นิยายแฟนตาซีแนวซีเรียส TOO MUCH PASSION ความอยากที่มากเกินไป [บทที่ 1 นักเขียนที่เคยเป็นนักผจญภัย] part 1 ปรับปรุงใหม่

บทที่ 1 นักเขียนที่เคยเป็นนักผจญภัย

            ดวงดาวส่องแสงกะพริบกระจ่างเต็มฟ้า เมื่อไม่มีเมฆมาบดบังแสงดาว มันส่งผลให้ท้องฟ้าค่ำคืนนี้ไม่มืดมากนัก อีกทั้งยังช่างสวยงามจับตา บวกกับแสงของดวงจันทร์เต็มดวงซึ่งส่องแสงเรืองรอง ทำให้สามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบ ๆ ได้เป็นอย่างดี
            ทว่าก็สมแล้วล่ะ ที่เป็นถนนเมนของเจนเนอร์รัลซิตี้ เพราะผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์เดินจับจ่ายใช้สอยกันอย่างเนืองแน่น ทั้งเอลฟ์ ทั้งคนแคระ ทั้งมนุษย์สัตว์และอีกทั้งเผ่าพันธุ์อะไรก็แล้วแต่ที่สามารถจินตนาการได้ คุณจะได้พบกับพวกเขาที่นี่
            จากนั้นเสียงพูดคุยและเสียงเรียกลูกค้าก็ได้ยินเข้าหูของฉัน หมอกควันสีขาวที่ออกจากรูจมูกแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของฤดูหนาวได้อย่างชัดเจน ตอนนี้ฉันได้เดินเตร็ดเตร่ไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน ทั้งจังหวะและท่าทางการเดินที่สบาย ๆ ซึ่งดูราวกับต้องการเสพสุขกับบรรยากาศตอนนี้ตลอดไป
            “...” เพียงแต่ว่ามันผิดกับความเป็นจริงที่มีไฟสุมอยู่ในอกซึ่งส่งผลให้ฉันคับข้องใจเป็นอย่างมาก
            (ชิ คิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เราก็ได้แต่ต้องก้าวเดินต่อไป) ฉันคิดในใจ
            “...” ทว่าในขณะนั้นก็นึกย้อนกลับไปถึงตัวเองในอดีต
            ก็ฉันเคยเป็นนักผจญภัยที่มีชื่อเสียง เชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องเคยได้ยินชื่อของฉันเป็นแน่ เพราะเป็นนักผจญภัยมานานเป็นเวลาถึง 37 ปีนี่
            ชื่อของมอเร่ ชามหรือไวด์แฮนด์ นักผจญภัยที่เชี่ยวชาญในด้านโบราณสถานและอารายธรรมเก่าแก่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ... แบบว่า นักผจญภัยระดับ A พิเศษ มันมีอยู่ไม่กี่คนหรอก
            แน่นอน รวมถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาด้วย ไม่ได้หลงตนเองนะ ด้วยความที่เป็นฮาล์ฟเอลฟ์ซึ่งหล่อเหลาและสูง 185 เซนติเมตร แบบว่า สูงยาวเข่าดีน่ะ รวมทั้งยังมีผมสีดำ พร้อมกับยังมีตา 2 สีซึ่งข้างซ้ายเป็นสีดำ ส่วนข้างขวาเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ มันทำให้ต่างแตกไปจากชาวบ้านทีเดียว
            ทว่าคุณอาจจะบอกว่ามันก็สีเดียวกันนั้นแหละ แต่ฉันขอยืนยันนะว่ามันเป็นสองสีอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะพูดว่ายังไงก็ช่าง เพราะสองสีน่ะ มันเท่จะตายไป ฮา ๆ
“...”
