ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
นี่เป็นเรื่องราวแบบเกินพอดีที่นำโดยมอเร่ ชาม ฮาล์ฟเอลฟ์ซึ่งเป็นนักเขียนที่เคยเป็นนักผจญภัยมาก่อน
เขาดังพอตัวเลยแหละ สำหรับการเปิดตัวนิยายเรื่องแรก แต่เรื่องที่สองกลับแป้กซะงั้น จนสัญญาที่ทำกับสำนักพิมพ์ใกล้จะหมดแล้ว
อ้าว แล้วเขาจะทำอย่างไรละ จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาบ้าง เอ๊ะ เรื่องมันจะเกินไปแล้ว
เชิญคุณติดตามได้เลย
* คำเตือน นี่เป็นผลงานสำหรับผู้อ่านที่มีอายุอย่างน้อย 15 ปี อย่าหาว่าผู้เขียนไม่เตือน
จากนรินฺโท (ผู้เขียน)
บทนำ
ตูม เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว
แรงระเบิดกินบริเวณเป็นวงกว้าง ทำให้รถคันที่เป็นเป้าหมายของการระเบิดถึงกับกระเด็นกระดอนไปหลายตลบจนมันครูดไปกับพื้นถนนจนเห็นได้เป็นทางยาว ทั้งยังไปกระแทกเข้ากับเสาไฟฟ้าที่อยู่ข้างทางอย่างรุนแรง สะเก็ดไฟกระจายไปทั่วภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืนซึ่งส่งผลให้เห็นซากรถที่พลิกคว่ำได้อย่างชัดเจน
ตึง ๆ โครม จากนั้นก็มีเสียงกระแทกดังออกมาจากที่นั่งคนขับ
เพราะประตูรถได้ถูกกระแทกให้เปิดออกมา พร้อมกับทั้งยังมีเงาคนซึ่งพยายามตะเกียดตะกายออกจากซากรถอย่างอ่อนล้า แต่ร่างของเขาโชกไปด้วยเลือดซึ่งปาฏิหาริย์มากที่ยังมีชีวิตอยู่ ทว่าในขณะที่คลานออกมา เขาก็พยายามดึงเอาบางสิ่งออกจากซากรถมาด้วยโดยที่ใช้แรงทั้งหมดเท่าที่มี
ก็ดูซิ มือขวาของเขาลากเอากระเป๋าโลหะแบบไม่ยอมปล่อยให้ไปไหนเลย
พอออกจากซากรถได้ เขาก็พยายามจะลุกขึ้นแต่ก็ล้มลง เมื่อลองอยู่อีกสองสามที ทว่าก็ล้มลงอีกครั้งอย่างหมดท่า มันแสดงให้เห็นถึงความหนักหนาสาหัสของอาการบาดเจ็บที่ได้รับ ทำให้เขาต้องถอนใจและได้แต่นั่งพิงซากรถอยู่อย่างนั้น ถึงแม้ความร้อนจากเปลวไฟจะร้อนจนแทบทนไม่ไหว แต่เขาก็ต้องทน
“แค่ก ๆ” ทั้งยังสำลักควันออกมาอย่างทนไม่ได้
เครื่องแบบที่เป็นสีขาวทั้งเสื้อและกางเกงล้วนเปรอะเปี้อนไปด้วยคราบเลือด เขม่าและเศษดิน เขาได้หอบหายใจเบา ๆ จากนั้นก็หันไปมองสภาพรอบตัว ทัศนะวิสัยก็ยังคงพร่ามัวไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอรู้ว่ามีชายอีกคนกำลังเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ
เมื่อการมองเห็นเริ่มฟื้นคืน ม่านตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นทันที ทำให้อึ้งอยู่พักหนึ่งแล้วก็พูดขึ้นอย่างอ่อนล้าว่า
“เป็นแกเอง ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นแก ฮา ๆ” ส่งผลให้ต้องหัวเราะออกมาอย่างน่าสมเพศในความโง่เขลาของตัวเอง
