สวัสดีครับทุกท่าน คราวนี้ผมเอานิยายอีกเรื่องมาให้อ่านกันครับ ต้องบอกก่อนเลยว่าเรื่องนี้เขียนไว้นานมาก ๆ แล้ว น่าจะเกินสิบปี และมีการตีพิมพ์ในภาคแรกด้วย
แต่ผมคิดว่าหลายคนน่าจะไม่เคยอ่าน ก็เลยเอามาลงถนนนักเขียนให้ทุกคนได้อ่านกันครับ โดยแนวเรื่องของเรื่องนี้เป็นแนวนักเรียนตีกันด้วยศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวครับ เกินกว่าครึ่งเรื่องจะเป็นฉากบู๊แอคชั่นเลยครับ
แล้วก็บางตอนผมจะลงภาพประกอบให้ด้วยครับ แต่ว่าไม่ได้มีทุกตอนนะ
โดยเรื่องนี้จะแบ่งอีเว้นท์ไว้เป็นช่วง ๆ ช่วงแรกจะเป็นบทนักเรียนใหม่ ผู้ดำเนินเรื่องจะเป็นตัวละครที่ชื่อว่าเจครับ
=====================================================================================
ตอนที่ 1 : จักรพรรดิ
ผมชื่อเจ
ชื่อจริง เจตพงษ์ เทพศรี
วันนี้เป็นวันแรกที่ผมย้ายมาที่โรงเรียนใหม่ เนื่องด้วยพ่อของผมเป็นข้าราชการ ท่านได้รับคำสั่งให้ย้ายมาประจำในพื้นที่แถบโรงเรียนนี้ ทำให้ผมซึ่งเป็นลูกคนเดียวต้องย้ายโรงเรียนตามท่านมาด้วย
จากการที่ย้ายมาเรียนในช่วงกลางภาคเรียนที่สอง จึงไม่มีการแนะนำตัวพิเศษใด ๆ กับทางโรงเรียน ผมเลยต้องมาโรงเรียนเหมือนนักเรียนปกติ
โรงเรียนที่ว่านี้มีชื่อว่า โรงเรียนประจิมสวัสดิ์ เป็นโรงเรียนสหศึกษา ซึ่งโรงเรียนนี้ถือว่าไม่เบาทีเดียวสำหรับการเรียนการสอน เพราะศิษย์เก่าของที่นี่หลายคนเอนทรานท์ติด เข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้เป็นประจำทุกปี แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าที่นี่จะไม่มีเรื่องไม่ดีเลย โรงเรียนนี้ก็เหมือนโรงเรียนแห่งอื่น มีการทะเลาะวิวาทต่อยตีกันบ้างเป็นธรรมดา
ซึ่งที่ผมบอกมานี้ ผมเองยังไม่ได้พบเจอกับตัวเอง เพราะวันนี้เป็นวันเรียนวันแรกของผม เรื่องเหล่านั้นผมได้ยินมาจากเพื่อนเก่าที่รู้จักโรงเรียนนี้เท่านั้น
ผมใส่ชุดนักเรียนของโรงเรียนประจิมสวัสดิ์ขึ้นรถเมล์เลย เป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงขาสั้นเหมือนโรงเรียนทั่วไป ต่างกันตรงรอยปักชื่อย่อโรงเรียน “ป.ส.” เท่านั้น ผมเดินไปนั่งตรงที่ว่างตอนกลาง สังเกตดูผู้คนบนรถเมล์
พอมองดูก็พบเห็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผมอยู่บนรถเมล์นี้ด้วยคนหนึ่ง เขานั่งอยู่ทางเบาะด้านหลังไปทางซ้ายสุด น่าจะอายุราว ๆ เดียวกับผมได้ ประมาณ 16 - 17 ปี ผมของเขาหยิกฟูเหมือนโฟรโด้ในหนังเรื่อง “ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง” ต่างกันเพียงผมสั้นกว่าเท่านั้น
ผมยอมรับว่าแอบเหลียวมองเขาอยู่หลายครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเขาสังเกตเห็นผมหรือเปล่า เพราะว่าเขานั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่เกือบตลอด ผมมองอยู่นานจึงได้รู้ว่าหนังสือที่เขาอ่านนั้นมีชื่อว่า “ปริศนาห้องสีเหลือง”
ผมก็ไม่รู้หรอกว่าหนังสือเรื่อง “ปริศนาห้องสีเหลือง” มันเป็นเรื่องอย่างไร เพราะผมไม่เคยอ่านและไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้ แต่ดูจากหน้าปกและองค์ประกอบโดยรวมของหนังสือ ผมว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นนิยายแนวสืบสวน
