ตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนที่ 37 : กลับ
https://ppantip.com/topic/38571136
แนะนำตัวละคร
====================================================================================================
ตอนที่ 38 : หนุ่มเป่าขลุ่ย
หลังจากยูยะได้ออกจากห้องประชุม การประชุมก็เริ่มขึ้นต่อ คล้ายกับว่าราชันบูรพา บอสไม่ได้สนใจการกระทำของยูยะที่แสดงต่อตนเลย
โดยในที่ประชุมบอสได้แสดงให้เห็นถึงจุดยืนของตน ซึ่งเขาต้องการที่จะโค่นล้มโรงเรียนประจิมสวัสดิ์ให้ได้ จึงได้สั่งการแก่หนึ่งในผู้คุมกฎที่เหลือให้ดำเนินการนี้
==================
ชายคนหนึ่งก้าวเดินเข้าไปในโรงเรียนประจิมสวัสดิ์
ทันทีที่เขาเข้าไป เหล่านักเรียนนักเลงที่พบเห็นต่างตื่นตระหนก และรู้ตัวว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่
นั่นเพราะคนผู้นี้สวมใส่เสื้อช็อปสีเทาที่มีแถบสีดำคาดที่แขนซ้ายหนึ่งแถบ
แน่นอนว่าเสื้อช็อปนี้คือ เสื้อช็อปประจำตำแหน่งผู้คุมกฎของจักรวรรดิบูรพา ทำให้เหล่านักเรียนนักเลงและผู้เคยพบเห็นผู้คุมกฎ ซ่อนดาบในรอยยิ้ม ชา ที่มาบุกครั้งที่แล้วต่างหวาดวิตก เพราะรู้ซึ้งว่าฝีมือของผู้คุมกฎของจักรวรรดิบูรพาไม่ใช่ธรรมดา
แต่ทว่าในครั้งนี้ไม่เหมือนเช่นครั้งก่อน ครั้งที่ชาบุกมาเขาได้ยกพวกติดตามมาด้วยแปดคน และครั้งที่ยูยะมาก็มีลูกน้องติดสอยห้อยตามมาด้วย
ในครั้งนี้ช่างผิดแปลก คนผู้นี้ก้าวเดินอย่างหาญกล้ามาเพียงคนเดียว ไม่มีผู้อื่นติดตามให้พบเห็น
ซึ่งพอมีการบุกอย่างนี้ขึ้นก็ต้องมีการขัดขวางจากนักเรียนนักเลงของฝั่งประจิมสวัสดิ์อยู่บ้าง
นักเรียนนักเลงรูปร่างใหญ่โตสามคนเดินตรงเข้าหาชายเสื้อช็อปจากจักรวรรดิบูรพา หยุดขวางหน้าเขาเอาไว้
หนึ่งในชายร่างใหญ่พูดขึ้นว่า
“ฉันรู้ว่าแกคือ ผู้คุมกฎของจักรวรรดิบูรพา..”