ส่วนชายอีกคนที่เดินเข้ามาได้หยุดลง เขาเป็นชายผิวสองสีซึ่งหาได้ยากในเมืองนี้ รอยยิ้มที่แสดงออกมาโชว์ให้เห็นถึงความมั่นใจในตนเอง จากนั้นก็ใช้มือซึ่งสวมถุงมือชักปืนออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทและใส่ที่เก็บเสียงอย่างไม่รีบร้อน เมื่อทุกอย่างได้เตรียมการเรียร้อยแล้ว เขาก็ยิ้มแล้วพูดออกมาว่า
“เป็นฉันเอง โทมัส เพื่อนยาก แกคงนึกไม่ถึงซินะ ฉันแปลกใจอยู่นะที่แกยังไม่ตาย แต่ดูซิ อุตสาห์เตรียมระเบิดมาแรงซะขนาดนี้ แกก็ยังไม่ตายอีก นับถือเลยวะ แกมันดวงแข็งจริง ๆ”
“ดูทำหน้าเข้าซิ เพื่อนเอย อยากให้แกมองเห็นใบหน้าของแกในตอนนี้จริง ๆ ฮา ๆ ดูไม่ได้เลย ... บ่อยครั้งนะที่ฉันสงสัยว่าแกทำมันได้ยังไง นี่คิดว่าจะถูกยกโทษให้หรือ ฝันไปเถอะ”
“แกมันไม่ใช่คน แกทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง แกมัน” จากนั้นโทมัสก็ด่าทันทีอย่างโมโห แต่กลับถูกขัดจังหวะซะก่อน
“พอเถอะ เพื่อน มันจบไปแล้ว” เพราะชายอีกคนได้พูดแทรกขึ้นมา จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า
“จริง ๆ แล้ว แกน่าจะตายไปกับแรงระเบิดนะ ฉันคิดว่าแกคงจะมีความสุขมากกว่า บางครั้งความจริงมันก็เจ็บปวดและโหดร้ายจนคาดไม่ถึง ดังนั้นไม่รู้ซะเลยยังจะดีกว่า รู้ไหม ตั้งแต่ต้นจนจบฉันไม่เคยแสดงตัวเลยว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ฉันได้พยายามอย่างหนักเพื่อให้แกเชื่อเช่นนั้น”
“จริง ๆ นะ ฉันว่าฉันทำได้ดีทีเดียวเลยล่ะ หึ ๆ ฉันถึงกับต้องเดินทางไปถึงที่นั่น เพื่อทำให้แกคิดว่าฉันมีวัตถุประสงค์อื่น ฮา ๆ แต่มันเป็นสิ่งที่แกคิดไปเองทั้งนั้น”
จากนั้นเขาก็หันไปมองดูกระเป๋าโลหะอย่างพินิจพิจารณา ทั้งยังทำหน้ารับไม่ได้และบ่นพึมพำว่า
“มันก็ยังอยู่อีก ชิ ของแบบนี้ มันน่าจะถูกทำลายไปซะ”
ดูซิ เขาอุตสาห์ขัดคำสั่งขององค์กรเพื่อที่จะทำลายมัน ถึงกับออกเงินส่วนตัวไปจัดเตรียมระเบิดรุ่นพิเศษแบบลับ ๆ โดยไม่ให้องค์กรรู้ แต่ทว่าทำไปถึงขนาดนั้น มันก็ยังอยู่ดีอยู่เลย
(บัดซบจริง ๆ) ทำให้ต้องคิดในใจแบบนี้
ทั้ง ๆ ที่เป็นแบบนั้น เมื่อเขาปรับอารมณ์ให้สงบลงแล้ว จากนั้นก็หันกลับไปคุยกับโทมัสต่อทันที
“เอาล่ะ มาทำให้เรื่องนี้จบกันเถอะ โทมัส พูดจริง ๆ นะ ฉันไม่ได้เกลียดแกหรอกแต่ก็ไม่ได้ชอบแกเหมือนกัน โชคดีนะ เพื่อนเอ๋ย”
เมื่อพูดจบ เขาได้เล็งปืนไปที่หน้าผากของโทมัส ทว่าในขณะที่กำลังจะเหนี่ยวไก ฝนก็เริ่มตก เม็ดฝนจึงตกลงมาโดนใบหน้าของเขาซึ่งทำให้ต้องชะงักอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็ยิ้มอย่างร่าเริงและพูดว่า
“ดูเหมือนว่าฟ้าจะเสียใจกับแกนะ เอาเถอะ อย่างน้อย ฝนก็ช่วยลบร่องรอยของฉันได้”
เขาได้ลั่นไกสองนัดไปที่หน้าผากของโทมัส มันส่งผลให้ร่างของโทมัสล้มลงทันทีเหมือนหุ่นกระบอกที่สายเชิดขาด เมื่อร่างของเหยื่อแน่นิ่งอยู่กับที่ เขาก็มองร่างที่ทรุดตัวลง พร้อมทั้งบ่นพึมพำว่า