            (มอเร่ นายโตแล้วนะ เลิกคิดเรื่องแบบนี้ได้แล้ว อายเขา) ทำให้ต้องคิดแบบนี้ พร้อมทั้งต้องส่ายหน้าไปมาเลยล่ะ
            ส่วนร่างกายของฉันแข็งแรงกำยำ หุ่นดีน่ะ ซึ่งแตกต่างกับเอลฟ์และฮาล์ฟเอลฟ์โดยทั่วไปที่มีลักษณะที่ผอมเพรียว แน่นอนไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก เพราะฉันมีปมด้อยเกี่ยวกับใบหูซึ่งมีลักษณะที่โค้งมน มันเหมือนกับใบหูของมนุษย์เลย ทำให้เวลามองไปที่กระจกยังแยกไม่ออกและรู้สึกสับสนว่าตัวเองอยู่เผ่าพันธุ์ไหนกันแน่
            ขนาดพ่อแม่ของฉันยังงงเลย
            ดังนั้นในอดีตฉันต้องใส่ใบหูปลอมที่เรียวแหลมเพื่อเลียนแบบให้สมกับเป็นฮาล์ฟเอลฟ์ หนีปัญหาน่ะ แต่ทว่าตอนนี้ไม่แล้ว เพราะฉันคิดได้จึงไม่ได้ใส่มันอีก ทำให้รูปลักษณ์ของฉันเลยดูเหมือนกับมนุษย์ชายวัยรุ่นที่อายุประมาณ 20 ปีไปเลย
            (น่าตลกใช่ไหมล่ะ) จากนั้นก็คิดอย่างช่วยไม่ได้
เพราะเมื่อกลับไปเป็นตัวเองโดยที่เปลี่ยนเป็นตัวของฉันจริง ๆ แต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับจำฉันไม่ได้ซะงั้น ทำให้งงมากจนเดินไม่เป็นไปเลยล่ะ ขนาดในหมู่เพื่อนสนิทและคนที่รู้จักก็มีแค่ไม่กี่คนที่สามารถจำฉันได้ มันเลยส่งผลให้น่าประหลาดใจอยู่เหมือนกัน  
            (แค่ใบหูเปลี่ยนไปเล็กน้อยก็จำกันไม่ได้ซะแล้ว เจริญกันจริง ๆ)
            พอกันทีกับเรื่องในอดีต ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นนักผจญภัยอีกแล้ว เมื่อเรื่องนั้นเกิดขึ้นก็หันมาเป็นนักเขียนแทน ถ้าคุณถามถึงนิยายแนวไหนที่เขียนล่ะก็ วิทยาศาสตร์คือคำตอบของฉัน
            (ไม่ได้ยอนะ ฉันเป็นนักเขียนแนววิทยาศาสตร์ซึ่งโด่งดังพอสมควร) ทำให้อดชื่นชมตัวเองไม่ได้
            เมื่อสองปีก่อนพอเลิกเป็นนักผจญภัย ฉันก็เริ่มเขียนนิยายเรื่องแรกโดยเอาความรู้และประสบการณ์ซึ่งได้จากโบราณสถานที่สำรวจมาผูกเข้าด้วยกัน ทว่ากลับไม่คิดเลยว่านิยายเรื่องแรกจะได้ตีพิมพ์และโด่งดังขึ้นมา มันทำให้อยากเขียนเรื่องต่อไป ทั้งยังรู้สึกดีใจที่ผู้คนยอมรับเรื่องราวของฉัน
            คนแคระสิงห์นักปั่นเป็นนิยายเรื่องแรกที่ฉันเขียนออกมาโดยใช้เพื่อนสนิทของฉันเป็นคาแรคเตอร์ตัวเอก แน่นอน ฉันไม่ได้ขอเขาหรอกซึ่งทำให้เขาจะหัวเสียพอดู ถึงกับจะตัดเพื่อนกันเลย เมื่อตอนรู้ก็เถอะ
            หึ ๆ จากนั้นฉันก็ยิ้มทันที เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อตอนนั้น
            พอล่ะ เรากลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า
