ตอนที่แล้ว บทนำ
https://ppantip.com/topic/37936252
บทที่ 1 นักเขียนที่เคยเป็นนักผจญภัย
ดวงดาวส่องแสงกะพริบกระจ่างเต็มฟ้า เมื่อไม่มีเมฆมาบดบังแสงดาว ส่งผลให้ท้องฟ้าค่ำคืนนี้ไม่มืดมากนัก มันช่างสวยงามจับตา บวกกับแสงของดวงจันทร์เต็มดวงซึ่งส่องแสงเรืองรอง ทำให้สามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบ ๆ ได้เป็นอย่างดี สมแล้วที่เป็นถนนเมนของเจนเนอร์รัลซิตี้ ผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์เดินจับจ่ายใช้สอยกันอย่างเนืองแน่น ทั้งเอลฟ์ ทั้งคนแคระ ทั้งมนุษย์สัตว์และอีกทั้งเผ่าพันธุ์อะไรก็แล้วแต่ที่สามารถจินตนาการได้ คุณจะได้พบกับพวกเขาที่นี่
เสียงพูดคุยและเสียงเรียกลูกค้าได้ยินเข้าหูของฉัน หมอกควันสีขาวที่ออกจากรูจมูกแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของฤดูหนาวได้อย่างชัดเจน ฉันเดินเตร็ดเตร่ไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน จังหวะและท่าทางการเดินที่สบาย ๆ ราวกับต้องการเสพสุขกับบรรยากาศตอนนี้ตลอดไป ... เพียงแต่ว่ามันผิดกับความเป็นจริงที่มีไฟสุมอยู่ในอก มันส่งผลให้ฉันคับข้องใจเป็นอย่างมาก ชิ คิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เราก็ได้แต่ต้องก้าวเดินต่อไป
ขณะนั้นก็นึกย้อนกลับไปถึงตัวเองในอดีต ฉันเคยเป็นนักผจญภัยที่มีชื่อเสียง เชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องเคยได้ยินชื่อของฉันแน่ ก็เป็นนักผจญภัยมานานเป็นเวลาถึง 37 ปีนี่ ชื่อของมอเร่ ชามหรือไวด์แฮนด์ นักผจญภัยที่เชี่ยวชาญในด้านโบราณสถานและอารายธรรมเก่าแก่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ... แบบว่า นักผจญภัยระดับ A พิเศษ มันมีอยู่ไม่กี่คนหรอก แน่นอน รวมถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาด้วย ไม่ได้หลงตนเองนะ
ฉันป็นฮาล์ฟเอลฟ์ที่หล่อเหลาซึ่งสูง 185 เซนติเมตร มีผมสีดำและมีตา 2 สีซึ่งข้างซ้ายเป็นสีดำ ส่วนข้างขวาเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ คุณอาจจะบอกว่ามันก็สีเดียวกันนั้นแหละ แต่ฉันขอยืนยันนะว่ามันเป็นสองสีอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะพูดว่ายังไงก็ช่าง ก็สองสีน่ะ มันเท่จะตายไป ฮา ๆ ... มอเร่ นายโตแล้วนะ เลิกคิดเรื่องแบบนี้ได้แล้ว อายเขา
ส่วนร่างกายของฉันแข็งแรงกำยำ แตกต่างกับเอลฟ์และฮาล์ฟเอลฟ์โดยทั่วไปซึ่งจะมีลักษณะที่ผอมเพรียว แน่นอนไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก ฉันมีปมด้อยเกี่ยวกับใบหู หูของฉันโค้งมนเหมือนกับใบหูของมนุษย์เลย เวลาที่มองกระจกยังแยกไม่ออกและรู้สึกสับสนว่าตัวเองอยู่เผ่าพันธุ์ไหนกันแน่ พ่อแม่ของฉันยังงงเลย