“อา เสร็จเสียที แต่เรื่องแบบนี้ฉันไม่ขอยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว”
“...” จากนั้นก็เก็บปลอกกระสุนไปใส่ถุงพลาสติกที่เตรียมไว้
เมื่อเสร็จแล้วก็เดินไปที่ศพของโทมัสซึ่งล้มคว้าอยู่เพื่อหยิบกระเป๋าโลหะ ทว่าเขาระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ทั้งยังสำรวจสภาพของมันอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“...” เมื่อเช็กดูจนมั่นใจแล้วว่ามันปลอดภัย เขาก็คุกเข่าลงและเปิดกระเป๋าเพื่อดูให้แน่ใจ
(ไม่อยากให้มันผิดพลาด ถึงจะกลัวตายก็เถอะ) เขาคิดในใจ
ได้แล้ว เฮ้อ ทำให้ต้องถอนใจอย่างโล่งอก ตอนนี้ฝนก็เริ่มตกหนักแล้ว เม็ดฝนที่ตกลงมาก็เริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น
(ดูท่าจะเป็นฝนห่าใหญ่ ดังนั้นรีบไปดีกว่า) ทำให้ต้องคิดอย่างช่วยไม่ได้
แต่ในขณะที่กำลังจะกลับตัวเพื่อเดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่ใกล้ ๆ เขาก็ถูกหยุดลงซะก่อนอย่างกะทันหัน เพราะมีมือข้างหนึ่งมาจับแขนขวาของเขาไว้จากด้านหลังและรั้งอย่างแรง
“เอ๊ะ” มันส่งผลให้เขาถึงกับโดนดึงให้ถอยไปข้างหลัง
“อะไรวะ” ทำให้ตกใจเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อหันหลังกลับไปก็พบว่า ...
เฮ้อ ไอส่งเสียงถอนหายใจยาว ๆ อย่างพึงพอใจ
นานแล้วนะที่ไม่ได้อ่านเรื่องราวที่มีเนื้อหาแบบนี้ ไม่เสียแรงที่กำลังติดตามนักเขียนคนนี้อยู่ จากนั้นไอก็หลับตาลงและพยายามเรียบเรียงรายละเอียดทั้งหมดเท่าที่อ่านมา
(น่าประทับใจนะ ใช่แล้ว มันเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจทีเดียว แต่นิยายเรื่องนี้กลับมีส่วนที่แย่เอามาก ๆ อยู่ซึ่งมันจะจบอนาคตของนักเขียนคนนี้ไปได้เลย) ทำให้ต้องคิดในใจ
เฮ้อ ไอต้องถอนหายใจอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้และก็ลืมตาขึ้นมา หวังว่าตอนจบคงไม่ได้เป็นอย่างที่ไอคิดนะ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่ใบหน้าของผู้เขียนซึ่งกำลังรอดูปฏิกิริยาของผู้อ่านอย่างกระตือรือล้น มันทำให้ไอหมั่นไส้เล็กน้อย แต่ความรู้สึกนี้ก็ไม่อาจเอาชนะความตื่นเต้นที่จะอ่านต่อได้
“จะเป็นยังไงต่อนะ” ไออดพูดขึ้นไม่ได้จริง ๆ
แต่ในขณะที่จะกลับไปสู่เนื้อเรื่องต่ออีกครั้ง หน้าของนิยายก็ปิดได้ตัวลง ทำให้ไอไม่สามารถอ่านต่อได้
(อะไรกัน) ทำให้ไอรู้สึกเคืองจนต้องหันกลับไปด้านหลัง
ใช่แล้ว ผู้อ่านที่ผู้เขียนกำลังรอดูปฏิกิริยาอยู่ ไม่ใช่ไอหรอก
ผู้อ่านได้หยุดอ่านแต่กลางคันและกำลังจัดปึกกระดาษของหน้านิยายจนเข้าที่เข้าทาง มันส่งผลให้สีหน้าของผู้เขียนแย่ลงทันที จากนั้นผู้เขียนก็พยายามปรับอารมณ์โดยทำสีหน้าให้กลับคืนเป็นปกติ พร้อมทั้งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า
“เป็นอย่างไรบ้างครับ สนุกไหม?”