เรื่องหนังสือผมว่าช่างมันเถอะ ผมไม่สนใจมันหรอก เลยเปลี่ยนมานั่งมองวิวข้างทางที่ยังไม่คุ้นเคยแทน เพื่อสังเกตดูห้างร้านหรือสถานที่อะไรต่าง ๆ ตามริมถนน เผื่อผมจำเป็นต้องมาสถานที่เหล่านั้น
จากที่ผมสังเกตดูสถานที่ข้างทาง จึงเห็นว่าตลอดเส้นทางนี้มีโรงเรียนอยู่อีกแห่งหนึ่งด้วย น่าจะเป็นโรงเรียนอาชีวะ พวกช่างหรือพาณิชย์นี่แหละ แต่จะชื่อโรงเรียนอะไรนั้น ผมเองก็ดูไม่ทันเหมือนกัน
ตลอดการเดินทางของผมตอนนี้ ไม่มีเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผมขึ้นมาบนรถเมล์นี้เลย ซึ่งมันก็เป็นไปได้ เพราะโรงเรียนใหม่กับบ้านของผม แทบจะอยู่คนละทิศกัน ดังนั้น นักเรียนของโรงเรียนประจิมสวัสดิ์จึงมีเพียงนักเรียนที่นั่งอ่านหนังสือที่เบาะด้านหลังกับผมเพียงเท่านั้น
อย่างที่บอก ระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนของผมถือว่าไกลพอสมควรสำหรับเด็กนักเรียนทั่วไป นี่ก็เพราะพ่อของผมไม่สามารถหาโรงเรียนที่ใกล้กว่านี้ได้ จึงจำเป็นต้องเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนประจิมสวัสดิ์ที่ห่างไกลหลายสิบกิโลเมตร
เมื่อนั่งรถนาน ๆ ผมก็เริ่มเบื่อ มิน่าล่ะ นักเรียนที่เบาะหลังจึงต้องอ่านหนังสือ ผมเลยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าที่สะพายมา ยังดีที่ผมพกเครื่องเล่น MP3 มาด้วย จึงหยิบมันออกมา เอาหูฟังเสียบหูฆ่าเวลาไป
เนื้อเพลงและท่วงทำนองเพลงลั่นเข้าโสตประสาทหูของผมไปเรื่อย ๆ ผมทิ้งทุกอย่างรอบข้าง ซาบซึ้งกับเสียงเพลงเพราะ ๆ ที่ออกมาจากอุปกรณ์เล่นเพลงขนาดเล็กชิ้นนี้
แต่แล้วก็มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมต้องหลุดจากภวังค์นั้น
มีกลุ่มนักเรียนโรงเรียนหนึ่งขึ้นมาบนรถเมล์ ส่งเสียงดังโวยวายลั่นมาเลย พวกเขามีด้วยกันสามคน ดูจากชุดที่ใส่อยู่ ทั้งหมดต้องเรียนอยู่โรงเรียนเทคนิกสักแห่งแน่ เพราะทั้งสามคนใส่เสื้อช็อปสีเทาแบบพวกช่างเค้าใส่กัน
ผมเหลือบมองพวกเขาวูบหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองวิวข้างทางตามเดิม ผมเองไม่ใช่พวกชอบมีเรื่องอยู่แล้ว ตัวก็เล็กไม่มีแรงไปสู้กับใคร ๆ เค้าหรอก จึงไม่อยากยุ่งกับพวกมัน
แต่หนึ่งในสามคนนั้นก้าวมาทางผม เขาเดินมาหยุดยืนจ้อง ๆ มอง ๆ ผม ซึ่งผมเองไม่ได้มองตอบ แกล้งทำเป็นดูวิวข้างทางไป
“เด็กโรงเรียนประจิมฯนี่หว่า” มันพูดขึ้นมา
ผมต้องได้ยินมันพูดอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบมันไป แล้วพวกมันที่เหลือก็เดินตรงมาทางผม สมทบกับเพื่อนของมัน
“พวกข้าพูดกับแกอยู่ ได้ยินมั้ย?” หนึ่งในสองที่เข้ามาสมทบพูดขึ้น
“อะ..อะไรเหรอครับ” ผมต้องพูดกับพวกมัน ในใจเริ่มวิตก คิดว่าพวกมันจะมาทำอะไรกับผม
“เอาหัวเข็มขัดของแกมา” มันจ้องหน้า พูดขึ้นอีก ท่าทีของพวกมันทั้งสามดูดุร้ายขึ้น พร้อมทั้งทำท่าทางข่มขู่อีกด้วย
ผมนิ่งเงียบยังไม่ได้ตอบอะไรออกไป ผมมาเรียนวันแรกย่อมไม่อยากเสียอุปกรณ์หรือเครื่องแต่งกายอะไรของตัวเอง แล้วผมก็เพิ่งรู้ว่าหัวเข็มขัดของโรงเรียนมีค่าขนาดพวกมันต้องใช้กำลังแย่งเลย
จะสักกี่บาทเชียว...