ชายคนนั้นพยักหน้ารับ แต่ก็ไม่พูดอะไร
อีกคนในชายร่างใหญ่พูดต่อว่า “แกคงต้องมาถล่มโรงเรียนเราสินะ”
ชายเสื้อช็อปพยักหน้ารับอีกครั้ง
แล้วชายร่างใหญ่คนที่สามก็พูดขึ้นว่า “คงปล่อยให้แกทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะแกจะต้องโดนจัดการ”
พูดจบทั้งสามต่างกรูเข้าหาชายเสื้อช็อปอย่างพร้อมเพรียง
แต่ทันทีที่พวกเขาพุ่งเข้าไปก็ถูกชายเสื้อช็อปใช้ของที่อยู่ในมือฟาดเข้าใส่จนต้องถอยห่างออกไป
“หนอย..” ทั้งสามมองเขา แล้วหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นว่า “แกใช้ขลุ่ยเรอะ หรือว่าแกคือ ขลุ่ยพิฆาต โจ”
ชายผู้นั้นยิ้มเล็ก ๆ ผงกศีรษะเล็กน้อย
ที่แท้แล้วผู้คุมกฎคนนี้คือ โจ ผู้มีฉายาว่า ขลุ่ยพิฆาต นั่นเอง เขาได้รับคำสั่งให้มาบุกโรงเรียนประจิมสวัสดิ์
“ระดับพวกนายสู้ฉันไม่ได้หรอก” ขลุ่ยพิฆาต โจพูดขึ้นบ้าง “ฉันไม่ค่อยอยากทำร้ายใคร นักเลงอย่างพวกนายคงรู้จักจักรพรรดิประจิมสินะ ไปเรียกเขามาดีกว่า”
ทั้งสามรู้ตัว พวกเขาสู้โจไม่ได้อยู่แล้ว รีบออกจากที่นี่ เพื่อไปตามคนมาจัดการแทน
เมื่อไม่มีผู้ใดขวางโจก็ก้าวเดินต่อไป ซึ่งเขาต้องการที่จะไปตึกสี่ ตึกของสายวิทย์-คณิต เพราะเขาล่วงรู้มาว่าผู้เป็นจักรพรรดินั้นเรียนอยู่สายนี้
แต่ทว่าไม่ทันที่เขาจะไปถึงตึกสี่ก็พบเจอกับคนผู้หนึ่งก่อน
คนผู้นี้รูปร่างไม่สูงใหญ่ ไม่เล็ก ไม่อ้วน ไม่ผอม ไม่บอบบาง ที่มีใบหน้าสวยคล้ายผู้หญิง
หากบอกว่าคล้ายผู้หญิง คนผู้นี้ย่อมไม่ใช่ผู้หญิง เพราะเขาคือ บุรุษสองร่าง เร
เรย่อมรู้ว่าชายเสื้อช็อปผู้นี้เป็นผู้คุมกฎของจักรวรรดิบูรพา เมื่อเขาเห็นจึงเข้ามาขวาง
“นายมาที่นี่ทำไม?” เรพูดกับโจ
“มาบุกโรงเรียนนาย...” โจตอบพลางมองดูเร “แต่ฉันไม่ต้องการที่จะทำร้ายใคร นายไปเรียกจักรพรรดิมาเจอฉันเลยดีกว่า”
“หือ?” เรมอง “นายมาคนเดียว กล้ามาบุกโรงเรียนเราเชียวหรือ..”
“นี่คือวิถีทางของฉัน หากฉันต้องการบุกไม่จำเป็นต้องใช้พวกมากเข้าจู่โจมให้วุ่นวาย หรือจะใช้แผนการอะไรให้ยุ่งยาก แค่เดินเข้าไปหา แล้วท้าต่อสู้ตัวต่อตัวอย่างลูกผู้ชายก็พอแล้ว”
“อืม...” เรนิ่ง มองดูชายหนุ่มตรงหน้า เขารู้สึกว่าผู้คุมกฎคนนี้ผิดแปลกกว่าผู้อื่นที่เขาพบเจอมา เขาพูดขึ้นต่อ “แล้วถ้าฉันจะสู้กับนาย จะได้ไหมล่ะ?”
