ตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนที่ 38 : หนุ่มเป่าขลุ่ย
https://ppantip.com/topic/38600777
แนะนำตัวละคร
=========================================================================================================
ตอนที่ 39 : เพื่อนเก่า
ทันทีที่จักรพรรดิ ปรีและขลุ่ยพิฆาต โจเจอหน้ากัน ต่างพุ่งเข้าหาประสานมือจับกันและกันเอาไว้ สร้างความงุนงงแก่ผู้พบเห็นนัก
มันคล้ายกับว่าทั้งสองรู้จักกันมาก่อน
“ปรี.. นายเรียนอยู่ที่นี่เหรอ?” โจเอ่ยถามด้วยท่าทางเป็นมิตร
“อยู่ได้สักพักแล้วล่ะ” ปรีพยักหน้าตอบรับอย่างคุ้นเคย
ซึ่งจากประโยคที่ทั้งสองพูดคุยกันเป็นเครื่องชี้ชัดแล้วว่าปรีกับโจรู้จักกันมาก่อน
ปรีมองดูเสื้อช็อปหนึ่งแถบที่โจสวมใส่ พูดขึ้นต่อว่า
“ช็อปหนึ่งแถบ... โจ นายคือ ผู้คุมกฎของจักรวรรดิบูรพาเหรอ?”
“ใช่” โจผงกศีรษะ “ฉันมาที่โรงเรียนนาย เพราะต้องการเจอจักรพรรดิประจิมสวัสดิ์”
ปรีนิ่งจังหวะหนึ่งมองหน้าตอบ แต่ยังไม่ได้พูดอะไร เพราะโจพูดต่อว่า
“ฉันต้องการสู้กับจักรพรรดินายรู้จักไหม?”
ปรียังจ้องมองโจ ก่อนจะตอบว่า “ฉันนี่แหละ จักรพรรดิประจิมสวัสดิ์”
“หา! เป็นนายเหรอ?”
หนุ่มผมหยิกผงกศีรษะเป็นคำตอบ
โจหันมองดูเหล่านักเรียนฝ่ายประจิมสวัสดิ์ที่อยู่ที่นี่ ซึ่งบุรุษสองร่าง เรก็ผงกศีรษธบ่งบอกว่า ปรีนั้นเป็นจักรพรรดิประจิมสวัสดิ์จริง ๆ
“ท่าจะจริง ดูท่าฉันต้องสู้กับนายแล้วสินะปรี”
“จำเป็นด้วยหรือ?” ปรีถาม
“มันจำเป็น นายเป็นจักรพรรดิของประจิมสวัสดิ์ คงรู้ว่าโรงเรียนเทคนิคจักรวรรดิบูรพาเป็นอย่างไร หากราชันบูรพามีคำสั่งมา ฉันต้องทำตาม” โจบอกอย่างหนักแน่น “แต่ปรี ที่นายเป็นจักรพรรดิเนี่ย ..คิดไม่ถึงเลย อดีตหนอนหนังสือผู้สู้ใครไม่เป็นอย่างนาย จะกลายเป็นหัวหน้าใหญ่ของโรงเรียนประจิมสวัสดิ์เสียได้”
“มันก็ไม่ต่างจากนายหรอกโจ อดีตนักเรียนที่ชอบเป่าขลุ่ยอยู่มุมห้อง กลับกลายเป็นหนึ่งในห้าผู้คุมกฎของจักรวรรดิบูรพาซะแล้ว”
เรื่องที่ทั้งสองพูดคุยนั้นเป็นเรื่องในอดีต เพราะในสมัยที่เรียนอยู่ในระดับประถมปรีและโจเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แถมอยู่ห้องเดียวกันอีกด้วย
แต่เหตุนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกัน หากเพียงแค่นี้ต้องสนิทกัน คนทั้งห้องก็ต้องสนิทเช่นกันแล้วด้วย
สิ่งที่ทำให้ทั้งสองสนิทกันนั้นมาจากการที่ทั้งคู่ถูกกระทำกันเหมือนกันอย่างหนึ่ง
นั่นคือ โจและปรีโดนรังแก
ในสมัยนั้นทั้งคู่ไม่ได้แข็งแกร่ง เก่งกล้าอย่างเช่นทุกวันนี้ ปรีเป็นเพียงเด็กนักเรียนที่ชอบอ่านหนังสือจนเพื่อน ๆ เรียกว่า หนอนหนังสือ ส่วนโจก็ชอบแอบหลบมุม ห่างไกลผู้คน หาที่เป่าขลุ่ยตามที่ตัวเองชอบ