“แกจะให้ดี ๆ หรือจะให้ด้วยน้ำตา” มันขู่อีก แต่ผู้คนบนรถเมล์ไม่ทีท่าหรือแสดงอะไรออกมาขัดขวางการกระทำของพวกมันแม้แต่น้อย พวกเขาเงียบเฉยเพียงแค่หันมอง เหมือนกับเคยพบเห็นเหตุการณ์เหล่านี้มาอย่างชาชิน
หนึ่งในสามเด็กช่างยื่นมือคว้าไปที่คอเสื้อของผม กระชากขึ้นมา ผมเลยต้องเงยหน้าจ้องมองมันตรง ๆ
“เอามา!”
เมื่อถึงขนาดนี้ผมก็ต้องยอมมัน อะไรกันเนี่ย! เพิ่งย้ายโรงเรียนมาวันแรกก็เกิดเรื่องขึ้นซะแล้ว ผมเริ่มมีอคติกับโรงเรียนใหม่นี้แล้วล่ะสิ
“ครับ”
ผมตอบไอ้คนที่ดึงคอเสื้อผม มันเลยผละมือจากคอเสื้อ ผมจึงค่อย ๆ ลดมือลงไปถอดเข็มขัดตัวเอง เพื่อมอบให้มัน
แต่ผมกับพวกมันก็ต้องหยุดมือ เพราะรถเมล์หยุดจอดป้าย ผู้คนที่รอรถเริ่มขึ้นมา ทำให้ทั้งสามต้องนิ่งเฉย สงวนท่าทีไว้ก่อน ซึ่งในขณะนั้น ผมแอบหันกลับไปมองนักเรียนหนุ่มผมหยิกที่ก้มอ่านหนังสืออยู่ที่เบาะหลัง ซึ่งเขาในตอนนี้หยุดอ่านหนังสือแล้ว ลุกขึ้นยืนเหมือนจะเดินตรงมาทางผม
เมื่อผู้คนขึ้นรถเมล์มาจนเกือบหมด สามเด็กช่างจึงหันกลับมาขู่ผมต่อ ผมค่อย ๆ ปลดเข็มขัด รูดสายออกเพื่อจะถอดเอาให้มัน ซึ่งแม้ตอนนี้ผมจะไม่ได้หันกลับไปมองนักเรียนผมหยิกนั้น แต่ในใจผมหวังว่า เขาต้องกำลังเดินมาช่วยผมแน่
ผมปลดหัวเข็มขัดออกจากสายมัน ตอนนี้เหลือแต่หัวเข็มขัดที่มีตราโรงเรียนประจิมสวัสดิ์อยู่ในมือผมแล้ว ค่อย ๆ ยื่นให้พวกมัน พยายามไม่แสดงอาการผิดปกติอะไรพอเห็นนักเรียนผมหยิกกำลังก้าวออกมา หวังลุ้นให้เขาเดินมาช่วยผมจริง ๆ
ขณะที่ผมส่งหัวเข็มเข็ดไปนั้น ก็มีสุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“พวกแกทำอะไรน่ะ”
เสียงนี้หาใช่เสียงของหนุ่มผมหยิก เพราะเขาเพียงลุกขึ้นยืนเดินออกมาจ้องดูเท่านั้น หากเป็นเสียงของบุคคลอีกผู้หนึ่งที่เพิ่งขึ้นรถเมล์มาเป็นคนสุดท้าย
ชายคนนี้เป็นนักเรียนเทคนิกเหมือนกับพวกมัน เขาไว้ผมยาวตรงลงมาเกือบถึงบ่า สวมใส่เสื้อช็อปสีเทาแบบเดียวกัน
แต่เสื้อช็อปของเขาไม่เหมือนของพวกมันซะทีเดียว มีอยู่จุดหนึ่งที่แตกต่างกับทั้งสามคนนั้น นั่นคือ ที่แขนซ้ายของเสื้อช็อปของหนุ่มผู้นี้ มีแถบสีดำคาดอยู่หนึ่งแถบ
“สวัสดีครับพี่เค” พวกมันหันกลับไปทางหนุ่มผมยาวที่เพิ่งขึ้นมา ยกมือไหว้พร้อมกัน ท่าทางของทั้งสามดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดพอพบกับเขาคนนี้
“อืม..” เขามองมาทางผม ดูหัวเข็มขัดที่อยู่ในมือแล้วพูดขึ้นต่อว่า “พวกแกตบหัวเข็มขัดอีกแล้วสิ”
“ครับ” ทั้งสามพยักหน้าคล้ายโน้มตัวก้มโค้งด้วย
“พวกแกหยุด ..แล้วกลับไปหาที่นั่งซะ!” เขาสั่งด้วยท่าทางหาญกล้าดูมีอำนาจ ซึ่งพวกมันไม่ได้พูดอะไรตอบ ได้แต่ผงกศีรษะร้อง “ครับ ครับ” แล้วเดินไปหาที่นั่ง
“ขอโทษด้วยนะ” หนุ่มผมยาวหันหน้ามาทางผม พูดด้วยเสียงนุ่มนวล