ในอดีตฉันต้องใส่ใบหูปลอมที่เรียวแหลมเพื่อเลียนแบบให้สมกับเป็นฮาล์ฟเอลฟ์ หนีปัญหานะ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ฉันไม่ได้ใส่มันอีกแล้ว รูปลักษณ์ของฉันเลยดูเหมือนกับมนุษย์ชายวัยรุ่นที่อายุประมาณ 20 ปีไปเลย
น่าตลกใช่ไหมล่ะ พอกลับไปเป็นตัวเอง เป็นตัวของฉันจริง ๆ ผู้คนส่วนใหญ่กลับจำฉันไม่ได้ซะงั้น ขนาดในหมู่เพื่อนสนิทและคนที่รู้จักก็มีไม่กี่คนที่สามารถจำฉันได้ มันน่าประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ... แค่ใบหูเปลี่ยนไปเล็กน้อยก็จำกันไม่ได้ซะแล้ว
พอกันทีกับเรื่องในอดีต ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นนักผจญภัยอีกแล้ว พอเรื่องนั้นเกิดขึ้นก็หันมาเป็นนักเขียนแทน ถ้าคุณถามถึงนิยายแนวไหนที่เขียนล่ะก็ วิทยาศาสตร์คือคำตอบของฉัน
ไม่ได้ยอนะ ฉันเป็นนักเขียนแนววิทยาศาสตร์ซึ่งโด่งดังพอสมควร เมื่อสองปีก่อนพอเลิกเป็นนักผจญภัย ฉันก็เริ่มเขียนนิยายเรื่องแรกโดยเอาความรู้และประสบการณ์ซึ่งได้จากโบราณสถานที่สำรวจมาผูกเข้าด้วยกัน ไม่คิดเลยว่านิยายเรื่องแรกจะได้ตีพิมพ์และโด่งดังขึ้นมา มันทำให้อยากเขียนเรื่องต่อไป รู้สึกดีใจที่ผู้คนยอมรับเรื่องราวของฉัน
คนแคระสิงห์นักปั่นเป็นนิยายเรื่องแรกที่ฉันเขียนออกมาโดยใช้เพื่อนสนิทของฉันเป็นคาแรคเตอร์ตัวเอก แน่นอน ฉันไม่ได้ขอเขาหรอก ทำให้เขาจะหัวเสียพอดู ถึงกับจะตัดเพื่อนกันเลย เมื่อตอนรู้ก็เถอะ หึ ๆ ฉันยิ้ม เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อตอนนั้น พอล่ะ เรากลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า
ตอนนี้ฉันกำลังประสบปัญหาร้ายแรงเพราะนิยายเรื่องต่อไปที่กำลังเขียนอยู่ไม่เป็นที่ยอมรับ ทั้งที่ฉันว่ามันก็ดีแล้วนะ แต่คุณเจมส์ แบล็คซึ่งเป็นคนของสำนักพิมพ์คนใหม่ที่เข้ามาดูแลนิยายไม่ชอบแนวคิดและเรื่องราวของฉันเลย เพราะอะไรนะ เขาปฏิเสธเรื่องราวของฉันมาหลายครั้งแล้ว อย่างในครั้งนี้ เขายังอ่านต้นฉบับไปไม่ถึง 30 นาทีเลยก็ปฏิเสธฉันทันที ทั้งที่ผู้ดูแลคนก่อนออกจะใจดีแท้ ๆ
ดูซิ เขาทำให้ฉันเป็นนักเขียนที่แย่มากซึ่งปล่อยให้ผู้อ่านต้องรอ
ขอพูดตรง ๆ นะ ฉันไม่ชอบเขาเลย นี่ไม่เกี่ยวกับที่เขาปฏิเสธนิยายของฉันนะ ทั้งบุคลิก การพูดและรูปร่างหน้าตาที่หล่อเกินไปของเขาไม่สบอารมณ์ของฉันเลยตั้งแต่ที่พบกันเป็นครั้งแรก มันเหมือนกับว่าเขาวางตัวอยู่เหนือกว่าผู้อื่นตลอดเวลา อีโก้สูง?