โจมองหน้าเขา พูดขึ้นว่า “น่าจะได้ ระดับนายคงดีกว่าไอ้สามคนที่มาขวางฉัน”
“ดี งั้นสู้กันตรงนี้ก็ได้ ช่วงนี้ไม่น่ามีใครขวางด้วย” เรพูดพร้อมเต้นไปมา ตั้งท่าเตรียมต่อสู้
“ได้ แจ้งชื่อนายมา ฉันโจ ฉายาขลุ่ยพิฆาต”
“เอ่อ... ฉัน เร ที่นี่ให้ฉายาฉันว่า บุรุษสองร่าง”
“บุรุษสองร่าง เร หรือ...” โจว่า แล้วขยับมือกระทำอย่างหนึ่ง
สิ่งที่เขาทำสร้างความประหลาดใจแก่เร เพราะเขาไม่ได้ตั้งท่าเตรียมต่อสู้ใด ๆ หากทำสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าจะทำในช่วงที่กำลังต่อสู้อย่างนี้
โจยกขลุ่ยขึ้นเป่า
พลันเสียงดนตรีจากเครื่องเป่าก็ดังบรรเลงขึ้นอย่างเพราะพลิ้ง โจขยับนิ้วไปมาส่งท่วงทำนองเสนาะหูให้เรฟัง
บุรุษสองร่าง เรคล้ายเคลิบเคลิ้มกับเสียงขลุ่ยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่พอนึกได้ว่าตัวเองท้าต่อสู้กับโจ สะบัดหน้าละทิ้งท่วงทำนอง แล้วพูดขึ้นว่า
“นี่นายจะไม่สู้หรือ?”
โจไม่ตอบเรไปทันที เขาขยับนิ้วไปมาควบคุมเสียงขลุ่ยอย่างรวดเร็ว แล้วเป่าขลุ่ยออกมาจนเป็นเสียงคล้ายคำว่า “ไม่ใช่”
เหมือนเรจะพอเข้าใจ เขาพูดต่อว่า
“จะสู้ทั้งที่เป่าขลุ่ยหรือ?”
โจพยักหน้าลง ขยับนิ้วเป็นจังหวะตอบรับ
ดังนั้น พอสิ้นการตอบรับของโจนี้ บุรุษสองร่าง เรก็พุ่งตัวเข้าหาทันที
เรเต้นไปมาพุ่งใส่พร้อมตีลังกากลับหัวเตะอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าโจกลับหลบได้อย่างสบาย เขาไม่เพียงไม่หยุดเป่าขลุ่ย ยังทำท่าคล้ายไม่ต่อสู้อยู่ เป่าขลุ่ยบรรเลงพลางขยับตัวตามจังหวะดนตรีที่ตัวเองเล่นนั้น การเคลื่อนไหวของโจช่างเป็นจังหวะคล้ายคลึงกับการเต้นลีลาศมากทีเดียว
เรไม่หยุดแค่นั้น เขาม้วนตัวเตะเข้าใส่ต่อเป็นระลอกสอง ระลอกสาม
แต่เพียงโจขยับขาไปมาอย่างเป็นจังหวะ ก็หลบหลีการโจมตีเหล่านั้นได้อย่างไม่มีปัญหา
เรคงเห็นว่าการโจมตีของตนไม่สามารถกระทบถูกคู่ต่อสู้ จึงใช้มือม้วนตัวพลิกเปลี่ยนท่าเข้าจู่โจมโจให้รุนแรงมากขึ้น
ในคราวนี้เรพุ่งตัวเข้าใส่พร้อมบิดตัวเป็นเกลียวเข้าหาโจเหมือนดั่งจรวด ซึ่งครั้งนี้ทั้งเร็วและรุนแรงมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ครานี้โจไม่อาจขยับหลบแบบเดิมได้ หยุดเป่าขลุ่ยใช้เครื่องเป่าในมือนั้นปัดแข้งขาที่พุ่งเข้ามาของเรให้เปลี่ยนทิศทาง พุ่งไปอีกด้านจนพ้นการโจมตีนั้น
จากนั้นขลุ่ยพิฆาต โจก็ยกขลุ่ยขึ้นมาเป่าต่อไป
เรค่อย ๆ ลุกขึ้นมา เขาไม่ได้บาดเจ็บอันใด เพียงล้มลงเนื่องจากการปัดป้องของโจที่เปลี่ยนทิศทางให้ถลาไปทางอื่น