ผมพยักหน้าให้ ตอบเขาไปว่า “ขอบคุณนะครับ”
เขาคลี่ยิ้มให้ คล้ายเมื่อครู่ไม่ได้มีอะไรสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเขาหันไปเจอกับหนุ่มผมหยิกที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากที่ที่ผมนั่ง กลับหันไปจ้องหน้าทันที
หนุ่มผมหยิกก็เช่นกัน เขาจ้องหน้าตอบ ทำให้เป็นการประจันหน้ากันและกัน
เหมือนกับว่าทั้งสองเคยพบหน้ากันมาก่อน จ้องหน้ากันอย่างกับมีอะไรในใจ แล้ว เค หนุ่มผมยาวก็พูดขึ้นก่อนว่า
“นายชื่ออะไร?” เขาถามพร้อมยิ้มบาง ๆ ให้กับหนุ่มผมหยิก
“ปรี... ฉันชื่อ ปรี” หนุ่มผมหยิกพูดตอบ ยิ้มส่งกลับไปให้หนุ่มผมยาว เค “...เสื้อช็อปหนึ่งแถบ?”
“อืม..” เคพยักหน้ารับ จ้องมองทั้งร่างของปรี หนุ่มนักเรียนผมหยิก “ใช่ อย่างที่นายรู้แหละ ..แต่ถ้านายรู้เรื่องนี้แสดงว่า นายก็คงไม่ธรรมดาเหมือนกันสินะ”
“ก็คงงั้น..” ปรีพยักหน้ายิ้ม ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบไป
แล้วทั้งสองก็หันกลับ เดินไปที่นั่งของตน
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว เด็กเทคนิกทั้งสามนั่งง่องเหมือนเด็กเพิ่งโดนแม่ดุ แล้วไม่นานทั้งสามรวมทั้ง เค หนุ่มผมยาวก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ลงจากรถเมล์ไป
แต่ก่อนที่เคจะลงรถ เขาหันมองมาทางผมและปรีที่อยู่ทางเบาะหลัง แถมส่งยิ้มให้ด้วย แล้วค่อยก้าวเดินลงรถเมล์ ทำให้ผมเริ่มมีความคิดว่า ปรีหนุ่มผมหยิกต้องมีอะไรพิเศษแน่ ๆ
หลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ รถเมล์แล่นรับส่งผู้โดยสารตามป้ายไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็เริ่มมีนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผมขึ้นมาบ้างแล้ว นักเรียนประจิมสวัสดิ์ที่ขึ้นรถมาก็ไม่ได้เอ่ยทักทายหรือมีปฏิกิริยาอะไรกับปรี ทั้งหมดเดินขึ้นรถมาเลือกที่นั่งตามปกติ
และแล้วผมก็ต้องลงจากรถเมล์จนได้
เพราะรถเมล์แล่นมาถึงป้ายหน้าปากซอยโรงเรียนประจิมสวัสดิ์แล้ว ผมและนักเรียนโรงเรียนนี้ที่อยู่บนรถจึงต้องลงกันหมด ปรีก็เช่นเดียวกัน เขาก้าวลงรถเมล์เป็นคนสุดท้าย
(มีต่อครับ)
TWO TOP สองอันตราย - [บทนักเรียนใหม่] ตอนที่ 1 : จักรพรรดิ
แต่ผมคิดว่าหลายคนน่าจะไม่เคยอ่าน ก็เลยเอามาลงถนนนักเขียนให้ทุกคนได้อ่านกันครับ โดยแนวเรื่องของเรื่องนี้เป็นแนวนักเรียนตีกันด้วยศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวครับ เกินกว่าครึ่งเรื่องจะเป็นฉากบู๊แอคชั่นเลยครับ
แล้วก็บางตอนผมจะลงภาพประกอบให้ด้วยครับ แต่ว่าไม่ได้มีทุกตอนนะ
โดยเรื่องนี้จะแบ่งอีเว้นท์ไว้เป็นช่วง ๆ ช่วงแรกจะเป็นบทนักเรียนใหม่ ผู้ดำเนินเรื่องจะเป็นตัวละครที่ชื่อว่าเจครับ
=====================================================================================