            ตอนนี้ฉันกำลังประสบปัญหาร้ายแรงเพราะนิยายเรื่องต่อไปที่กำลังเขียนอยู่ไม่เป็นที่ยอมรับ ทั้งที่ฉันว่ามันก็ดีแล้วนะ แต่คุณเจมส์ แบล็คซึ่งเป็นคนของสำนักพิมพ์คนใหม่ที่เข้ามาดูแลนิยายไม่ชอบแนวคิดและเรื่องราวของฉันเลย
            (เพราะอะไรนะ เขาปฏิเสธเรื่องราวของฉันมาหลายครั้งแล้ว อย่างในครั้งนี้ เขายังอ่านต้นฉบับไปไม่ถึง 30 นาทีเลยก็ปฏิเสธฉันทันที ทั้งที่ผู้ดูแลคนก่อนออกจะใจดีแท้ ๆ) ทำให้ต้องคิดในใจ
            ดูซิ เขาทำให้ฉันเป็นนักเขียนที่แย่มากซึ่งปล่อยให้ผู้อ่านต้องรอ
            ขอพูดตรง ๆ นะ ฉันไม่ชอบเขาเลย นี่ไม่เกี่ยวกับที่เขาปฏิเสธนิยายของฉันนะ เพราะทั้งบุคลิก การพูดและรูปร่างหน้าตาที่หล่อเกินไปของเขาไม่สบอารมณ์ของฉันเลยตั้งแต่ที่พบกันเป็นครั้งแรก มันเหมือนกับว่าเขาวางตัวอยู่เหนือกว่าผู้อื่นตลอดเวลา อีโก้สูง?
            ถ้าจะพูดถึงเจมส์ แบล็ค บรรณาธิการของสำนักพิมพ์เกรทพับลิคแล้วล่ะก็เป็นที่รู้จักกันพอสมควร เขาเป็นไฮเอลฟ์ที่ดูภูมิฐานซึ่งสูง 192 เซนติเมตร มีผมเป็นสีเงินและมีดวงตาเป็นสีทอง เจมส์มีความเป็นเอลฟ์ทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งหน้าตาอันหล่อเหลา น้ำเสียงที่ลุ่มลึก รูปร่างที่ผอมเพรียวและที่สำคัญเขาแข็งแกร่งมาก ฉันรู้สึกได้จากประสบการณ์ของฉัน
            แต่ว่านะ พอเอาทุกอย่างมารวมเข้าด้วยกัน มันเหมือนจะดี แต่สำหรับเขาแล้ว มันออกจะแปลก ๆ ไปสักหน่อย เหมือนกับว่าเขาแสดงออกมาได้ดีจนเกินจริง
            เกินจริงไปมากและมากจนเกินไป นี่เป็นคำจำกัดความที่ฉันตั้งขึ้นมาเพื่อเขา
            (ไม่ได้ อย่าไปพูดถึงเขาแบบนั้น ... พูดตามตรง เขาก็ไม่แย่เกินไปนัก ถ้ารับได้นะ) ฉันคิดในใจ
            เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีพลังเวทมนต์สูงและมักจะทะนงตนว่าอยู่เหนือกว่าเผ่าอื่น ฉันเองที่เป็นฮาล์ฟเอลฟ์ยังภูมิใจในตัวเองเลย ในขณะที่เจมส์เป็นไฮเอลฟ์ซึ่งหาได้ยาก ทั้งยังมีพลังเวทย์สูงกว่าเอลฟ์โดยทั่วไป ทว่าเขาก็ไม่ได้เพอร์เฟคซะทีเดียว
            เพราะเจมส์ชอบดื่มกาแฟมาก ไม่ซิ ต้องพูดว่าเขาเสพติดกาแฟอย่างรุนแรงเลยล่ะ
            (ก็ดูซิ ในช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งชั่งโมงที่อ่านเรื่องของฉัน เขาก็ได้ดื่มกาแฟดำไปแล้ว 6 ถ้วย เออ 6 ถ้วยเลยนะ ไม่-เมล็ดกาแฟแล้วกรอกน้ำตามไปเลยล่ะ ถ้าอยากได้เข้มถึงขนาดนั้น)
            ที่คิดย้ำเพราะฉันต้องการเน้นจริง ๆ ก็เขาเรียกพนักงานมาเติมกาแฟหลายครั้งจนพนักงานในร้านส่งสายตาแปลก ๆ มาที่พวกเรา มันช่างเป็นสายตาที่เจ็บปวดจริง ๆ
            “...”