ทำให้ผู้อ่านต้องถอดแว่นตากรอบทองออกซึ่งใช้สำหรับอ่านหนังสือ? แล้วใส่มันกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเชิตสีดำที่ดูน่าภูมิฐาน เขาได้คนกาแฟดำในถ้วยอย่างนุ่มนวล ก่อนที่จะดื่มจนหมด จากนั้นก็มองไปที่ดวงตาของผู้เขียนอย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังพูดออกมาว่า
“ผมคงไม่พูดถึงสนุกหรือไม่สนุกหรอกนะ คุณชาม คุณรู้ไหมว่านิยายที่ดีต้องมีอะไร” เขาหยุดลงเล็กน้อย จากนั้นก็พูดต่อว่า
“คอมมอนเซนส์ คุณชาม” เขาพูดอย่างมั่นใจและชัดเจน
“คอมมอนเซนส์จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวของเราได้ง่ายและสามารถจินตนาการเข้าสู่เนื้อเรื่องได้อย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติโดยไม่ขัดแย้งกับความเป็นจริง เรื่องราวของคุณนะ คุณชาม มันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ผมคงให้เรื่องนี้ผ่านไม่ได้หรอก”
ในทันใดนั้นบรรยากาศโดยรอบของทั้งสองคนก็หนักขึ้นทันที ทำให้ไอที่กำลังดูปฏิกิริยาของทั้งสองคนอยู่ต้องหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ
(มาแล้ว ฮา ๆ จะเถียงกันแล้ว) ไอคิดในใจ
ในขณะที่ผู้อ่านบอกพนักงานในร้านให้เติมกระแฟเพิ่ม ผู้เขียนก็พูดตอบกลับไปว่า
“นิยายของผม ผมไม่รู้ว่ามันไม่สอดคล้องกับคอมมอนเซนส์ตรงไหน ทั้งคอนแซ็ป ทั้งโครงเรื่อง มันก็ชัดเจนดี สำนวนที่ผมใช้ก็เรียบง่ายไม่ซับซ้อน แล้วมันเข้าใจยากตรงไหน มันน่าจะทำให้ผู้อ่านเข้าถึงได้ง่ายแล้วนะ”
“ผมเข้าใจนะและผมก็รู้ว่านิยายที่คุณต้องการเขียนน่ะ เป็นเรื่องแนวไหน ขอบอกตรง ๆ นะ เรื่องธีมนี้ขายไม่ออกหรอก คอนแซ็ปที่คุณใช้มันอ่อนเกินไป มันไม่สมจริง” ผู้อ่านก็ตอบกลับอย่างจริงจัง
(ใช่แล้ว มันไม่สมจริง) ไอคิดและกอดอก จากนั้นก็พยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย
ในขณะนั้นพนักงานก็เดินเข้ามาเติมกาแฟเพิ่มโดยใช้สองมือถือถาดอาหารซึ่งเตรียมไว้เพื่อเสิร์ฟลูกค้า เธอเป็นพนักงานหญิงวัยรุ่นที่น่ารักซึ่งเข้ากับกระโปรงสั้นเป็นอย่างดี
(ขาขาว ๆ ของเธอเรียวยาวเข้ารูป เรียวขาแบบนี้ ไอให้เต็ม) ทำให้ต้องคิดแบบนี้ออกมา
“...”