ซึ่งในโรงเรียนทุกที่ย่อมมีเด็กเกเรที่ชอบรังแกผู้อ่อนแอกว่าอยู่แล้ว พอเด็กเหล่านั้นพบเห็นปรีและโจมีลักษณะดังกล่าว ย่อมตกเป็นเป้าหมายในการรังแก เพราะดูภายนอกไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่
เมื่อไม่มีวิชาต่อสู้ก็ไม่มีทางรับมือกลุ่มเด็กเกเรได้ ทั้งคู่จึงโดนรังแกอยู่เสมอ ทั้งสองพยายามหลีกเลี่ยง หลบหนี แต่ก็มิอาจพ้น กลุ่มเด็กเกเรย่อมไม่ธรรมดาที่หนีรอดง่าย ๆ อยู่แล้ว และยิ่งในชีวิตของนักเรียนที่ต้องไปโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่ ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือของพวกนั้นได้
อย่างที่กล่าวตอนต้นทั้งสองไม่ได้สนิทกันตั้งแต่ทีแรก ทว่าพอได้เผชิญเหตุการณ์ในลักษณะเหมือน ๆ กัน ทำให้คล้ายมีแรงดึงดูดชักนำให้ทั้งคู่เข้าใกล้กันจนสนิทกันมากขึ้น
เมื่อสนิทกันมากขึ้นจึงช่วยกันหาทางหลบเลี่ยงกลุ่มเด็กเกเรร่วมกัน มีการปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดและสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ให้แก่อีกฝ่าย สิ่งที่ปรีมีคือ ความรู้ที่ได้จากการอ่านหนังสือ ส่วนโจเป็นท่วงทำนองและจังหวะของเสียงดนตรี
แต่ทว่ามันก็ยังไม่อาจรับมือกลุ่มเด็กเกเรได้เลย
ความรู้และดนตรีมันยังไม่เพียงพอ
เมื่อไม่เพียงพอย่อมไม่รอดพ้นเงื้อมมือเด็กเหล่านั้น
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผิดแปลกไป
ในช่วงพักกลางวัน ปรีและโจแอบหลบอยู่ที่มุมหนึ่ง นั่งอ่านหนังสือและเป่าขลุ่ยอยู่ ไม่นานก็มีเด็กเกเรสี่คนตรงเข้ามาหา
“อยู่นี่เอง” หนึ่งในสี่นั้นพูดขึ้น
ปรีกับโจหันมองเด็กทั้งสี่ เวลานั้นพวกเขาย่อมรู้ตัวว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเป็นลำดับถัดไป
“เดี๋ยวนี้ หนีหน้าพวกฉันหรือ..” อีกหนึ่งในสี่พูดขึ้นบ้าง “ทำให้ขาดเงินหมด”
ที่พูดแบบนี้ เพราะว่ากลุ่มเด็กเกเรนั้นได้ไถเงินจากปรีและโจด้วย
ปรีและโจมองหน้าผู้พูด นึกในใจถึงหนทางที่จะรอดพ้นเงื้อมมือของคนเหล่านี้ เพราะว่าตั้งแต่พวกเขาเผชิญหน้าพวกมันมา ไม่มีครั้งไหนที่หนีรอด อย่างเก่งก็แค่รอดพ้นเพียงช่วงเวลาเดียว สุดท้ายก็ต้องกลับไปรับชะตากรรมเช่นเดิม
แต่ทั้งคู่ไม่เชื่อว่ามันเป็นชะตากรรมที่ต้องพบเจอไปตลอดชีวิต ยิ่งได้เจอแบบนี้บ่อย ๆ มันกลับกลายเป็นแรงผลักดันที่ตรงกันข้าม เพียงพอที่จะทำให้พวกเขากล้าต่อสู้และเผชิญหน้าต่อสิ่งเหล่านี้เพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว
แม้โจกับปรีไม่ได้แสดงกิริยาอะไรออกมา แต่สีหน้าและแววตาก็บ่งบอกถึงการไม่ยอมรับชะตากรรมเหล่านี้ต่อไปแล้ว
พวกเด็กเกเรก็รับรู้ได้ การรับรู้ถึงการต่อต้านของผู้ถูกรังแกเป็นความสามารถพื้นฐานของพวกชอบรังแกอยู่แล้ว และแน่นอนว่าทั้งหมดไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น
จึงไม่รู้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือไม่สำหรับปรีกับโจ เพราะคนที่ไม่เคยต่อสู้แม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีทางรับมือผู้รังแกทั้งสี่ได้แน่
ฝ่ายเด็กเกเรแยกตัวออกเป็นสองกลุ่ม สองคนเข้าล้อมปรี อีกสองเข้าขวางโจ
ปรีพยายามสอดส่องหาทางหนีผู้เข้าล้อมทั้งสอง แต่สองคนนั้นก็ยืนขวางหน้าหลัง ไม่มีเหลือทางให้หนีเลย
โจนิ่งมองผู้เข้ามาอย่างตาไม่กะพริบ แต่ก็ยังไม่ทำอะไร เพราะทั้งสองเข้าขวางทั้งด้านหน้าและหลังเช่นกัน
“ไม่มีทางหนีพ้นหรอก” หนึ่งในสองที่ขวางปรีพูดใส่
ปรีไม่ตอบคำ เอาหนังสือที่ถืออยู่ใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เสียงสูดหายใจเข้าออกอย่างแรงดังขึ้นตามมา ปรีตั้งท่าพุ่งตัวไปด้านข้างอย่างเต็มกำลัง แต่ผู้อยู่ด้านหน้าปรีก็พุ่งตัวขยับตามหมายจับตัวโดยทันที
ดูเหมือนว่าปรีจะหนีไม่พ้น
แต่ทว่าปรีกลับไม่ได้หนี เขาหันกลับหลังอย่างฉับไว เข้าหาผู้กำลังพุ่งเข้ามาแทน จากนั้นใช้มือทั้งสองจับคอเสื้อของผู้นั้น ทำท่าคล้ายท่าทุ่มอย่างต่อเนื่อง
ร่างของเด็กเกเรที่เข้ามาพุ่งไปอีกด้านทันที
และยังโชคดีร่างนั้นไปกระทบผู้ที่เข้ามาอีกคนจนล้มลงไปทั้งคู่
ครั้งนี้ปรีหยุดพวกเขาได้ แต่ว่าเหตุใดคนที่ไม่ได้ฝึกการต่อสู้อย่างปรี สามารถทุ่มได้ถึงขนาดนี้
นั่นเป็นเพราะเขาได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เล่มนั้นเป็นหนังสือที่เขาเพิ่งเอาใส่กระเป๋าไปเมื่อกี้นี้
หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า วิถียูโด
ปรีใช้หลักการของยูโดที่อาศัยสมดุลจับทุ่ม ซึ่งที่ปรีออกวิ่งก็เพื่อต้องการให้หนึ่งในสองเสียสมดุล พอมีคนพุ่งตามมา จึงหันหลังกลับอาศัยแรงที่พุ่งมาช่วยในการทุ่มคู่ต่อสู้
แต่ทั้งหมดที่ทำไปก็หาได้มาจากการฝึกฝน หากมันมาจากการเข้าใจเนื้อหาภายในหนังสือที่ได้อ่านไป
ฉะนั้น หากให้ปรีทำอีกครั้งเขาอาจทำไม่ได้ เพราะจังหวะและท่วงท่าไม่ถูกต้องและไม่พอดีอย่างเช่นเมื่อกี้
กล่าวง่าย ๆ การทุ่มของปรีที่เกิดขึ้นมันบังเอิญเข้าจังหวะและท่วงท่าพอดีเท่านั้น
ทางด้านโจนั้นนิ่งมองคนผู้หนึ่งอย่างไม่กะพริบตา หาได้สนใจอีกคนที่อยู่ด้านหลังเลย ทำให้ผู้อยู่ด้านหลังพุ่งเข้าหาหมายคว้าตัว