ถ้าจะพูดถึงเจมส์ แบล็ค บรรณาธิการของสำนักพิมพ์เกรทพับลิคแล้วล่ะก็เป็นที่รู้จักกันพอสมควร เขาเป็นไฮเอลฟ์ที่ดูภูมิฐานซึ่งสูง 192 เซนติเมตร มีผมเป็นสีเงิน ดวงตาเป็นสีทอง เจมส์มีความเป็นเอลฟ์ทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งหน้าตาอันหล่อเหลา น้ำเสียงที่ลุ่มลึก รูปร่างที่ผอมเพรียวและที่สำคัญเขาแข็งแกร่งมาก ฉันรู้สึกได้จากประสบการณ์ของฉัน
แต่ว่านะ พอเอาทุกอย่างมารวมเข้าด้วยกัน มันเหมือนจะดี แต่สำหรับเขาแล้ว มันออกจะแปลก ๆ ไปสักหน่อย เหมือนกับว่าเขาแสดงออกมาได้ดีจนเกินจริง เกินจริงไปมากและมากจนเกินไป นี่เป็นคำจำกัดความที่ฉันตั้งขึ้นมาเพื่อเขา ไม่ได้ อย่าไปพูดถึงเขาแบบนั้น ... พูดตามตรง เขาก็ไม่แย่เกินไปนัก ถ้ารับได้นะ
เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีพลังเวทมนต์สูงและมักจะทะนงตนว่าอยู่เหนือกว่าเผ่าอื่น ฉันเองที่เป็นฮาล์ฟเอลฟ์ยังภูมิใจในตัวเองเลย ในขณะที่เจมส์เป็นไฮเอลฟ์ซึ่งหาได้ยากและมีพลังเวทย์สูงกว่าเอลฟ์โดยทั่วไป แต่เขาก็ไม่ได้เพอร์เฟคซะทีเดียว เจมส์ชอบดื่มกาแฟมาก ไม่ซิ ต้องพูดว่าเขาเสพติดกาแฟอย่างรุนแรงเลยล่ะ
ก็ดูซิ ในช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งชั่งโมงที่อ่านเรื่องของฉัน เขาก็ดื่มกาแฟดำไปแล้ว 6 ถ้วย เออ 6 ถ้วยเลยนะ ไม่-เมล็ดกาแฟแล้วกรอกน้ำตามไปเลยละ ถ้าอยากได้เข้มถึงขนาดนั้น ... ที่คิดย้ำเพราะฉันต้องการเน้นจริง ๆ ก็เขาเรียกพนักงานมาเติมกาแฟหลายครั้ง จนพนักงานในร้านส่งสายตาแปลก ๆ มาที่พวกเรา มันช่างเป็นสายตาที่เจ็บปวดจริง ๆ
ตอนนี้ฉันก้มดูไปที่นาฬิกาเวทย์ที่ข้อมือเพื่อให้รู้เวลา อา เพิ่งจะทุ่มเศษ ๆ เอง ใครจะไปคิดว่าการพบกันครั้งนี้จะจบลงเร็วขนาดนั้น
(นี่เป็นการนัดพบกันที่สั้นที่สุดในรอบปีนี้เลยนะ) ฉันคิดในใจ
“โครก ๆ” อยู่ ๆ เสียงท้องร้องก็ดังขึ้นมา
“...” ทำให้ฉันอายโดยที่หน้าไม่แดง แต่ก็กลัวคนอื่นจะได้ยินอยู่ดีจนต้องมองซ้ายมองขวาเพื่อยืนยัน เซฟ รู้อย่างนี้น่าจะกินอาหารเย็นที่ร้านกาแฟเมื่อกี้ อาหารร้านนั้นอร่อยทีเดียว
จากนั้นก็มองดูรอบ ๆ เพื่อหาเป้าหมายที่ต้องการ นี่เป็นถนนเมนนะ มีทุกอย่างที่เราต้องการอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็น่าจะมีอาหารที่อยากทาน อะ เจอแล้ว ฉันมองไปที่ร้านตรงหัวมุมทางขวามือ ซาลาเปาไส้ธัญพืชของร้านนี้เป็นหนึ่งในของชอบของฉัน
“ลุง เอาเหมือนเดิม 5 ลูก”
“ไม่เจอกันตั้งนาน มาทำอะไรแถวนี้ล่ะ”
“มาธุระแถวนี้ก็เลยมาอุดหนุนนะ ซื้อมาตั้งหลายปี แถมให้บ้างซิ”
จากนั้นฉันก็ยื่นมือไปรับถุงกระดาษซึ่งใส่ซาลาเปามา แน่นอน ต้องล้วงมือเข้าไปหยิบและกินมันทันที ชิ ไม่แถมให้เลยนะ งกจริง ๆ ซาลาเปาร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องแป้งที่หนานุ่ม ถึงไม่ร้อนก็นุ่ม สักวันฉันต้องรู้ความลับของซาลาเปาร้านนี้ให้ได้
“อร่อยเหมือนเดิมนะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ร้านของฉันมีการควบคุมมาตรฐานการผลิต ถ้าจะชม ต้องพูดว่าอร่อยขึ้นซิ”
“ฮา ๆ ได้ อร่อยขึ้นนะ แถมให้ด้วยซิ เป็นค่าคำชมไง”
“...”