(เฮ้ย อย่าเข้าใจผิดนะ ไอไม่ได้มองเรียวขาของเธอ ถึงมันจะน่าดูก็เถอะ) จากนั้นก็พยายามแก้ต่าง เพราะสิ่งที่ไอมองน่ะ มันคือเหยือกกาแฟซึ่งมีกาแฟอยู่เกือบเต็มที่ลอยตามเธอมาต่างหากล่ะ
เธอไม่ได้ถือเหยือกกาแฟมาด้วยมือ ทว่ามันกลับลอยตามเธอมาอย่างนุ่มนวล จากนั้นมันก็เติมกาแฟในถ้วยของผู้อ่านอย่างเที่ยงตรงแม่นยำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นถือมันอยู่
นี่ล่ะ มันคือคอมมอนเซนส์
นี่แหละที่เป็นความปกติและเป็นเรื่องธรรมดา
นิยายแฟนตาซีแนวซีเรียส TOO MUCH PASSION ความอยากที่มากเกินไป [บทนำ] ปรับปรุงใหม่
นี่เป็นเรื่องราวแบบเกินพอดีที่นำโดยมอเร่ ชาม ฮาล์ฟเอลฟ์ซึ่งเป็นนักเขียนที่เคยเป็นนักผจญภัยมาก่อน
เขาดังพอตัวเลยแหละ สำหรับการเปิดตัวนิยายเรื่องแรก แต่เรื่องที่สองกลับแป้กซะงั้น จนสัญญาที่ทำกับสำนักพิมพ์ใกล้จะหมดแล้ว
อ้าว แล้วเขาจะทำอย่างไรละ จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาบ้าง เอ๊ะ เรื่องมันจะเกินไปแล้ว
เชิญคุณติดตามได้เลย
* คำเตือน นี่เป็นผลงานสำหรับผู้อ่านที่มีอายุอย่างน้อย 15 ปี อย่าหาว่าผู้เขียนไม่เตือน
จากนรินฺโท (ผู้เขียน)
บทนำ
ตูม เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว
แรงระเบิดกินบริเวณเป็นวงกว้าง ทำให้รถคันที่เป็นเป้าหมายของการระเบิดถึงกับกระเด็นกระดอนไปหลายตลบจนมันครูดไปกับพื้นถนนจนเห็นได้เป็นทางยาว ทั้งยังไปกระแทกเข้ากับเสาไฟฟ้าที่อยู่ข้างทางอย่างรุนแรง สะเก็ดไฟกระจายไปทั่วภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืนซึ่งส่งผลให้เห็นซากรถที่พลิกคว่ำได้อย่างชัดเจน
ตึง ๆ โครม จากนั้นก็มีเสียงกระแทกดังออกมาจากที่นั่งคนขับ
เพราะประตูรถได้ถูกกระแทกให้เปิดออกมา พร้อมกับทั้งยังมีเงาคนซึ่งพยายามตะเกียดตะกายออกจากซากรถอย่างอ่อนล้า แต่ร่างของเขาโชกไปด้วยเลือดซึ่งปาฏิหาริย์มากที่ยังมีชีวิตอยู่ ทว่าในขณะที่คลานออกมา เขาก็พยายามดึงเอาบางสิ่งออกจากซากรถมาด้วยโดยที่ใช้แรงทั้งหมดเท่าที่มี
ก็ดูซิ มือขวาของเขาลากเอากระเป๋าโลหะแบบไม่ยอมปล่อยให้ไปไหนเลย
พอออกจากซากรถได้ เขาก็พยายามจะลุกขึ้นแต่ก็ล้มลง เมื่อลองอยู่อีกสองสามที ทว่าก็ล้มลงอีกครั้งอย่างหมดท่า มันแสดงให้เห็นถึงความหนักหนาสาหัสของอาการบาดเจ็บที่ได้รับ ทำให้เขาต้องถอนใจและได้แต่นั่งพิงซากรถอยู่อย่างนั้น ถึงแม้ความร้อนจากเปลวไฟจะร้อนจนแทบทนไม่ไหว แต่เขาก็ต้องทน
“แค่ก ๆ” ทั้งยังสำลักควันออกมาอย่างทนไม่ได้
เครื่องแบบที่เป็นสีขาวทั้งเสื้อและกางเกงล้วนเปรอะเปี้อนไปด้วยคราบเลือด เขม่าและเศษดิน เขาได้หอบหายใจเบา ๆ จากนั้นก็หันไปมองสภาพรอบตัว ทัศนะวิสัยก็ยังคงพร่ามัวไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอรู้ว่ามีชายอีกคนกำลังเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ
เมื่อการมองเห็นเริ่มฟื้นคืน ม่านตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นทันที ทำให้อึ้งอยู่พักหนึ่งแล้วก็พูดขึ้นอย่างอ่อนล้าว่า
