ่งเข้าหาป้ายนักษัตรทางทิศเหนือ อีก ๑๒ ดอกพุ่งลงมายังเบื้องล่างเป็นรูปแนววงกลมขนาดใหญ่ที่บีบรัดวงกระชับเข้าหาผู้แข่งขันที่อยู่กลางลานประลอง

ผู้เข้าแข่งขันหมุนตัวคว้างไปทางด้านหลังแล้วบ่ายหน้าไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็ว ใช้คันธนูปัดลูกธนูจากทิศใต้ที่พุ่งมาตรงหน้า และโยกตัวเฉียงหลบอีกหลายดอกที่ติดตามมา ทำให้ลูกธนูทั้ง ๑๑ ดอกปักเฉียงล้อมวงลงกับพื้น ดูไปคล้ายกลีบวงดอกไม้ขนาดใหญ่กลางลานประลอง เพียงขาดหายไปหนึ่งกลีบ... คือลูกธนูจากทางทิศใต้ที่ถูกปัดป่ายกระเด็นไป

ผู้เข้าแข่งขันยิงธนูออกไปอีกคราพร้อมหมุนตัวฝ่าหลบห่าธนูที่โปรยลงมาอีกระลอก แต่คราวนี้ไม่ใช่พลแม่นธนูทุกคนจะยิงธนูออกมา บางคนก็หยุดรอจังหวะยิงอยู่ เมื่อผู้เข้าแข่งขันขึ้นธนูในจังหวะต่อไปพลันมีลูกธนูทยอยพุ่งเข้าหาจนต้องหมุนวนไปอีกหลายคราจึงสามารถส่งลูกธนูออกจากคันได้
ยิ่งนานออกไป การยิงธนูเข้าหาป้ายนักษัตรยิ่งกระทำได้ยาก ต้องวิ่งวนหลบเลี่ยงมากรอบขึ้น

เสียงฝูงชนซึ่งเดิมเงียบกริบด้วยใจระทึก ต่างเริ่มส่งเสียงเป่าปากด้วยความหวาดเสียว เห็นลูกธนูที่โปรยสู่ลานประลองเริ่มแปรรูปจากกลุ่มใหญ่กลายเป็นชุดเล็กๆ ไล่ติดตามตัวผู้เข้าแข่งขันจนกระชั้นสั้น สุดท้ายไม่มีโอกาสน้าวคันขึ้นธนู ได้แต่วิ่งวนหลบเลี่ยงพัลวัน กระทั่งทิ้งตัวลงกลิ้งกับพื้นเพื่อหลบเลี่ยงลูกธนูที่ยิงมา ขณะหมุนดันกายขึ้นจากพื้นมีลูกธนูพุ่งเข้าใส่เกราะอ่อนบริเวณสีข้างทันที

“ยุติ” เสียงขุนพลธรณินดังก้อง พร้อมกับเสียงกลองที่รัวสนั่น
พลแม่นธนูทั้ง ๑๒ คนต่างหยุดยิงธนูทันที แต่ละคนต่างมองสำรวจดูป้ายนักษัตรตรงหน้าของตน เมื่อเห็นป้ายที่ตนเฝ้าประจำมีดอกธนูปักตรึงอยู่ก็ยกชูคันธนูขึ้นเป็นสัญญาณ มีทั้งหมด ๔ คนที่ชูคันธนูขึ้นมา

“ผู้เข้าแข่งขันคนที่หนึ่ง ยิงได้ทั้งหมด ๔ ป้าย” ขุนพลธรณินประกาศผลออกมา
บนเชิงเทินนอกจากพลแม่นธนูแล้วยังมีกรรมการอีก ๖ คนที่ยืนกระจายกันไป โดยกรรมการหนึ่งคนทำหน้าที่กำกับพลแม่นธนู ๒ คน มีกรรมการคนหนึ่งเดินไปยืนข้างศิระ พลแม่นธนูที่ประจำอยู่ทางทิศใต้ พร้อมชูธงสีฟ้าขึ้น
“พลแม่นธนูผู้สามารถยิงผู้เข้าแข่งขันคนที่ ๑ คือศิระ” ขุนพลธรณินประกาศต่อมา