ตอนที่ 1 : จักรพรรดิ
ผมชื่อเจ
ชื่อจริง เจตพงษ์ เทพศรี
วันนี้เป็นวันแรกที่ผมย้ายมาที่โรงเรียนใหม่ เนื่องด้วยพ่อของผมเป็นข้าราชการ ท่านได้รับคำสั่งให้ย้ายมาประจำในพื้นที่แถบโรงเรียนนี้ ทำให้ผมซึ่งเป็นลูกคนเดียวต้องย้ายโรงเรียนตามท่านมาด้วย
จากการที่ย้ายมาเรียนในช่วงกลางภาคเรียนที่สอง จึงไม่มีการแนะนำตัวพิเศษใด ๆ กับทางโรงเรียน ผมเลยต้องมาโรงเรียนเหมือนนักเรียนปกติ
โรงเรียนที่ว่านี้มีชื่อว่า โรงเรียนประจิมสวัสดิ์ เป็นโรงเรียนสหศึกษา ซึ่งโรงเรียนนี้ถือว่าไม่เบาทีเดียวสำหรับการเรียนการสอน เพราะศิษย์เก่าของที่นี่หลายคนเอนทรานท์ติด เข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้เป็นประจำทุกปี แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าที่นี่จะไม่มีเรื่องไม่ดีเลย โรงเรียนนี้ก็เหมือนโรงเรียนแห่งอื่น มีการทะเลาะวิวาทต่อยตีกันบ้างเป็นธรรมดา
ซึ่งที่ผมบอกมานี้ ผมเองยังไม่ได้พบเจอกับตัวเอง เพราะวันนี้เป็นวันเรียนวันแรกของผม เรื่องเหล่านั้นผมได้ยินมาจากเพื่อนเก่าที่รู้จักโรงเรียนนี้เท่านั้น
ผมใส่ชุดนักเรียนของโรงเรียนประจิมสวัสดิ์ขึ้นรถเมล์เลย เป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงขาสั้นเหมือนโรงเรียนทั่วไป ต่างกันตรงรอยปักชื่อย่อโรงเรียน “ป.ส.” เท่านั้น ผมเดินไปนั่งตรงที่ว่างตอนกลาง สังเกตดูผู้คนบนรถเมล์
พอมองดูก็พบเห็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผมอยู่บนรถเมล์นี้ด้วยคนหนึ่ง เขานั่งอยู่ทางเบาะด้านหลังไปทางซ้ายสุด น่าจะอายุราว ๆ เดียวกับผมได้ ประมาณ 16 - 17 ปี ผมของเขาหยิกฟูเหมือนโฟรโด้ในหนังเรื่อง “ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง” ต่างกันเพียงผมสั้นกว่าเท่านั้น
ผมยอมรับว่าแอบเหลียวมองเขาอยู่หลายครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเขาสังเกตเห็นผมหรือเปล่า เพราะว่าเขานั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่เกือบตลอด ผมมองอยู่นานจึงได้รู้ว่าหนังสือที่เขาอ่านนั้นมีชื่อว่า “ปริศนาห้องสีเหลือง”
ผมก็ไม่รู้หรอกว่าหนังสือเรื่อง “ปริศนาห้องสีเหลือง” มันเป็นเรื่องอย่างไร เพราะผมไม่เคยอ่านและไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้ แต่ดูจากหน้าปกและองค์ประกอบโดยรวมของหนังสือ ผมว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นนิยายแนวสืบสวน
เรื่องหนังสือผมว่าช่างมันเถอะ ผมไม่สนใจมันหรอก เลยเปลี่ยนมานั่งมองวิวข้างทางที่ยังไม่คุ้นเคยแทน เพื่อสังเกตดูห้างร้านหรือสถานที่อะไรต่าง ๆ ตามริมถนน เผื่อผมจำเป็นต้องมาสถานที่เหล่านั้น