ฉันเปลี่ยนเรื่องและพูดต่อว่า
“ไม่ได้มาที่ถนนเมนหลายเดือนแล้ว แถวนี้มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นบ้างล่ะ”
“น่าสนใจ? เหมือนเดิม แถวนี้อะไรก็เหมือนเดิม ฉันก็เซ็งเหมือนกัน ยังดีที่การค้าไปได้ดี”
จากนั้นลุงร้านซาลาเปาก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรบ้างอย่างได้ แล้วพูดต่อว่า
“ใช่ ๆ ช่วงนี้น่ะ แถวนี้การลักขโมยดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นนะ โดยเฉพาะการล้วงกระเป๋า อะไร ทำหน้าไม่เชื่อ ไม่ใช่การล้วงกระเป๋าธรรมดานะ หึ ๆ เงินหายอย่างเดียว กระเป๋ายังอยู่ดีไม่มีอะไรเสียหายเลยแต่เงินหายไป เงินเท่านั้นที่หาย”
“ไม่เชื่อหรอก เรื่องแบบนี้น่ะ ... อาจจะจำผิดหรือลืมหยิบเงินใส่กระเป๋าสตางค์มาก็ได้”
“ไม่หรอก ไม่ใช่เลย ที่พูดได้เพราะโดนมากับตัวเองน่ะ ตอนนั้นฉันเพิ่งไปกดเงินมา พอกลับถึงบ้าน เงินก็หายไปแล้วรวมทั้งเงินทั้งหมดในกระเป๋าด้วย ฉันไปแจ้งความ ตำรวจก็ไม่เชื่อหาว่าฉันโกหกแถมยังจะจับข้อหาแจ้งความเท็จอีกต่างหาก”
“ฮา ๆ ลุงตกข่าวแล้วนะเนี่ย ตำรวจจับลุงไม่ได้หรอก ถ้าลุงพูดความจริงน่ะ เดี๋ยวนี้ตำรวจเขามีเวทย์จับเท็จกันแล้ว”
“เออ ... เอาล่ะ พอกันแค่นี้นะ ลุงจะขายของต่อแล้ว เอ็งระวังด้วยก็ล่ะกัน เขาโดนกันมาหลายคนแล้ว” ลุงพูดขึ้นทันที เมื่อเห็นลูกค้ารายใหม่เข้ามา
เวทย์จับเท็จ เฮ้อ เวทมนต์อีกแล้ว ฉันยอมรับนะ ในโลกใบนี้อะไรก็เวทมนต์ ถ้ามีคนถามฉันว่าอะไรคือนวัตกรรมที่มีค่าที่สุดเท่าที่คนเราเคยสร้างขึ้นมา ทุกคนก็จะตอบว่าเวทมนต์อย่างไม่ต้องสงสัย ขณะฉันยังตอบเหมือนกันเลย เวทมนต์ เฮ้อ ฉันถอนหายใจอีกครั้ง วันนี้ถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้วนะ
เวทมนต์เป็นปัจจัยสารพัดประโยชน์ ... มันเกือบจะอุดมคติเลยล่ะ มันทั้งสะดวก ทำได้เกือบทุกอย่างแถมยังราคาถูกอีกด้วย ราคา ฉันไม่ได้พูดถึงเงินนะ ราคาที่ฉันพูดถึงเนี่ย มันคือแหล่งที่มาของเวทมนต์ต่างหาก เหมือนของฟรี เครื่องอำนวยความสะดวกทั้งหลายแหล่ก็ใช้มันทั้งนั้น
ในโรงเรียนประถม ทุกคนถูกสอนว่าในร่างกายมีพลังงานอย่างหนึ่งที่มีชื่อว่าพลังเวทย์หรือมานา เราทุกคนมีมันอยู่ในร่างกาย บางคนมีมาก บางคนก็มีน้อย ที่สำคัญที่สุดนะ ในอากาศยังมีเลย เราฝึกฝนและใช้พลังงานนี้ในการขับเคลื่อนร่างกายรวมทั้งทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ เวทมนต์ก็ทำงานได้โดยอาศัยมันเช่นกัน
(พวกเราทุกคนสามารถใช้เวทมนต์ได้ ไม่ซิ พวกเราส่วนใหญ่สามารถใช้เวทมนต์ได้) ฉันคิดในใจ ขณะที่หยิบซาลาเปาลูกที่สองเข้าปากและเดินออกจากร้านไป