เสียงผู้ชมรอบสนามต่างปรบมือกันเกรียวกราวให้กับผู้เข้าแข่งขันและพลแม่นธนูผู้ยิงสกัด
ทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งกรูเข้าไปเก็บกวาดลานประลองโดยเฉพาะลูกธนูที่ปักเกลื่อนพื้น ในขณะที่ผู้เข้าแข่งขันคนแรกเดินออกจากสนามด้วยความเงียบสงบ ตามกฎซึ่งเข้มงวดห้ามส่งเสียงหรือแสดงอาการใดให้ผู้คนจดจำได้ไม่ว่าก่อนหรือหลังการแข่งขัน


“ท่านว่าผู้เข้าแข่งขันคนแรกคือองค์ชายอัศวเมฆหรือไม่”
“หม่อมฉันว่าคงไม่ใช่ ด้วยฝีมือขององค์ชายน่าจะยิงป้ายนักษัตรได้ไม่ต่ำกว่าครึ่งเป็นแน่” พระเจ้าฤทธิเทวารับสั่งตอบพระเจ้าศรีมหาราช พร้อมรอยแย้มพระสรวล
“ผู้เข้าแข่งขันคนแรกมีฝีมือไม่ธรรมดา... นี่หลานเรามีฝีมือสูงกว่าอีกหรือ” รับสั่งพร้อมทรงพระสรวลด้วยพระทัยยินดี

--------------------------------------------------

ลำดับการประลองใช้วิธีจับสลาก ผู้เข้าแข่งขันในลำดับต้นแม้ได้สิทธิ์เลือกคันธนูก่อน แต่ต้องเผชิญกับพละกำลังของพลแม่นธนูที่ยังเข้มแข็ง ส่วนผู้เข้าแข็งขันในลำดับท้ายกลับต้องพบกับความจัดเจนสนามที่มากขึ้นของพลแม่นธนู

ไม่นานนักการประลองธนูก็ผ่านไปอีก ๓ รอบ ๓ คน บางคนก็ได้รับบาดเจ็บจากลูกธนูที่ยิงชำแรกเข้าถึงชุดไหมสีดำข้างใน ต้องยุติการแข่งขันด้วยเลือด บางคนแม้จะไม่ได้ถูกธนูยิงแต่ก็ยิ่งขายหน้ากว่าเมื่อทิ้งตัวเกลือกกลิ้งทุลักทุเลออกไปนอกเส้นวงกลมเพื่อขอยุติการแข่งขันตามกติกา
มีเพียงคนเดียวที่เรียกเสียงชื่นชมจากผู้คนทั่วสนามเมื่อสามารถยืนหยัดหลบหลีกวิถีของธนูได้เนิ่นนาน และยิงป้ายนักษัตรได้ถึง ๘ ป้าย...

เสียงกลองดังรัวขึ้นอีกครา ผู้เข้าแข่งขันคนที่ห้าเดินออกมาจากประตู ทันทีที่ทุกคนเห็นคันธนูสีดำในมือ ต่างส่งเสียงอุทานฮือฮา ชี้ชวนกันดูด้วยความแปลกใจ

“ท่านสิงหล ทำไมคันธนูสีดำจึงถูกเลือกออกมาตั้งแต่รอบที่ห้าละ” พระเจ้าฤทธิเทวารับสั่งถามขึ้นด้วยความฉงนพระทัยเช่นกัน
“ข้าพระองค์ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันพระเจ้าค่ะ ในเมื่อผู้เข้าแข่งขันทุกคนต่างลงความเห็นว่าธนูคันสีดำมีตำหนิ ก็ไม่สมควรเลือกเข้าประลอง น่าจะถูกทิ้งไว้เป็นลำดับสุดท้ายพระเจ้าค่ะ” ขุนพลใหญ่แห่งปตานีกราบทูลตอบ