แต่โจกลับฉากหลบได้อย่างเป็นจังหวะแบบไม่น่าเชื่อ หลีกการคว้านั้นได้ และเช่นเดียวกันพออีกคนพุ่งตามมาโจก็ฉากหลบได้อีกที
ซึ่งนี่ก็ไม่ได้มาจากการฝึกฝนของโจ เขาเพียงขยับอย่างเป็นจังหวะตามท่วงทำนองที่เคยได้ยินจากการเป่าขลุ่ยของตัวเอง และจะให้ทำอีกครั้งก็ไม่ได้ด้วย เพราะการหลบหลีกนั้นมาจากความบังเอิญ
ดังนั้น ไม่ว่าปรีหรือโจก็ต้องกลับมาเผชิญสถานการณ์เช่นเดิม สองคนที่ปรีทุ่มสามารถลุกขึ้นมาได้อย่างสบาย ไม่มีอาการบาดเจ็บอันใด เพราะปรีเพียงทุ่มได้ถูกจังหวะ แต่น้ำหนักในการโจมตีไม่ได้มีเลย ส่วนสองคนที่โจหลบได้ก็ไม่ต่างกัน ทั้งสองย่อมไม่เป็นอะไร และครั้งนี้พุ่งเข้าหาพร้อมกันด้วย
สองคนพุ่งเข้าหาปรี อีกสองคนพุ่งเข้าหาโจ
ครั้งนี้ไม่มีการทุ่มจากปรีและการหลบจากโจ ทั้งสี่คว้าตัวคู่ของตนได้
“หึ หึ หึ คราวนี้ไม่รอดแน่” หนึ่งในสองที่คว้าตัวปรีพูดขึ้นมา
“แกหนีไม่พ้นหรอก” หนึ่งในสองที่คว้าตัวโจพูดขึ้นมา
ดูเหมือนครั้งนี้ทั้งสองจะหนีไม่พ้นจริง ๆ
แต่โชคยังดีมีอาจารย์มาพบเห็นพอดี ทำให้เหล่าเด็กเกเรทั้งสี่ต้องรีบหนี กระจายออกไปจากที่แห่งนี้
หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ไม่มีการเอาคืนจากเด็กเกเรอีก เพราะว่าในวันนั้นเป็นวันสุดท้ายในการเรียนระดับประถมแล้ว ทั้งคู่เลยไม่ได้ไปโรงเรียนอีก
จากนั้นทั้งสองก็แยกย้ายไปเรียนระดับมัธยมคนละแห่ง แถมย้ายไปคนละเขตพื้นที่ด้วย นี่จึงเป็นเหตุที่ทั้งสองไม่ได้เจอกันอีกเลย และไม่รู้เรื่องราวของกันและกัน จนมาพบกันในครั้งนี้
(มีต่อครับ)
TWO TOP สองอันตราย - [บทประจิมปะทะบูรพา] - ตอนที่ 39 : เพื่อนเก่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทันทีที่จักรพรรดิ ปรีและขลุ่ยพิฆาต โจเจอหน้ากัน ต่างพุ่งเข้าหาประสานมือจับกันและกันเอาไว้ สร้างความงุนงงแก่ผู้พบเห็นนัก
มันคล้ายกับว่าทั้งสองรู้จักกันมาก่อน
“ปรี.. นายเรียนอยู่ที่นี่เหรอ?” โจเอ่ยถามด้วยท่าทางเป็นมิตร
“อยู่ได้สักพักแล้วล่ะ” ปรีพยักหน้าตอบรับอย่างคุ้นเคย
ซึ่งจากประโยคที่ทั้งสองพูดคุยกันเป็นเครื่องชี้ชัดแล้วว่าปรีกับโจรู้จักกันมาก่อน
ปรีมองดูเสื้อช็อปหนึ่งแถบที่โจสวมใส่ พูดขึ้นต่อว่า
“ช็อปหนึ่งแถบ... โจ นายคือ ผู้คุมกฎของจักรวรรดิบูรพาเหรอ?”
“ใช่” โจผงกศีรษะ “ฉันมาที่โรงเรียนนาย เพราะต้องการเจอจักรพรรดิประจิมสวัสดิ์”
ปรีนิ่งจังหวะหนึ่งมองหน้าตอบ แต่ยังไม่ได้พูดอะไร เพราะโจพูดต่อว่า
“ฉันต้องการสู้กับจักรพรรดินายรู้จักไหม?”
ปรียังจ้องมองโจ ก่อนจะตอบว่า “ฉันนี่แหละ จักรพรรดิประจิมสวัสดิ์”
“หา! เป็นนายเหรอ?”