นิยายแฟนตาซีแนวซีเรียส TOO MUCH PASSION ความอยากที่มากเกินไป [บทที่ 1 นักเขียนที่เคยเป็นนักผจญภัย] part 1
บทที่ 1 นักเขียนที่เคยเป็นนักผจญภัย
ดวงดาวส่องแสงกะพริบกระจ่างเต็มฟ้า เมื่อไม่มีเมฆมาบดบังแสงดาว ส่งผลให้ท้องฟ้าค่ำคืนนี้ไม่มืดมากนัก มันช่างสวยงามจับตา บวกกับแสงของดวงจันทร์เต็มดวงซึ่งส่องแสงเรืองรอง ทำให้สามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบ ๆ ได้เป็นอย่างดี สมแล้วที่เป็นถนนเมนของเจนเนอร์รัลซิตี้ ผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์เดินจับจ่ายใช้สอยกันอย่างเนืองแน่น ทั้งเอลฟ์ ทั้งคนแคระ ทั้งมนุษย์สัตว์และอีกทั้งเผ่าพันธุ์อะไรก็แล้วแต่ที่สามารถจินตนาการได้ คุณจะได้พบกับพวกเขาที่นี่
เสียงพูดคุยและเสียงเรียกลูกค้าได้ยินเข้าหูของฉัน หมอกควันสีขาวที่ออกจากรูจมูกแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของฤดูหนาวได้อย่างชัดเจน ฉันเดินเตร็ดเตร่ไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน จังหวะและท่าทางการเดินที่สบาย ๆ ราวกับต้องการเสพสุขกับบรรยากาศตอนนี้ตลอดไป ... เพียงแต่ว่ามันผิดกับความเป็นจริงที่มีไฟสุมอยู่ในอก มันส่งผลให้ฉันคับข้องใจเป็นอย่างมาก ชิ คิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เราก็ได้แต่ต้องก้าวเดินต่อไป
ขณะนั้นก็นึกย้อนกลับไปถึงตัวเองในอดีต ฉันเคยเป็นนักผจญภัยที่มีชื่อเสียง เชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องเคยได้ยินชื่อของฉันแน่ ก็เป็นนักผจญภัยมานานเป็นเวลาถึง 37 ปีนี่ ชื่อของมอเร่ ชามหรือไวด์แฮนด์ นักผจญภัยที่เชี่ยวชาญในด้านโบราณสถานและอารายธรรมเก่าแก่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ... แบบว่า นักผจญภัยระดับ A พิเศษ มันมีอยู่ไม่กี่คนหรอก แน่นอน รวมถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาด้วย ไม่ได้หลงตนเองนะ
ฉันป็นฮาล์ฟเอลฟ์ที่หล่อเหลาซึ่งสูง 185 เซนติเมตร มีผมสีดำและมีตา 2 สีซึ่งข้างซ้ายเป็นสีดำ ส่วนข้างขวาเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ คุณอาจจะบอกว่ามันก็สีเดียวกันนั้นแหละ แต่ฉันขอยืนยันนะว่ามันเป็นสองสีอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะพูดว่ายังไงก็ช่าง ก็สองสีน่ะ มันเท่จะตายไป ฮา ๆ ... มอเร่ นายโตแล้วนะ เลิกคิดเรื่องแบบนี้ได้แล้ว อายเขา
ส่วนร่างกายของฉันแข็งแรงกำยำ แตกต่างกับเอลฟ์และฮาล์ฟเอลฟ์โดยทั่วไปซึ่งจะมีลักษณะที่ผอมเพรียว แน่นอนไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก ฉันมีปมด้อยเกี่ยวกับใบหู หูของฉันโค้งมนเหมือนกับใบหูของมนุษย์เลย เวลาที่มองกระจกยังแยกไม่ออกและรู้สึกสับสนว่าตัวเองอยู่เผ่าพันธุ์ไหนกันแน่ พ่อแม่ของฉันยังงงเลย