“หรือยังจะมีใครที่พิเคราะห์ธนูคันนี้ไม่เหมือนคนอื่น” พระเจ้าศรีมหาราชตรัสขึ้นบ้าง
พระดำรัสขององค์พระประมุขแห่งเมืองนักษัตรทำให้ผู้ฟังทั้งหลายอดคิดไปถึงเจ้าทิพไม่ได้... แต่สิ่งที่เจ้าทิพพิเคราะห์ก็เพียงแจกแจงว่าคันธนูสีดำซึ่งหนักแรงยังดีกว่าธนูที่เบาแต่ไม่สมดุล... ซึ่งก็ไม่น่าจะทัดเทียมกับอีก ๗ คันที่ถูกคัดเลือกไปก่อนหน้า

“นั่นสิพระองค์... ใครกันที่กล้ายอมใช้ธนูที่ทั้งหนักทั้งกินแรง ในเมื่อมีธนูเบาเหมาะมือเหลือให้เลือกอีกถึงสามคัน” พระเจ้าปตานีรับสั่งขึ้นเมื่อเห็นขุนพลสิงหลได้แต่นั่งนิ่ง

เซียงจือกงสังเกตพระอาการของพระราชธิดาวิสาณีเห็นสีพระพักตร์เคร่งเครียดเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา อดรู้สึกเวทนาในความผูกพันของสองชายหญิงต่างยศศักดิ์ไม่ได้ จึงให้ล่ามทูลไปเฉพาะพระองค์ว่า
“คนที่ยืนอยู่กลางสนามบัดนี้... คือเจ้าทิพ”

องค์หญิงวิสาณีถึงกับทรงสะดุ้งพระทัย... ทรงเพ่งสายพระเนตรสำรวจผู้เข้าแข่งขันเบื้องล่าง ทั้งชุดทั้งรูปลักษณะมิมีสิ่งใดเป็นเครื่องสังเกตที่ต่างจากผู้เข้าประลองก่อนหน้านี้ จากนั้นทรงเบือนพระพักตร์ไปทางผู้บัญชาการกองเรือจากแดนไกล รับสั่งด้วยพระทัยสั่นระรัวว่า
“ท่านรู้ได้อย่างไร”
ทรงสบพระเนตรกับเซียงจือกงคล้ายดังจะทรงเพ่งลึกให้เห็นถึงความมั่นใจในดวงตาของผู้กราบทูล

“นอกจากเจ้าทิพแล้ว ไม่มีผู้เข้าแข่งขันคนไหนจะยอมเลือกคันธนูสีดำ พระเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงมั่นคง ประกายตามั่นใจ...

พระนางทรงสดับแล้วพลันเสียวปลาบเข้าไปในทรวง พระอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) แรงลึกอย่างไม่ทรงรู้พระองค์... ครั้นทรงเพ่งพินิจไปยังชายในชุดเกราะอ่อน สวมหน้ากากหวายเบื้องล่างอีกครั้ง พระทัยประหวัดถึงภาพเจ้าทิพกลิ้งเกลือก เลือดอาบนองลำแขนสองข้างด้วยฝักดาบขององค์ชายอัศวเมฆ... นั่นแค่หนึ่งฝักดาบ หากเป็นห่าธนูที่รุมยิงลงมาจากพลแม่นธนูทั้ง ๑๒ คนจะต้องกายสักกี่แผล ถ้าเกิดเล็ดลอดเข้าช่องตาช่องหูไม่บาดเจ็บพิการหรือ ทรงระลึกแล้วให้สั่นไหวพระทัยไปพร้อมกับเสียงกลองที่ย่ำรัวขึ้น

ความเจ็บปวด ความหวาดกลัวของคน บางครั้งก็เกิดจากภาพที่ถูกวาดขึ้นล่วงหน้าของจิตใต้สำนึก...