            ในขณะนี้ฉันได้ก้มไปดูเวลาที่นาฬิกาเวทย์ที่ข้อมือ จากนั้นก็พบว่าเพิ่งจะทุ่มเศษ ๆ เอง ก็ใครจะไปคิดว่าการพบกันครั้งนี้จะจบลงเร็วขนาดนั้น
(นี่เป็นการนัดพบกันที่สั้นที่สุดในรอบปีนี้เลยนะ) จนต้องคิดในใจ
            “โครก ๆ” จากนั้นอยู่ ๆ เสียงท้องร้องก็ดังขึ้นมา
            “...” ทำให้ฉันอายโดยที่หน้าไม่แดง แต่ก็กลัวคนอื่นจะได้ยินอยู่ดี จึงต้องมองซ้ายมองขวาเพื่อยืนยัน
            (เซฟ ... รู้อย่างนี้น่าจะกินอาหารเย็นที่ร้านกาแฟเมื่อกี้ อาหารร้านนั้นอร่อยทีเดียว) ฉันคิดในใจ
            พร้อมกับมองดูไปรอบ ๆ เพื่อหาเป้าหมายที่ต้องการ เพราะนี่เป็นถนนเมนนะ มีทุกอย่างที่เราต้องการอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็น่าจะมีอาหารที่อยากทาน
            (อะ เจอแล้ว) จากนั้นฉันก็มองไปที่ร้านตรงหัวมุมทางขวามือ ซาลาเปาไส้ธัญพืชของร้านนี้เป็นหนึ่งในของชอบของฉันเลยทีเดียว
            “ลุง เอาเหมือนเดิม 5 ลูก”
            “ไม่เจอกันตั้งนาน มาทำอะไรแถวนี้ล่ะ”
            “มาธุระแถวนี้ก็เลยมาอุดหนุนนะ ซื้อมาตั้งหลายปี แต่แถมให้บ้างซิ”
            จากนั้นฉันก็ยื่นมือไปรับถุงกระดาษซึ่งใส่ซาลาเปามา แน่นอน ต้องล้วงมือเข้าไปหยิบและกินมันทันที
            (ชิ ไม่แถมให้เลยนะ งกจริง ๆ) ฉันคิดในใจ ซาลาเปาร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องแป้งที่หนานุ่ม ถึงไม่ร้อนก็นุ่ม สักวันฉันต้องรู้ความลับของซาลาเปาร้านนี้ให้ได้
            “อร่อยเหมือนเดิมนะ”
            “แน่นอนอยู่แล้ว ร้านของฉันมีการควบคุมมาตรฐานการผลิต ถ้าจะชม ต้องพูดว่าอร่อยขึ้นซิ”
            “ฮา ๆ ได้ อร่อยขึ้นนะ แถมให้ด้วยซิ เป็นค่าคำชมไง”
            “...”