จากที่ผมสังเกตดูสถานที่ข้างทาง จึงเห็นว่าตลอดเส้นทางนี้มีโรงเรียนอยู่อีกแห่งหนึ่งด้วย น่าจะเป็นโรงเรียนอาชีวะ พวกช่างหรือพาณิชย์นี่แหละ แต่จะชื่อโรงเรียนอะไรนั้น ผมเองก็ดูไม่ทันเหมือนกัน
ตลอดการเดินทางของผมตอนนี้ ไม่มีเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผมขึ้นมาบนรถเมล์นี้เลย ซึ่งมันก็เป็นไปได้ เพราะโรงเรียนใหม่กับบ้านของผม แทบจะอยู่คนละทิศกัน ดังนั้น นักเรียนของโรงเรียนประจิมสวัสดิ์จึงมีเพียงนักเรียนที่นั่งอ่านหนังสือที่เบาะด้านหลังกับผมเพียงเท่านั้น
อย่างที่บอก ระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนของผมถือว่าไกลพอสมควรสำหรับเด็กนักเรียนทั่วไป นี่ก็เพราะพ่อของผมไม่สามารถหาโรงเรียนที่ใกล้กว่านี้ได้ จึงจำเป็นต้องเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนประจิมสวัสดิ์ที่ห่างไกลหลายสิบกิโลเมตร
เมื่อนั่งรถนาน ๆ ผมก็เริ่มเบื่อ มิน่าล่ะ นักเรียนที่เบาะหลังจึงต้องอ่านหนังสือ ผมเลยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าที่สะพายมา ยังดีที่ผมพกเครื่องเล่น MP3 มาด้วย จึงหยิบมันออกมา เอาหูฟังเสียบหูฆ่าเวลาไป
เนื้อเพลงและท่วงทำนองเพลงลั่นเข้าโสตประสาทหูของผมไปเรื่อย ๆ ผมทิ้งทุกอย่างรอบข้าง ซาบซึ้งกับเสียงเพลงเพราะ ๆ ที่ออกมาจากอุปกรณ์เล่นเพลงขนาดเล็กชิ้นนี้
แต่แล้วก็มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมต้องหลุดจากภวังค์นั้น
มีกลุ่มนักเรียนโรงเรียนหนึ่งขึ้นมาบนรถเมล์ ส่งเสียงดังโวยวายลั่นมาเลย พวกเขามีด้วยกันสามคน ดูจากชุดที่ใส่อยู่ ทั้งหมดต้องเรียนอยู่โรงเรียนเทคนิกสักแห่งแน่ เพราะทั้งสามคนใส่เสื้อช็อปสีเทาแบบพวกช่างเค้าใส่กัน
ผมเหลือบมองพวกเขาวูบหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองวิวข้างทางตามเดิม ผมเองไม่ใช่พวกชอบมีเรื่องอยู่แล้ว ตัวก็เล็กไม่มีแรงไปสู้กับใคร ๆ เค้าหรอก จึงไม่อยากยุ่งกับพวกมัน
แต่หนึ่งในสามคนนั้นก้าวมาทางผม เขาเดินมาหยุดยืนจ้อง ๆ มอง ๆ ผม ซึ่งผมเองไม่ได้มองตอบ แกล้งทำเป็นดูวิวข้างทางไป
“เด็กโรงเรียนประจิมฯนี่หว่า” มันพูดขึ้นมา
ผมต้องได้ยินมันพูดอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบมันไป แล้วพวกมันที่เหลือก็เดินตรงมาทางผม สมทบกับเพื่อนของมัน
“พวกข้าพูดกับแกอยู่ ได้ยินมั้ย?” หนึ่งในสองที่เข้ามาสมทบพูดขึ้น
“อะ..อะไรเหรอครับ” ผมต้องพูดกับพวกมัน ในใจเริ่มวิตก คิดว่าพวกมันจะมาทำอะไรกับผม
“เอาหัวเข็มขัดของแกมา” มันจ้องหน้า พูดขึ้นอีก ท่าทีของพวกมันทั้งสามดูดุร้ายขึ้น พร้อมทั้งทำท่าทางข่มขู่อีกด้วย
ผมนิ่งเงียบยังไม่ได้ตอบอะไรออกไป ผมมาเรียนวันแรกย่อมไม่อยากเสียอุปกรณ์หรือเครื่องแต่งกายอะไรของตัวเอง แล้วผมก็เพิ่งรู้ว่าหัวเข็มขัดของโรงเรียนมีค่าขนาดพวกมันต้องใช้กำลังแย่งเลย
จะสักกี่บาทเชียว...