หนุ่มผมหยิกผงกศีรษะเป็นคำตอบ
โจหันมองดูเหล่านักเรียนฝ่ายประจิมสวัสดิ์ที่อยู่ที่นี่ ซึ่งบุรุษสองร่าง เรก็ผงกศีรษธบ่งบอกว่า ปรีนั้นเป็นจักรพรรดิประจิมสวัสดิ์จริง ๆ
“ท่าจะจริง ดูท่าฉันต้องสู้กับนายแล้วสินะปรี”
“จำเป็นด้วยหรือ?” ปรีถาม
“มันจำเป็น นายเป็นจักรพรรดิของประจิมสวัสดิ์ คงรู้ว่าโรงเรียนเทคนิคจักรวรรดิบูรพาเป็นอย่างไร หากราชันบูรพามีคำสั่งมา ฉันต้องทำตาม” โจบอกอย่างหนักแน่น “แต่ปรี ที่นายเป็นจักรพรรดิเนี่ย ..คิดไม่ถึงเลย อดีตหนอนหนังสือผู้สู้ใครไม่เป็นอย่างนาย จะกลายเป็นหัวหน้าใหญ่ของโรงเรียนประจิมสวัสดิ์เสียได้”
“มันก็ไม่ต่างจากนายหรอกโจ อดีตนักเรียนที่ชอบเป่าขลุ่ยอยู่มุมห้อง กลับกลายเป็นหนึ่งในห้าผู้คุมกฎของจักรวรรดิบูรพาซะแล้ว”
เรื่องที่ทั้งสองพูดคุยนั้นเป็นเรื่องในอดีต เพราะในสมัยที่เรียนอยู่ในระดับประถมปรีและโจเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แถมอยู่ห้องเดียวกันอีกด้วย
แต่เหตุนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกัน หากเพียงแค่นี้ต้องสนิทกัน คนทั้งห้องก็ต้องสนิทเช่นกันแล้วด้วย
สิ่งที่ทำให้ทั้งสองสนิทกันนั้นมาจากการที่ทั้งคู่ถูกกระทำกันเหมือนกันอย่างหนึ่ง
นั่นคือ โจและปรีโดนรังแก
ในสมัยนั้นทั้งคู่ไม่ได้แข็งแกร่ง เก่งกล้าอย่างเช่นทุกวันนี้ ปรีเป็นเพียงเด็กนักเรียนที่ชอบอ่านหนังสือจนเพื่อน ๆ เรียกว่า หนอนหนังสือ ส่วนโจก็ชอบแอบหลบมุม ห่างไกลผู้คน หาที่เป่าขลุ่ยตามที่ตัวเองชอบ
ซึ่งในโรงเรียนทุกที่ย่อมมีเด็กเกเรที่ชอบรังแกผู้อ่อนแอกว่าอยู่แล้ว พอเด็กเหล่านั้นพบเห็นปรีและโจมีลักษณะดังกล่าว ย่อมตกเป็นเป้าหมายในการรังแก เพราะดูภายนอกไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่
เมื่อไม่มีวิชาต่อสู้ก็ไม่มีทางรับมือกลุ่มเด็กเกเรได้ ทั้งคู่จึงโดนรังแกอยู่เสมอ ทั้งสองพยายามหลีกเลี่ยง หลบหนี แต่ก็มิอาจพ้น กลุ่มเด็กเกเรย่อมไม่ธรรมดาที่หนีรอดง่าย ๆ อยู่แล้ว และยิ่งในชีวิตของนักเรียนที่ต้องไปโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่ ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือของพวกนั้นได้
อย่างที่กล่าวตอนต้นทั้งสองไม่ได้สนิทกันตั้งแต่ทีแรก ทว่าพอได้เผชิญเหตุการณ์ในลักษณะเหมือน ๆ กัน ทำให้คล้ายมีแรงดึงดูดชักนำให้ทั้งคู่เข้าใกล้กันจนสนิทกันมากขึ้น
เมื่อสนิทกันมากขึ้นจึงช่วยกันหาทางหลบเลี่ยงกลุ่มเด็กเกเรร่วมกัน มีการปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดและสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ให้แก่อีกฝ่าย สิ่งที่ปรีมีคือ ความรู้ที่ได้จากการอ่านหนังสือ ส่วนโจเป็นท่วงทำนองและจังหวะของเสียงดนตรี