“เป็นแกเอง ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นแก ฮา ๆ” ส่งผลให้ต้องหัวเราะออกมาอย่างน่าสมเพศในความโง่เขลาของตัวเอง
ส่วนชายอีกคนที่เดินเข้ามาได้หยุดลง เขาเป็นชายผิวสองสีซึ่งหาได้ยากในเมืองนี้ รอยยิ้มที่แสดงออกมาโชว์ให้เห็นถึงความมั่นใจในตนเอง จากนั้นก็ใช้มือซึ่งสวมถุงมือชักปืนออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทและใส่ที่เก็บเสียงอย่างไม่รีบร้อน เมื่อทุกอย่างได้เตรียมการเรียร้อยแล้ว เขาก็ยิ้มแล้วพูดออกมาว่า
“เป็นฉันเอง โทมัส เพื่อนยาก แกคงนึกไม่ถึงซินะ ฉันแปลกใจอยู่นะที่แกยังไม่ตาย แต่ดูซิ อุตสาห์เตรียมระเบิดมาแรงซะขนาดนี้ แกก็ยังไม่ตายอีก นับถือเลยวะ แกมันดวงแข็งจริง ๆ”
“ดูทำหน้าเข้าซิ เพื่อนเอย อยากให้แกมองเห็นใบหน้าของแกในตอนนี้จริง ๆ ฮา ๆ ดูไม่ได้เลย ... บ่อยครั้งนะที่ฉันสงสัยว่าแกทำมันได้ยังไง นี่คิดว่าจะถูกยกโทษให้หรือ ฝันไปเถอะ”
“แกมันไม่ใช่คน แกทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง แกมัน” จากนั้นโทมัสก็ด่าทันทีอย่างโมโห แต่กลับถูกขัดจังหวะซะก่อน
“พอเถอะ เพื่อน มันจบไปแล้ว” เพราะชายอีกคนได้พูดแทรกขึ้นมา จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า
“จริง ๆ แล้ว แกน่าจะตายไปกับแรงระเบิดนะ ฉันคิดว่าแกคงจะมีความสุขมากกว่า บางครั้งความจริงมันก็เจ็บปวดและโหดร้ายจนคาดไม่ถึง ดังนั้นไม่รู้ซะเลยยังจะดีกว่า รู้ไหม ตั้งแต่ต้นจนจบฉันไม่เคยแสดงตัวเลยว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ฉันได้พยายามอย่างหนักเพื่อให้แกเชื่อเช่นนั้น”
“จริง ๆ นะ ฉันว่าฉันทำได้ดีทีเดียวเลยล่ะ หึ ๆ ฉันถึงกับต้องเดินทางไปถึงที่นั่น เพื่อทำให้แกคิดว่าฉันมีวัตถุประสงค์อื่น ฮา ๆ แต่มันเป็นสิ่งที่แกคิดไปเองทั้งนั้น”
จากนั้นเขาก็หันไปมองดูกระเป๋าโลหะอย่างพินิจพิจารณา ทั้งยังทำหน้ารับไม่ได้และบ่นพึมพำว่า
“มันก็ยังอยู่อีก ชิ ของแบบนี้ มันน่าจะถูกทำลายไปซะ”
ดูซิ เขาอุตสาห์ขัดคำสั่งขององค์กรเพื่อที่จะทำลายมัน ถึงกับออกเงินส่วนตัวไปจัดเตรียมระเบิดรุ่นพิเศษแบบลับ ๆ โดยไม่ให้องค์กรรู้ แต่ทว่าทำไปถึงขนาดนั้น มันก็ยังอยู่ดีอยู่เลย
(บัดซบจริง ๆ) ทำให้ต้องคิดในใจแบบนี้
ทั้ง ๆ ที่เป็นแบบนั้น เมื่อเขาปรับอารมณ์ให้สงบลงแล้ว จากนั้นก็หันกลับไปคุยกับโทมัสต่อทันที
“เอาล่ะ มาทำให้เรื่องนี้จบกันเถอะ โทมัส พูดจริง ๆ นะ ฉันไม่ได้เกลียดแกหรอกแต่ก็ไม่ได้ชอบแกเหมือนกัน โชคดีนะ เพื่อนเอ๋ย”
เมื่อพูดจบ เขาได้เล็งปืนไปที่หน้าผากของโทมัส ทว่าในขณะที่กำลังจะเหนี่ยวไก ฝนก็เริ่มตก เม็ดฝนจึงตกลงมาโดนใบหน้าของเขาซึ่งทำให้ต้องชะงักอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็ยิ้มอย่างร่าเริงและพูดว่า
“ดูเหมือนว่าฟ้าจะเสียใจกับแกนะ เอาเถอะ อย่างน้อย ฝนก็ช่วยลบร่องรอยของฉันได้”