“แกจะให้ดี ๆ หรือจะให้ด้วยน้ำตา” มันขู่อีก แต่ผู้คนบนรถเมล์ไม่ทีท่าหรือแสดงอะไรออกมาขัดขวางการกระทำของพวกมันแม้แต่น้อย พวกเขาเงียบเฉยเพียงแค่หันมอง เหมือนกับเคยพบเห็นเหตุการณ์เหล่านี้มาอย่างชาชิน
หนึ่งในสามเด็กช่างยื่นมือคว้าไปที่คอเสื้อของผม กระชากขึ้นมา ผมเลยต้องเงยหน้าจ้องมองมันตรง ๆ
“เอามา!”
เมื่อถึงขนาดนี้ผมก็ต้องยอมมัน อะไรกันเนี่ย! เพิ่งย้ายโรงเรียนมาวันแรกก็เกิดเรื่องขึ้นซะแล้ว ผมเริ่มมีอคติกับโรงเรียนใหม่นี้แล้วล่ะสิ
“ครับ”
ผมตอบไอ้คนที่ดึงคอเสื้อผม มันเลยผละมือจากคอเสื้อ ผมจึงค่อย ๆ ลดมือลงไปถอดเข็มขัดตัวเอง เพื่อมอบให้มัน
แต่ผมกับพวกมันก็ต้องหยุดมือ เพราะรถเมล์หยุดจอดป้าย ผู้คนที่รอรถเริ่มขึ้นมา ทำให้ทั้งสามต้องนิ่งเฉย สงวนท่าทีไว้ก่อน ซึ่งในขณะนั้น ผมแอบหันกลับไปมองนักเรียนหนุ่มผมหยิกที่ก้มอ่านหนังสืออยู่ที่เบาะหลัง ซึ่งเขาในตอนนี้หยุดอ่านหนังสือแล้ว ลุกขึ้นยืนเหมือนจะเดินตรงมาทางผม
เมื่อผู้คนขึ้นรถเมล์มาจนเกือบหมด สามเด็กช่างจึงหันกลับมาขู่ผมต่อ ผมค่อย ๆ ปลดเข็มขัด รูดสายออกเพื่อจะถอดเอาให้มัน ซึ่งแม้ตอนนี้ผมจะไม่ได้หันกลับไปมองนักเรียนผมหยิกนั้น แต่ในใจผมหวังว่า เขาต้องกำลังเดินมาช่วยผมแน่
ผมปลดหัวเข็มขัดออกจากสายมัน ตอนนี้เหลือแต่หัวเข็มขัดที่มีตราโรงเรียนประจิมสวัสดิ์อยู่ในมือผมแล้ว ค่อย ๆ ยื่นให้พวกมัน พยายามไม่แสดงอาการผิดปกติอะไรพอเห็นนักเรียนผมหยิกกำลังก้าวออกมา หวังลุ้นให้เขาเดินมาช่วยผมจริง ๆ
ขณะที่ผมส่งหัวเข็มเข็ดไปนั้น ก็มีสุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“พวกแกทำอะไรน่ะ”
เสียงนี้หาใช่เสียงของหนุ่มผมหยิก เพราะเขาเพียงลุกขึ้นยืนเดินออกมาจ้องดูเท่านั้น หากเป็นเสียงของบุคคลอีกผู้หนึ่งที่เพิ่งขึ้นรถเมล์มาเป็นคนสุดท้าย
ชายคนนี้เป็นนักเรียนเทคนิกเหมือนกับพวกมัน เขาไว้ผมยาวตรงลงมาเกือบถึงบ่า สวมใส่เสื้อช็อปสีเทาแบบเดียวกัน
แต่เสื้อช็อปของเขาไม่เหมือนของพวกมันซะทีเดียว มีอยู่จุดหนึ่งที่แตกต่างกับทั้งสามคนนั้น นั่นคือ ที่แขนซ้ายของเสื้อช็อปของหนุ่มผู้นี้ มีแถบสีดำคาดอยู่หนึ่งแถบ
“สวัสดีครับพี่เค” พวกมันหันกลับไปทางหนุ่มผมยาวที่เพิ่งขึ้นมา ยกมือไหว้พร้อมกัน ท่าทางของทั้งสามดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดพอพบกับเขาคนนี้
“อืม..” เขามองมาทางผม ดูหัวเข็มขัดที่อยู่ในมือแล้วพูดขึ้นต่อว่า “พวกแกตบหัวเข็มขัดอีกแล้วสิ”