ในอดีตฉันต้องใส่ใบหูปลอมที่เรียวแหลมเพื่อเลียนแบบให้สมกับเป็นฮาล์ฟเอลฟ์ หนีปัญหานะ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ฉันไม่ได้ใส่มันอีกแล้ว รูปลักษณ์ของฉันเลยดูเหมือนกับมนุษย์ชายวัยรุ่นที่อายุประมาณ 20 ปีไปเลย
น่าตลกใช่ไหมล่ะ พอกลับไปเป็นตัวเอง เป็นตัวของฉันจริง ๆ ผู้คนส่วนใหญ่กลับจำฉันไม่ได้ซะงั้น ขนาดในหมู่เพื่อนสนิทและคนที่รู้จักก็มีไม่กี่คนที่สามารถจำฉันได้ มันน่าประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ... แค่ใบหูเปลี่ยนไปเล็กน้อยก็จำกันไม่ได้ซะแล้ว
พอกันทีกับเรื่องในอดีต ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นนักผจญภัยอีกแล้ว พอเรื่องนั้นเกิดขึ้นก็หันมาเป็นนักเขียนแทน ถ้าคุณถามถึงนิยายแนวไหนที่เขียนล่ะก็ วิทยาศาสตร์คือคำตอบของฉัน
ไม่ได้ยอนะ ฉันเป็นนักเขียนแนววิทยาศาสตร์ซึ่งโด่งดังพอสมควร เมื่อสองปีก่อนพอเลิกเป็นนักผจญภัย ฉันก็เริ่มเขียนนิยายเรื่องแรกโดยเอาความรู้และประสบการณ์ซึ่งได้จากโบราณสถานที่สำรวจมาผูกเข้าด้วยกัน ไม่คิดเลยว่านิยายเรื่องแรกจะได้ตีพิมพ์และโด่งดังขึ้นมา มันทำให้อยากเขียนเรื่องต่อไป รู้สึกดีใจที่ผู้คนยอมรับเรื่องราวของฉัน
คนแคระสิงห์นักปั่นเป็นนิยายเรื่องแรกที่ฉันเขียนออกมาโดยใช้เพื่อนสนิทของฉันเป็นคาแรคเตอร์ตัวเอก แน่นอน ฉันไม่ได้ขอเขาหรอก ทำให้เขาจะหัวเสียพอดู ถึงกับจะตัดเพื่อนกันเลย เมื่อตอนรู้ก็เถอะ หึ ๆ ฉันยิ้ม เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อตอนนั้น พอล่ะ เรากลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า
ตอนนี้ฉันกำลังประสบปัญหาร้ายแรงเพราะนิยายเรื่องต่อไปที่กำลังเขียนอยู่ไม่เป็นที่ยอมรับ ทั้งที่ฉันว่ามันก็ดีแล้วนะ แต่คุณเจมส์ แบล็คซึ่งเป็นคนของสำนักพิมพ์คนใหม่ที่เข้ามาดูแลนิยายไม่ชอบแนวคิดและเรื่องราวของฉันเลย เพราะอะไรนะ เขาปฏิเสธเรื่องราวของฉันมาหลายครั้งแล้ว อย่างในครั้งนี้ เขายังอ่านต้นฉบับไปไม่ถึง 30 นาทีเลยก็ปฏิเสธฉันทันที ทั้งที่ผู้ดูแลคนก่อนออกจะใจดีแท้ ๆ
ดูซิ เขาทำให้ฉันเป็นนักเขียนที่แย่มากซึ่งปล่อยให้ผู้อ่านต้องรอ
ขอพูดตรง ๆ นะ ฉันไม่ชอบเขาเลย นี่ไม่เกี่ยวกับที่เขาปฏิเสธนิยายของฉันนะ ทั้งบุคลิก การพูดและรูปร่างหน้าตาที่หล่อเกินไปของเขาไม่สบอารมณ์ของฉันเลยตั้งแต่ที่พบกันเป็นครั้งแรก มันเหมือนกับว่าเขาวางตัวอยู่เหนือกว่าผู้อื่นตลอดเวลา อีโก้สูง?