“ร้ายกาจ” เรพูดขึ้น “ฝีมือของผู้คุมกฎของจักรวรรดิบูรพาแต่ละคนไม่ใช่ธรรมดาอย่างที่ล่ำลือจริง ๆ”
โจยิ้มตอบรับ พร้อมบรรเลงเพลงอีกเพลงหนึ่งขึ้นมา
เพลงนี้ท่วงทำนองและจังหวะเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงแรก โดยช่วงแรกตอนที่โจรับมือเรนั้นเป็นจังหวะหนักแน่นฉับไว คล้ายจังหวะเพลงปลุกระดมพร้อมทำศึก ส่วนเพลงนี้นั้นช่างตรงกันข้ามกับเพลงแรกเลย เพลงนี้ท่วงทำนองเบาบาง ไม่รุนแรง คล้ายปุ้ยเมฆอันอ่อนนุ่มพลิ้วไหวลอยไปตามลม
เรฟังเพลงก็พอรับรู้ เขาใช้คาโปเอร่าย่อมใช้ท่วงทำนองและจังหวะของเสียงดนตรีประกอบ พอรู้ว่าเพลงนี้ไม่น่าจะเป็นเพลงที่ใช้ในการต่อสู้เลย มันคล้ายเป็นเพลงที่ใช้ฟังเพื่อผ่อนคลายให้จิตใจสงบมากกว่า
“นี่นายไม่ต้องการจะสู้กับฉันแล้วหรือ?” เรถาม
โจผงกศีรษะเล็กน้อย ขยับนิ้วพร้อมเป่าขลุ่ยเป็นเสียงคล้ายคำว่า “ใช่”
“ทำไม?”
โจไม่ได้ตอบโดยทันที เขาบรรเลงเพลงต่อไปช่วงหนึ่ง ซึ่งในช่วงนี้เรก็ไม่ได้เข้าโจมตีต่อ นิ่งรอและฟังเพลงจากคู่ต่อสู้เท่านั้น
เมื่อเพลงจบ โจก็พูดขึ้นมาว่า
“ฉันไม่อยากสู้ถ้าไม่จำเป็น คนที่ฉันต้องการสู้จริง ๆ มีแค่คนเดียว ...จักรพรรดิแห่งประจิมสวัสดิ์”
“งั้นหรือ?”
เสียงนี้ไม่ใช่เสียงของเรที่ตอบ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาแทรกการสนทนาของทั้งสอง
แม้ทั้งสองจะต่อสู้กันอยู่ แต่ทว่าไม่ล่วงรู้ถึงการมาของคนผู้นี้ แสดงว่าผู้พูดนั้นต้องไม่ใช่ธรรมดา
แต่ผู้ที่ปรากฏนี้ไม่ใช่จักรพรรดิประจิมสวัสดิ์ที่โจต้องการสู้ หากเป็นคนผู้หนึ่งที่มีฝีมือไม่ยิ่งหย่อนและไม่ธรรมดา
คนผู้นี้คือ โปรเฟสเซอร์ แจ็ค สี่ขุนพลแห่งสายวิทย์-คณิตของประจิมสวัสดิ์
(มีต่อครับ)
TWO TOP สองอันตราย - [บทประจิมปะทะบูรพา] - ตอนที่ 38 : หนุ่มเป่าขลุ่ย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากยูยะได้ออกจากห้องประชุม การประชุมก็เริ่มขึ้นต่อ คล้ายกับว่าราชันบูรพา บอสไม่ได้สนใจการกระทำของยูยะที่แสดงต่อตนเลย
โดยในที่ประชุมบอสได้แสดงให้เห็นถึงจุดยืนของตน ซึ่งเขาต้องการที่จะโค่นล้มโรงเรียนประจิมสวัสดิ์ให้ได้ จึงได้สั่งการแก่หนึ่งในผู้คุมกฎที่เหลือให้ดำเนินการนี้
ทันทีที่เขาเข้าไป เหล่านักเรียนนักเลงที่พบเห็นต่างตื่นตระหนก และรู้ตัวว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่
นั่นเพราะคนผู้นี้สวมใส่เสื้อช็อปสีเทาที่มีแถบสีดำคาดที่แขนซ้ายหนึ่งแถบ
แน่นอนว่าเสื้อช็อปนี้คือ เสื้อช็อปประจำตำแหน่งผู้คุมกฎของจักรวรรดิบูรพา ทำให้เหล่านักเรียนนักเลงและผู้เคยพบเห็นผู้คุมกฎ ซ่อนดาบในรอยยิ้ม ชา ที่มาบุกครั้งที่แล้วต่างหวาดวิตก เพราะรู้ซึ้งว่าฝีมือของผู้คุมกฎของจักรวรรดิบูรพาไม่ใช่ธรรมดา