แต่ทว่ามันก็ยังไม่อาจรับมือกลุ่มเด็กเกเรได้เลย
ความรู้และดนตรีมันยังไม่เพียงพอ
เมื่อไม่เพียงพอย่อมไม่รอดพ้นเงื้อมมือเด็กเหล่านั้น
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผิดแปลกไป
ในช่วงพักกลางวัน ปรีและโจแอบหลบอยู่ที่มุมหนึ่ง นั่งอ่านหนังสือและเป่าขลุ่ยอยู่ ไม่นานก็มีเด็กเกเรสี่คนตรงเข้ามาหา
“อยู่นี่เอง” หนึ่งในสี่นั้นพูดขึ้น
ปรีกับโจหันมองเด็กทั้งสี่ เวลานั้นพวกเขาย่อมรู้ตัวว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเป็นลำดับถัดไป
“เดี๋ยวนี้ หนีหน้าพวกฉันหรือ..” อีกหนึ่งในสี่พูดขึ้นบ้าง “ทำให้ขาดเงินหมด”
ที่พูดแบบนี้ เพราะว่ากลุ่มเด็กเกเรนั้นได้ไถเงินจากปรีและโจด้วย
ปรีและโจมองหน้าผู้พูด นึกในใจถึงหนทางที่จะรอดพ้นเงื้อมมือของคนเหล่านี้ เพราะว่าตั้งแต่พวกเขาเผชิญหน้าพวกมันมา ไม่มีครั้งไหนที่หนีรอด อย่างเก่งก็แค่รอดพ้นเพียงช่วงเวลาเดียว สุดท้ายก็ต้องกลับไปรับชะตากรรมเช่นเดิม
แต่ทั้งคู่ไม่เชื่อว่ามันเป็นชะตากรรมที่ต้องพบเจอไปตลอดชีวิต ยิ่งได้เจอแบบนี้บ่อย ๆ มันกลับกลายเป็นแรงผลักดันที่ตรงกันข้าม เพียงพอที่จะทำให้พวกเขากล้าต่อสู้และเผชิญหน้าต่อสิ่งเหล่านี้เพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว
แม้โจกับปรีไม่ได้แสดงกิริยาอะไรออกมา แต่สีหน้าและแววตาก็บ่งบอกถึงการไม่ยอมรับชะตากรรมเหล่านี้ต่อไปแล้ว
พวกเด็กเกเรก็รับรู้ได้ การรับรู้ถึงการต่อต้านของผู้ถูกรังแกเป็นความสามารถพื้นฐานของพวกชอบรังแกอยู่แล้ว และแน่นอนว่าทั้งหมดไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น
จึงไม่รู้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือไม่สำหรับปรีกับโจ เพราะคนที่ไม่เคยต่อสู้แม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีทางรับมือผู้รังแกทั้งสี่ได้แน่
ฝ่ายเด็กเกเรแยกตัวออกเป็นสองกลุ่ม สองคนเข้าล้อมปรี อีกสองเข้าขวางโจ
ปรีพยายามสอดส่องหาทางหนีผู้เข้าล้อมทั้งสอง แต่สองคนนั้นก็ยืนขวางหน้าหลัง ไม่มีเหลือทางให้หนีเลย
โจนิ่งมองผู้เข้ามาอย่างตาไม่กะพริบ แต่ก็ยังไม่ทำอะไร เพราะทั้งสองเข้าขวางทั้งด้านหน้าและหลังเช่นกัน
“ไม่มีทางหนีพ้นหรอก” หนึ่งในสองที่ขวางปรีพูดใส่
ปรีไม่ตอบคำ เอาหนังสือที่ถืออยู่ใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เสียงสูดหายใจเข้าออกอย่างแรงดังขึ้นตามมา ปรีตั้งท่าพุ่งตัวไปด้านข้างอย่างเต็มกำลัง แต่ผู้อยู่ด้านหน้าปรีก็พุ่งตัวขยับตามหมายจับตัวโดยทันที
ดูเหมือนว่าปรีจะหนีไม่พ้น
แต่ทว่าปรีกลับไม่ได้หนี เขาหันกลับหลังอย่างฉับไว เข้าหาผู้กำลังพุ่งเข้ามาแทน จากนั้นใช้มือทั้งสองจับคอเสื้อของผู้นั้น ทำท่าคล้ายท่าทุ่มอย่างต่อเนื่อง