ถ้าจะพูดถึงเจมส์ แบล็ค บรรณาธิการของสำนักพิมพ์เกรทพับลิคแล้วล่ะก็เป็นที่รู้จักกันพอสมควร เขาเป็นไฮเอลฟ์ที่ดูภูมิฐานซึ่งสูง 192 เซนติเมตร มีผมเป็นสีเงิน ดวงตาเป็นสีทอง เจมส์มีความเป็นเอลฟ์ทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งหน้าตาอันหล่อเหลา น้ำเสียงที่ลุ่มลึก รูปร่างที่ผอมเพรียวและที่สำคัญเขาแข็งแกร่งมาก ฉันรู้สึกได้จากประสบการณ์ของฉัน
แต่ว่านะ พอเอาทุกอย่างมารวมเข้าด้วยกัน มันเหมือนจะดี แต่สำหรับเขาแล้ว มันออกจะแปลก ๆ ไปสักหน่อย เหมือนกับว่าเขาแสดงออกมาได้ดีจนเกินจริง เกินจริงไปมากและมากจนเกินไป นี่เป็นคำจำกัดความที่ฉันตั้งขึ้นมาเพื่อเขา ไม่ได้ อย่าไปพูดถึงเขาแบบนั้น ... พูดตามตรง เขาก็ไม่แย่เกินไปนัก ถ้ารับได้นะ
เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีพลังเวทมนต์สูงและมักจะทะนงตนว่าอยู่เหนือกว่าเผ่าอื่น ฉันเองที่เป็นฮาล์ฟเอลฟ์ยังภูมิใจในตัวเองเลย ในขณะที่เจมส์เป็นไฮเอลฟ์ซึ่งหาได้ยากและมีพลังเวทย์สูงกว่าเอลฟ์โดยทั่วไป แต่เขาก็ไม่ได้เพอร์เฟคซะทีเดียว เจมส์ชอบดื่มกาแฟมาก ไม่ซิ ต้องพูดว่าเขาเสพติดกาแฟอย่างรุนแรงเลยล่ะ
ก็ดูซิ ในช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งชั่งโมงที่อ่านเรื่องของฉัน เขาก็ดื่มกาแฟดำไปแล้ว 6 ถ้วย เออ 6 ถ้วยเลยนะ ไม่-เมล็ดกาแฟแล้วกรอกน้ำตามไปเลยละ ถ้าอยากได้เข้มถึงขนาดนั้น ... ที่คิดย้ำเพราะฉันต้องการเน้นจริง ๆ ก็เขาเรียกพนักงานมาเติมกาแฟหลายครั้ง จนพนักงานในร้านส่งสายตาแปลก ๆ มาที่พวกเรา มันช่างเป็นสายตาที่เจ็บปวดจริง ๆ
ตอนนี้ฉันก้มดูไปที่นาฬิกาเวทย์ที่ข้อมือเพื่อให้รู้เวลา อา เพิ่งจะทุ่มเศษ ๆ เอง ใครจะไปคิดว่าการพบกันครั้งนี้จะจบลงเร็วขนาดนั้น
(นี่เป็นการนัดพบกันที่สั้นที่สุดในรอบปีนี้เลยนะ) ฉันคิดในใจ
“โครก ๆ” อยู่ ๆ เสียงท้องร้องก็ดังขึ้นมา
“...” ทำให้ฉันอายโดยที่หน้าไม่แดง แต่ก็กลัวคนอื่นจะได้ยินอยู่ดีจนต้องมองซ้ายมองขวาเพื่อยืนยัน เซฟ รู้อย่างนี้น่าจะกินอาหารเย็นที่ร้านกาแฟเมื่อกี้ อาหารร้านนั้นอร่อยทีเดียว
จากนั้นก็มองดูรอบ ๆ เพื่อหาเป้าหมายที่ต้องการ นี่เป็นถนนเมนนะ มีทุกอย่างที่เราต้องการอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็น่าจะมีอาหารที่อยากทาน อะ เจอแล้ว ฉันมองไปที่ร้านตรงหัวมุมทางขวามือ ซาลาเปาไส้ธัญพืชของร้านนี้เป็นหนึ่งในของชอบของฉัน
“ลุง เอาเหมือนเดิม 5 ลูก”
“ไม่เจอกันตั้งนาน มาทำอะไรแถวนี้ล่ะ”
“มาธุระแถวนี้ก็เลยมาอุดหนุนนะ ซื้อมาตั้งหลายปี แถมให้บ้างซิ”
จากนั้นฉันก็ยื่นมือไปรับถุงกระดาษซึ่งใส่ซาลาเปามา แน่นอน ต้องล้วงมือเข้าไปหยิบและกินมันทันที ชิ ไม่แถมให้เลยนะ งกจริง ๆ ซาลาเปาร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องแป้งที่หนานุ่ม ถึงไม่ร้อนก็นุ่ม สักวันฉันต้องรู้ความลับของซาลาเปาร้านนี้ให้ได้
“อร่อยเหมือนเดิมนะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ร้านของฉันมีการควบคุมมาตรฐานการผลิต ถ้าจะชม ต้องพูดว่าอร่อยขึ้นซิ”
“ฮา ๆ ได้ อร่อยขึ้นนะ แถมให้ด้วยซิ เป็นค่าคำชมไง”
“...”