แต่ทว่าในครั้งนี้ไม่เหมือนเช่นครั้งก่อน ครั้งที่ชาบุกมาเขาได้ยกพวกติดตามมาด้วยแปดคน และครั้งที่ยูยะมาก็มีลูกน้องติดสอยห้อยตามมาด้วย
ในครั้งนี้ช่างผิดแปลก คนผู้นี้ก้าวเดินอย่างหาญกล้ามาเพียงคนเดียว ไม่มีผู้อื่นติดตามให้พบเห็น
ซึ่งพอมีการบุกอย่างนี้ขึ้นก็ต้องมีการขัดขวางจากนักเรียนนักเลงของฝั่งประจิมสวัสดิ์อยู่บ้าง
นักเรียนนักเลงรูปร่างใหญ่โตสามคนเดินตรงเข้าหาชายเสื้อช็อปจากจักรวรรดิบูรพา หยุดขวางหน้าเขาเอาไว้
หนึ่งในชายร่างใหญ่พูดขึ้นว่า
“ฉันรู้ว่าแกคือ ผู้คุมกฎของจักรวรรดิบูรพา..”
ชายคนนั้นพยักหน้ารับ แต่ก็ไม่พูดอะไร
อีกคนในชายร่างใหญ่พูดต่อว่า “แกคงต้องมาถล่มโรงเรียนเราสินะ”
ชายเสื้อช็อปพยักหน้ารับอีกครั้ง
แล้วชายร่างใหญ่คนที่สามก็พูดขึ้นว่า “คงปล่อยให้แกทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะแกจะต้องโดนจัดการ”
พูดจบทั้งสามต่างกรูเข้าหาชายเสื้อช็อปอย่างพร้อมเพรียง
แต่ทันทีที่พวกเขาพุ่งเข้าไปก็ถูกชายเสื้อช็อปใช้ของที่อยู่ในมือฟาดเข้าใส่จนต้องถอยห่างออกไป
“หนอย..” ทั้งสามมองเขา แล้วหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นว่า “แกใช้ขลุ่ยเรอะ หรือว่าแกคือ ขลุ่ยพิฆาต โจ”
ชายผู้นั้นยิ้มเล็ก ๆ ผงกศีรษะเล็กน้อย
ที่แท้แล้วผู้คุมกฎคนนี้คือ โจ ผู้มีฉายาว่า ขลุ่ยพิฆาต นั่นเอง เขาได้รับคำสั่งให้มาบุกโรงเรียนประจิมสวัสดิ์
“ระดับพวกนายสู้ฉันไม่ได้หรอก” ขลุ่ยพิฆาต โจพูดขึ้นบ้าง “ฉันไม่ค่อยอยากทำร้ายใคร นักเลงอย่างพวกนายคงรู้จักจักรพรรดิประจิมสินะ ไปเรียกเขามาดีกว่า”
ทั้งสามรู้ตัว พวกเขาสู้โจไม่ได้อยู่แล้ว รีบออกจากที่นี่ เพื่อไปตามคนมาจัดการแทน
เมื่อไม่มีผู้ใดขวางโจก็ก้าวเดินต่อไป ซึ่งเขาต้องการที่จะไปตึกสี่ ตึกของสายวิทย์-คณิต เพราะเขาล่วงรู้มาว่าผู้เป็นจักรพรรดินั้นเรียนอยู่สายนี้
แต่ทว่าไม่ทันที่เขาจะไปถึงตึกสี่ก็พบเจอกับคนผู้หนึ่งก่อน
คนผู้นี้รูปร่างไม่สูงใหญ่ ไม่เล็ก ไม่อ้วน ไม่ผอม ไม่บอบบาง ที่มีใบหน้าสวยคล้ายผู้หญิง
หากบอกว่าคล้ายผู้หญิง คนผู้นี้ย่อมไม่ใช่ผู้หญิง เพราะเขาคือ บุรุษสองร่าง เร
เรย่อมรู้ว่าชายเสื้อช็อปผู้นี้เป็นผู้คุมกฎของจักรวรรดิบูรพา เมื่อเขาเห็นจึงเข้ามาขวาง
“นายมาที่นี่ทำไม?” เรพูดกับโจ
“มาบุกโรงเรียนนาย...” โจตอบพลางมองดูเร “แต่ฉันไม่ต้องการที่จะทำร้ายใคร นายไปเรียกจักรพรรดิมาเจอฉันเลยดีกว่า”
“หือ?” เรมอง “นายมาคนเดียว กล้ามาบุกโรงเรียนเราเชียวหรือ..”