“ครับ” ทั้งสามพยักหน้าคล้ายโน้มตัวก้มโค้งด้วย
“พวกแกหยุด ..แล้วกลับไปหาที่นั่งซะ!” เขาสั่งด้วยท่าทางหาญกล้าดูมีอำนาจ ซึ่งพวกมันไม่ได้พูดอะไรตอบ ได้แต่ผงกศีรษะร้อง “ครับ ครับ” แล้วเดินไปหาที่นั่ง
“ขอโทษด้วยนะ” หนุ่มผมยาวหันหน้ามาทางผม พูดด้วยเสียงนุ่มนวล
ผมพยักหน้าให้ ตอบเขาไปว่า “ขอบคุณนะครับ”
เขาคลี่ยิ้มให้ คล้ายเมื่อครู่ไม่ได้มีอะไรสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเขาหันไปเจอกับหนุ่มผมหยิกที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากที่ที่ผมนั่ง กลับหันไปจ้องหน้าทันที
หนุ่มผมหยิกก็เช่นกัน เขาจ้องหน้าตอบ ทำให้เป็นการประจันหน้ากันและกัน
เหมือนกับว่าทั้งสองเคยพบหน้ากันมาก่อน จ้องหน้ากันอย่างกับมีอะไรในใจ แล้ว เค หนุ่มผมยาวก็พูดขึ้นก่อนว่า
“นายชื่ออะไร?” เขาถามพร้อมยิ้มบาง ๆ ให้กับหนุ่มผมหยิก
“ปรี... ฉันชื่อ ปรี” หนุ่มผมหยิกพูดตอบ ยิ้มส่งกลับไปให้หนุ่มผมยาว เค “...เสื้อช็อปหนึ่งแถบ?”
“อืม..” เคพยักหน้ารับ จ้องมองทั้งร่างของปรี หนุ่มนักเรียนผมหยิก “ใช่ อย่างที่นายรู้แหละ ..แต่ถ้านายรู้เรื่องนี้แสดงว่า นายก็คงไม่ธรรมดาเหมือนกันสินะ”
“ก็คงงั้น..” ปรีพยักหน้ายิ้ม ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบไป
แล้วทั้งสองก็หันกลับ เดินไปที่นั่งของตน
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว เด็กเทคนิกทั้งสามนั่งง่องเหมือนเด็กเพิ่งโดนแม่ดุ แล้วไม่นานทั้งสามรวมทั้ง เค หนุ่มผมยาวก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ลงจากรถเมล์ไป
แต่ก่อนที่เคจะลงรถ เขาหันมองมาทางผมและปรีที่อยู่ทางเบาะหลัง แถมส่งยิ้มให้ด้วย แล้วค่อยก้าวเดินลงรถเมล์ ทำให้ผมเริ่มมีความคิดว่า ปรีหนุ่มผมหยิกต้องมีอะไรพิเศษแน่ ๆ
หลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ รถเมล์แล่นรับส่งผู้โดยสารตามป้ายไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็เริ่มมีนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผมขึ้นมาบ้างแล้ว นักเรียนประจิมสวัสดิ์ที่ขึ้นรถมาก็ไม่ได้เอ่ยทักทายหรือมีปฏิกิริยาอะไรกับปรี ทั้งหมดเดินขึ้นรถมาเลือกที่นั่งตามปกติ
และแล้วผมก็ต้องลงจากรถเมล์จนได้
เพราะรถเมล์แล่นมาถึงป้ายหน้าปากซอยโรงเรียนประจิมสวัสดิ์แล้ว ผมและนักเรียนโรงเรียนนี้ที่อยู่บนรถจึงต้องลงกันหมด ปรีก็เช่นเดียวกัน เขาก้าวลงรถเมล์เป็นคนสุดท้าย
(มีต่อครับ)