ชายในชุดเกราะยืนนิ่ง ณ จุดกึ่งกลางของเส้นวงกลมสีขาว หาได้เดินเข้าหาริมขอบเส้นเหมือนผู้เข้าแข่งขันรายอื่น
เสียงกลองตีย้ำถึงครั้งที่สิบ... ร่างที่ยืนสงบพลันย่อตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น ชันเข่าอีกข้างขึ้น จรดปลายคันธนูด้านหนึ่งกับพื้นด้านหน้า ปลายอีกด้านโผล่พ้นสูงเหนือศีรษะ
เสียงกลองตีย่ำครั้งที่สิบเอ็ด... เห็นศีรษะที่ครอบด้วยเกราะหวายตั้งตรง มิได้ส่ายหันไปมา ช่องตาที่เจาะไว้เพียงมองไปข้างหน้า

เสียงกลองครั้งที่สิบสอง... พลแม่นธนูทั้ง ๑๒ คนฉวยลูกธนูมาน้าวและปล่อยยิงไปยังร่างชายหนุ่มที่นั่งชันเข่าอยู่กลางเส้นวงกลม นอกจากศีรษะและสายตาที่สอดส่ายไปรอบบริเวณแล้วร่างยังคงปักนิ่งอยู่ตำแหน่งเดิม คล้ายกำลังรอลูกธนูเข้ามาปักตรึงร่างทั้ง ๑๒ ดอก

เพียงพริบตาลูกธนูก็พุ่งใกล้บรรลุถึงเป้าหมาย ผู้ชมรอบสนามเบิ่งตาด้วยความสะท้านใจ ดอกธนูทั้งหมดกำลังจะปักลงบนร่าง และต้องมีหลายดอกที่ชำแรกเข้าถึงเลือดเนื้อ...
ลูกธนูที่พุ่งมาทางด้านซ้ายเร็วมาก เร็วกว่าทุกดอก... ร่างชายหนุ่มพลันดีดตัวทะลึ่งขึ้นอย่างรวดเร็วราวสะเก็ดไฟที่ปะทุ แล่นพรวดไปทางด้านซ้ายเข้าหาธนูดอกแรกที่พุ่งสวนมา

คันธนูสีดำสะบัดออกปัดดอกธนูที่พุ่งเข้ามากระดอนไปจนดัง” เพลี้ยะ” ตามด้วยเสียงดัง ”ปึกปึก..” รัวติดกัน เมื่อพื้นด้านหลังทิ้งไว้ด้วยดอกธนู ๑๑ ดอกปักเรียงรายเป็นวง ปลายสอบเฉียงเข้าหากัน ดูไปคล้ายกระโจมหลังเล็กๆ ที่ปลายท้ายดอกธนูแทบรวมเป็นจุดเดียว... จุดที่เคยเป็นตำแหน่งหัวใจของบุรุษผู้นั่งชันเข่าเมื่อครู่ก่อนหน้า

ชายในชุดเกราะยืนห่างไปจากจุดเดิมราวหนึ่งวา เสียงเฟี้ยวฟ้าวดังขึ้นอีกครั้งเมื่อดอกธนูชุดที่สองถูกระดมยิงลงมา ร่างชายหนุ่มหมุนตัวไปเป็นวงรอบ สายตาเพ่งจับวิถีและจังหวะของธนูแต่ละดอกก่อนกำหนดก้าวย่าง.. พลางสะบัดคันธนูสีดำฟาดใส่ลูกธนูที่พุ่งตรงมา แล้วก้าวหมุนตัวไปด้านข้างหลบเลี่ยงดอกธนูที่เหลือ เสียงดอกธนูปักลงพื้นต่อเนื่องผสานกับเสียงเฟี้ยวฟ้าวของบรรดาดอกธนูชุดใหม่ที่ถูกโก่งน้าวปล่อยลงมาอย่างต่อเนื่อง

ชายหนุ่มกลางลานเพียงโผขยับตัวหลบเลี่ยงเป็นจังหวะติดต่อกัน บางครั้งก็สะบัดคันธนูสีดำเข้าสกัดวิถีของลูกธนูที่พุ่งลงมา บางจังหวะเพียงเบี่ยงตัวหลบวิถีห่าธนูก่อนหมุนวนโยกย้ายไปยืนตำแหน่งถัดไป

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่