ฉันเปลี่ยนเรื่องและพูดต่อว่า
“ไม่ได้มาที่ถนนเมนหลายเดือนแล้ว แถวนี้มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นบ้างล่ะ”
“น่าสนใจ? เหมือนเดิม แถวนี้อะไรก็เหมือนเดิม ฉันก็เซ็งเหมือนกัน ยังดีที่การค้าไปได้ดี”
จากนั้นลุงร้านซาลาเปาก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรบ้างอย่างได้ แล้วพูดต่อว่า
“ใช่ ๆ ช่วงนี้น่ะ แถวนี้การลักขโมยดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นนะ โดยเฉพาะการล้วงกระเป๋า อะไร ทำหน้าไม่เชื่อ ไม่ใช่การล้วงกระเป๋าธรรมดานะ หึ ๆ เงินหายอย่างเดียว กระเป๋ายังอยู่ดีไม่มีอะไรเสียหายเลยแต่เงินหายไป เงินเท่านั้นที่หาย”
“ไม่เชื่อหรอก เรื่องแบบนี้น่ะ ... อาจจะจำผิดหรือลืมหยิบเงินใส่กระเป๋าสตางค์มาก็ได้”
“ไม่หรอก ไม่ใช่เลย ที่พูดได้เพราะโดนมากับตัวเองน่ะ ตอนนั้นฉันเพิ่งไปกดเงินมา พอกลับถึงบ้าน เงินก็หายไปแล้วรวมทั้งเงินทั้งหมดในกระเป๋าด้วย ฉันไปแจ้งความ ตำรวจก็ไม่เชื่อหาว่าฉันโกหกแถมยังจะจับข้อหาแจ้งความเท็จอีกต่างหาก”
“ฮา ๆ ลุงตกข่าวแล้วนะเนี่ย ตำรวจจับลุงไม่ได้หรอก ถ้าลุงพูดความจริงน่ะ เดี๋ยวนี้ตำรวจเขามีเวทย์จับเท็จกันแล้ว”
“เออ ... เอาล่ะ พอกันแค่นี้นะ ลุงจะขายของต่อแล้ว เอ็งระวังด้วยก็ล่ะกัน เขาโดนกันมาหลายคนแล้ว” ลุงพูดขึ้นทันที เมื่อเห็นลูกค้ารายใหม่เข้ามา
เวทย์จับเท็จ เฮ้อ เวทมนต์อีกแล้ว ฉันยอมรับนะ ในโลกใบนี้อะไรก็เวทมนต์ ถ้ามีคนถามฉันว่าอะไรคือนวัตกรรมที่มีค่าที่สุดเท่าที่คนเราเคยสร้างขึ้นมา ทุกคนก็จะตอบว่าเวทมนต์อย่างไม่ต้องสงสัย ขณะฉันยังตอบเหมือนกันเลย เวทมนต์ เฮ้อ ฉันถอนหายใจอีกครั้ง วันนี้ถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้วนะ
เวทมนต์เป็นปัจจัยสารพัดประโยชน์ ... มันเกือบจะอุดมคติเลยล่ะ มันทั้งสะดวก ทำได้เกือบทุกอย่างแถมยังราคาถูกอีกด้วย ราคา ฉันไม่ได้พูดถึงเงินนะ ราคาที่ฉันพูดถึงเนี่ย มันคือแหล่งที่มาของเวทมนต์ต่างหาก เหมือนของฟรี เครื่องอำนวยความสะดวกทั้งหลายแหล่ก็ใช้มันทั้งนั้น
ในโรงเรียนประถม ทุกคนถูกสอนว่าในร่างกายมีพลังงานอย่างหนึ่งที่มีชื่อว่าพลังเวทย์หรือมานา เราทุกคนมีมันอยู่ในร่างกาย บางคนมีมาก บางคนก็มีน้อย ที่สำคัญที่สุดนะ ในอากาศยังมีเลย เราฝึกฝนและใช้พลังงานนี้ในการขับเคลื่อนร่างกายรวมทั้งทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ เวทมนต์ก็ทำงานได้โดยอาศัยมันเช่นกัน
(พวกเราทุกคนสามารถใช้เวทมนต์ได้ ไม่ซิ พวกเราส่วนใหญ่สามารถใช้เวทมนต์ได้) ฉันคิดในใจ ขณะที่หยิบซาลาเปาลูกที่สองเข้าปากและเดินออกจากร้านไป