เขาได้ลั่นไกสองนัดไปที่หน้าผากของโทมัส มันส่งผลให้ร่างของโทมัสล้มลงทันทีเหมือนหุ่นกระบอกที่สายเชิดขาด เมื่อร่างของเหยื่อแน่นิ่งอยู่กับที่ เขาก็มองร่างที่ทรุดตัวลง พร้อมทั้งบ่นพึมพำว่า
“อา เสร็จเสียที แต่เรื่องแบบนี้ฉันไม่ขอยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว”
“...” จากนั้นก็เก็บปลอกกระสุนไปใส่ถุงพลาสติกที่เตรียมไว้
เมื่อเสร็จแล้วก็เดินไปที่ศพของโทมัสซึ่งล้มคว้าอยู่เพื่อหยิบกระเป๋าโลหะ ทว่าเขาระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ทั้งยังสำรวจสภาพของมันอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“...” เมื่อเช็กดูจนมั่นใจแล้วว่ามันปลอดภัย เขาก็คุกเข่าลงและเปิดกระเป๋าเพื่อดูให้แน่ใจ
(ไม่อยากให้มันผิดพลาด ถึงจะกลัวตายก็เถอะ) เขาคิดในใจ
ได้แล้ว เฮ้อ ทำให้ต้องถอนใจอย่างโล่งอก ตอนนี้ฝนก็เริ่มตกหนักแล้ว เม็ดฝนที่ตกลงมาก็เริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น
(ดูท่าจะเป็นฝนห่าใหญ่ ดังนั้นรีบไปดีกว่า) ทำให้ต้องคิดอย่างช่วยไม่ได้
แต่ในขณะที่กำลังจะกลับตัวเพื่อเดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่ใกล้ ๆ เขาก็ถูกหยุดลงซะก่อนอย่างกะทันหัน เพราะมีมือข้างหนึ่งมาจับแขนขวาของเขาไว้จากด้านหลังและรั้งอย่างแรง
“เอ๊ะ” มันส่งผลให้เขาถึงกับโดนดึงให้ถอยไปข้างหลัง
“อะไรวะ” ทำให้ตกใจเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อหันหลังกลับไปก็พบว่า ...
เฮ้อ ไอส่งเสียงถอนหายใจยาว ๆ อย่างพึงพอใจ
นานแล้วนะที่ไม่ได้อ่านเรื่องราวที่มีเนื้อหาแบบนี้ ไม่เสียแรงที่กำลังติดตามนักเขียนคนนี้อยู่ จากนั้นไอก็หลับตาลงและพยายามเรียบเรียงรายละเอียดทั้งหมดเท่าที่อ่านมา
(น่าประทับใจนะ ใช่แล้ว มันเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจทีเดียว แต่นิยายเรื่องนี้กลับมีส่วนที่แย่เอามาก ๆ อยู่ซึ่งมันจะจบอนาคตของนักเขียนคนนี้ไปได้เลย) ทำให้ต้องคิดในใจ
เฮ้อ ไอต้องถอนหายใจอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้และก็ลืมตาขึ้นมา หวังว่าตอนจบคงไม่ได้เป็นอย่างที่ไอคิดนะ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่ใบหน้าของผู้เขียนซึ่งกำลังรอดูปฏิกิริยาของผู้อ่านอย่างกระตือรือล้น มันทำให้ไอหมั่นไส้เล็กน้อย แต่ความรู้สึกนี้ก็ไม่อาจเอาชนะความตื่นเต้นที่จะอ่านต่อได้
“จะเป็นยังไงต่อนะ” ไออดพูดขึ้นไม่ได้จริง ๆ
แต่ในขณะที่จะกลับไปสู่เนื้อเรื่องต่ออีกครั้ง หน้าของนิยายก็ปิดได้ตัวลง ทำให้ไอไม่สามารถอ่านต่อได้
(อะไรกัน) ทำให้ไอรู้สึกเคืองจนต้องหันกลับไปด้านหลัง
ใช่แล้ว ผู้อ่านที่ผู้เขียนกำลังรอดูปฏิกิริยาอยู่ ไม่ใช่ไอหรอก
ผู้อ่านได้หยุดอ่านแต่กลางคันและกำลังจัดปึกกระดาษของหน้านิยายจนเข้าที่เข้าทาง มันส่งผลให้สีหน้าของผู้เขียนแย่ลงทันที จากนั้นผู้เขียนก็พยายามปรับอารมณ์โดยทำสีหน้าให้กลับคืนเป็นปกติ พร้อมทั้งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า
“เป็นอย่างไรบ้างครับ สนุกไหม?”