ร่างของเด็กเกเรที่เข้ามาพุ่งไปอีกด้านทันที
และยังโชคดีร่างนั้นไปกระทบผู้ที่เข้ามาอีกคนจนล้มลงไปทั้งคู่
ครั้งนี้ปรีหยุดพวกเขาได้ แต่ว่าเหตุใดคนที่ไม่ได้ฝึกการต่อสู้อย่างปรี สามารถทุ่มได้ถึงขนาดนี้
นั่นเป็นเพราะเขาได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เล่มนั้นเป็นหนังสือที่เขาเพิ่งเอาใส่กระเป๋าไปเมื่อกี้นี้
หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า วิถียูโด
ปรีใช้หลักการของยูโดที่อาศัยสมดุลจับทุ่ม ซึ่งที่ปรีออกวิ่งก็เพื่อต้องการให้หนึ่งในสองเสียสมดุล พอมีคนพุ่งตามมา จึงหันหลังกลับอาศัยแรงที่พุ่งมาช่วยในการทุ่มคู่ต่อสู้
แต่ทั้งหมดที่ทำไปก็หาได้มาจากการฝึกฝน หากมันมาจากการเข้าใจเนื้อหาภายในหนังสือที่ได้อ่านไป
ฉะนั้น หากให้ปรีทำอีกครั้งเขาอาจทำไม่ได้ เพราะจังหวะและท่วงท่าไม่ถูกต้องและไม่พอดีอย่างเช่นเมื่อกี้
กล่าวง่าย ๆ การทุ่มของปรีที่เกิดขึ้นมันบังเอิญเข้าจังหวะและท่วงท่าพอดีเท่านั้น
ทางด้านโจนั้นนิ่งมองคนผู้หนึ่งอย่างไม่กะพริบตา หาได้สนใจอีกคนที่อยู่ด้านหลังเลย ทำให้ผู้อยู่ด้านหลังพุ่งเข้าหาหมายคว้าตัว
แต่โจกลับฉากหลบได้อย่างเป็นจังหวะแบบไม่น่าเชื่อ หลีกการคว้านั้นได้ และเช่นเดียวกันพออีกคนพุ่งตามมาโจก็ฉากหลบได้อีกที
ซึ่งนี่ก็ไม่ได้มาจากการฝึกฝนของโจ เขาเพียงขยับอย่างเป็นจังหวะตามท่วงทำนองที่เคยได้ยินจากการเป่าขลุ่ยของตัวเอง และจะให้ทำอีกครั้งก็ไม่ได้ด้วย เพราะการหลบหลีกนั้นมาจากความบังเอิญ
ดังนั้น ไม่ว่าปรีหรือโจก็ต้องกลับมาเผชิญสถานการณ์เช่นเดิม สองคนที่ปรีทุ่มสามารถลุกขึ้นมาได้อย่างสบาย ไม่มีอาการบาดเจ็บอันใด เพราะปรีเพียงทุ่มได้ถูกจังหวะ แต่น้ำหนักในการโจมตีไม่ได้มีเลย ส่วนสองคนที่โจหลบได้ก็ไม่ต่างกัน ทั้งสองย่อมไม่เป็นอะไร และครั้งนี้พุ่งเข้าหาพร้อมกันด้วย
สองคนพุ่งเข้าหาปรี อีกสองคนพุ่งเข้าหาโจ
ครั้งนี้ไม่มีการทุ่มจากปรีและการหลบจากโจ ทั้งสี่คว้าตัวคู่ของตนได้
“หึ หึ หึ คราวนี้ไม่รอดแน่” หนึ่งในสองที่คว้าตัวปรีพูดขึ้นมา
“แกหนีไม่พ้นหรอก” หนึ่งในสองที่คว้าตัวโจพูดขึ้นมา
ดูเหมือนครั้งนี้ทั้งสองจะหนีไม่พ้นจริง ๆ
แต่โชคยังดีมีอาจารย์มาพบเห็นพอดี ทำให้เหล่าเด็กเกเรทั้งสี่ต้องรีบหนี กระจายออกไปจากที่แห่งนี้
หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ไม่มีการเอาคืนจากเด็กเกเรอีก เพราะว่าในวันนั้นเป็นวันสุดท้ายในการเรียนระดับประถมแล้ว ทั้งคู่เลยไม่ได้ไปโรงเรียนอีก
จากนั้นทั้งสองก็แยกย้ายไปเรียนระดับมัธยมคนละแห่ง แถมย้ายไปคนละเขตพื้นที่ด้วย นี่จึงเป็นเหตุที่ทั้งสองไม่ได้เจอกันอีกเลย และไม่รู้เรื่องราวของกันและกัน จนมาพบกันในครั้งนี้
(มีต่อครับ)