            จากนั้นฉันก็เปลี่ยนเรื่องจึงได้พูดต่อว่า
            “ไม่ได้มาที่ถนนเมนหลายเดือนแล้ว แถวนี้มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นบ้างล่ะ”
            “น่าสนใจ? เหมือนเดิม แถวนี้อะไรก็เหมือนเดิม ฉันก็เซ็งเหมือนกัน ยังดีที่การค้าไปได้ดี”
            ทว่าลุงร้านซาลาเปาก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรบ้างอย่างได้ จากนั้นก็พูดต่อว่า
            “ใช่ ๆ ช่วงนี้น่ะ แถวนี้การลักขโมยดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นนะ โดยเฉพาะการล้วงกระเป๋า อะไร ทำหน้าไม่เชื่อ ไม่ใช่การล้วงกระเป๋าธรรมดานะ หึ ๆ เงินหายอย่างเดียว กระเป๋ายังอยู่ดีและไม่มีอะไรเสียหายเลย แต่เงินหายไป เงินเท่านั้นที่หาย”
            “ไม่เชื่อหรอก เรื่องแบบนี้น่ะ ... อาจจะจำผิดหรือลืมหยิบเงินใส่กระเป๋าสตางค์มาก็ได้”
            “ไม่หรอก ไม่ใช่เลย ที่พูดได้เพราะโดนมากับตัวเองน่ะ ตอนนั้นฉันเพิ่งไปกดเงินมา พอกลับถึงบ้าน เงินก็หายไปแล้วรวมทั้งเงินทั้งหมดในกระเป๋าด้วย ฉันไปแจ้งความ ตำรวจก็ไม่เชื่อหาว่าฉันโกหกแถมยังจะจับข้อหาแจ้งความเท็จอีกต่างหาก”
            “ฮา ๆ ลุงตกข่าวแล้วนะเนี่ย ตำรวจจับลุงไม่ได้หรอก ถ้าลุงพูดความจริงน่ะ เดี๋ยวนี้ตำรวจเขามีเวทย์จับเท็จกันแล้ว”
            “เออ ... เอาล่ะ พอกันแค่นี้นะ ลุงจะขายของต่อแล้ว เอ็งระวังด้วยก็ล่ะกัน เขาโดนกันมาหลายคนแล้ว” ลุงได้พูดขึ้นทันที เมื่อเห็นลูกค้ารายใหม่เข้ามา
            เวทย์จับเท็จ เฮ้อ เวทมนต์อีกแล้ว ฉันยอมรับนะว่าในโลกใบนี้อะไรก็เวทมนต์ ถ้ามีคนถามฉันว่าอะไรคือนวัตกรรมที่มีค่าที่สุดเท่าที่คนเราเคยสร้างขึ้นมา ทุกคนก็จะตอบว่าเวทมนต์อย่างไม่ต้องสงสัย ขณะฉันยังตอบเหมือนกันเลย เวทมนต์ เฮ้อ ทำให้ต้องถอนหายใจอีกครั้ง
            (วันนี้ถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้วนะ) ฉันคิดในใจ
            เวทมนต์เป็นปัจจัยสารพัดประโยชน์ ... มันเกือบจะอุดมคติเลยล่ะ เพราะมันทั้งสะดวกและทำได้เกือบทุกอย่างแถมยังราคาถูกอีกด้วย
            ราคา ฉันไม่ได้พูดถึงเงินนะ
            ราคาที่ฉันพูดถึงเนี่ย มันคือแหล่งที่มาของเวทมนต์ต่างหาก เหมือนของฟรี เครื่องอำนวยความสะดวกทั้งหลายแหล่ก็ใช้มันทั้งนั้น
            ในโรงเรียนประถมทุกคนจะถูกสอนว่าในร่างกายมีพลังงานอย่างหนึ่งที่มีชื่อว่าพลังเวทย์หรือมานา เราทุกคนมีมันอยู่ในร่างกาย บางคนมีมาก บางคนก็มีน้อยและที่สำคัญที่สุดนะ ในอากาศยังมีเลย ดังนั้นเราฝึกฝนและใช้พลังงานนี้ในการขับเคลื่อนร่างกายรวมทั้งทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ เวทมนต์ก็ทำงานได้โดยอาศัยมันเช่นกัน
            (พวกเราทุกคนสามารถใช้เวทมนต์ได้ ไม่ซิ พวกเราส่วนใหญ่สามารถใช้เวทมนต์ได้) ฉันคิดในใจ ขณะที่หยิบซาลาเปาลูกที่สองเข้าปากและเดินออกจากร้านไป
            การเดินเล่นฆ่าเวลาแบบไร้จุดหมายเป็นสิ่งที่ไร้สาระสิ้นดี แต่ก่อนก็คงคิดแบบนั้น ทว่าในตอนนี้ฉันว่ามันก็ไม่เลวทีเดียว จากนั้นฉันก็เดินไปเรื่อย ๆ ขณะกินซาลาเปาไปด้วย พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศที่พลุ่งพล่านโดยเดินจากถนนเมนผ่านยูเนี่ยนสแควร์แล้วเลี้ยวซ้ายผ่านถนนเล็ก ๆ อีกสองถนน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่