ทำให้ผู้อ่านต้องถอดแว่นตากรอบทองออกซึ่งใช้สำหรับอ่านหนังสือ? แล้วใส่มันกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเชิตสีดำที่ดูน่าภูมิฐาน เขาได้คนกาแฟดำในถ้วยอย่างนุ่มนวล ก่อนที่จะดื่มจนหมด จากนั้นก็มองไปที่ดวงตาของผู้เขียนอย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังพูดออกมาว่า
“ผมคงไม่พูดถึงสนุกหรือไม่สนุกหรอกนะ คุณชาม คุณรู้ไหมว่านิยายที่ดีต้องมีอะไร” เขาหยุดลงเล็กน้อย จากนั้นก็พูดต่อว่า
“คอมมอนเซนส์ คุณชาม” เขาพูดอย่างมั่นใจและชัดเจน
“คอมมอนเซนส์จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวของเราได้ง่ายและสามารถจินตนาการเข้าสู่เนื้อเรื่องได้อย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติโดยไม่ขัดแย้งกับความเป็นจริง เรื่องราวของคุณนะ คุณชาม มันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ผมคงให้เรื่องนี้ผ่านไม่ได้หรอก”
ในทันใดนั้นบรรยากาศโดยรอบของทั้งสองคนก็หนักขึ้นทันที ทำให้ไอที่กำลังดูปฏิกิริยาของทั้งสองคนอยู่ต้องหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ
(มาแล้ว ฮา ๆ จะเถียงกันแล้ว) ไอคิดในใจ
ในขณะที่ผู้อ่านบอกพนักงานในร้านให้เติมกระแฟเพิ่ม ผู้เขียนก็พูดตอบกลับไปว่า
“นิยายของผม ผมไม่รู้ว่ามันไม่สอดคล้องกับคอมมอนเซนส์ตรงไหน ทั้งคอนแซ็ป ทั้งโครงเรื่อง มันก็ชัดเจนดี สำนวนที่ผมใช้ก็เรียบง่ายไม่ซับซ้อน แล้วมันเข้าใจยากตรงไหน มันน่าจะทำให้ผู้อ่านเข้าถึงได้ง่ายแล้วนะ”
“ผมเข้าใจนะและผมก็รู้ว่านิยายที่คุณต้องการเขียนน่ะ เป็นเรื่องแนวไหน ขอบอกตรง ๆ นะ เรื่องธีมนี้ขายไม่ออกหรอก คอนแซ็ปที่คุณใช้มันอ่อนเกินไป มันไม่สมจริง” ผู้อ่านก็ตอบกลับอย่างจริงจัง
(ใช่แล้ว มันไม่สมจริง) ไอคิดและกอดอก จากนั้นก็พยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย
ในขณะนั้นพนักงานก็เดินเข้ามาเติมกาแฟเพิ่มโดยใช้สองมือถือถาดอาหารซึ่งเตรียมไว้เพื่อเสิร์ฟลูกค้า เธอเป็นพนักงานหญิงวัยรุ่นที่น่ารักซึ่งเข้ากับกระโปรงสั้นเป็นอย่างดี
(ขาขาว ๆ ของเธอเรียวยาวเข้ารูป เรียวขาแบบนี้ ไอให้เต็ม) ทำให้ต้องคิดแบบนี้ออกมา
“...”
(เฮ้ย อย่าเข้าใจผิดนะ ไอไม่ได้มองเรียวขาของเธอ ถึงมันจะน่าดูก็เถอะ) จากนั้นก็พยายามแก้ต่าง เพราะสิ่งที่ไอมองน่ะ มันคือเหยือกกาแฟซึ่งมีกาแฟอยู่เกือบเต็มที่ลอยตามเธอมาต่างหากล่ะ
เธอไม่ได้ถือเหยือกกาแฟมาด้วยมือ ทว่ามันกลับลอยตามเธอมาอย่างนุ่มนวล จากนั้นมันก็เติมกาแฟในถ้วยของผู้อ่านอย่างเที่ยงตรงแม่นยำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นถือมันอยู่
นี่ล่ะ มันคือคอมมอนเซนส์
นี่แหละที่เป็นความปกติและเป็นเรื่องธรรมดา