“นี่คือวิถีทางของฉัน หากฉันต้องการบุกไม่จำเป็นต้องใช้พวกมากเข้าจู่โจมให้วุ่นวาย หรือจะใช้แผนการอะไรให้ยุ่งยาก แค่เดินเข้าไปหา แล้วท้าต่อสู้ตัวต่อตัวอย่างลูกผู้ชายก็พอแล้ว”
“อืม...” เรนิ่ง มองดูชายหนุ่มตรงหน้า เขารู้สึกว่าผู้คุมกฎคนนี้ผิดแปลกกว่าผู้อื่นที่เขาพบเจอมา เขาพูดขึ้นต่อ “แล้วถ้าฉันจะสู้กับนาย จะได้ไหมล่ะ?”
โจมองหน้าเขา พูดขึ้นว่า “น่าจะได้ ระดับนายคงดีกว่าไอ้สามคนที่มาขวางฉัน”
“ดี งั้นสู้กันตรงนี้ก็ได้ ช่วงนี้ไม่น่ามีใครขวางด้วย” เรพูดพร้อมเต้นไปมา ตั้งท่าเตรียมต่อสู้
“ได้ แจ้งชื่อนายมา ฉันโจ ฉายาขลุ่ยพิฆาต”
“เอ่อ... ฉัน เร ที่นี่ให้ฉายาฉันว่า บุรุษสองร่าง”
“บุรุษสองร่าง เร หรือ...” โจว่า แล้วขยับมือกระทำอย่างหนึ่ง
สิ่งที่เขาทำสร้างความประหลาดใจแก่เร เพราะเขาไม่ได้ตั้งท่าเตรียมต่อสู้ใด ๆ หากทำสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าจะทำในช่วงที่กำลังต่อสู้อย่างนี้
โจยกขลุ่ยขึ้นเป่า
พลันเสียงดนตรีจากเครื่องเป่าก็ดังบรรเลงขึ้นอย่างเพราะพลิ้ง โจขยับนิ้วไปมาส่งท่วงทำนองเสนาะหูให้เรฟัง
บุรุษสองร่าง เรคล้ายเคลิบเคลิ้มกับเสียงขลุ่ยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่พอนึกได้ว่าตัวเองท้าต่อสู้กับโจ สะบัดหน้าละทิ้งท่วงทำนอง แล้วพูดขึ้นว่า
“นี่นายจะไม่สู้หรือ?”
โจไม่ตอบเรไปทันที เขาขยับนิ้วไปมาควบคุมเสียงขลุ่ยอย่างรวดเร็ว แล้วเป่าขลุ่ยออกมาจนเป็นเสียงคล้ายคำว่า “ไม่ใช่”
เหมือนเรจะพอเข้าใจ เขาพูดต่อว่า
“จะสู้ทั้งที่เป่าขลุ่ยหรือ?”
โจพยักหน้าลง ขยับนิ้วเป็นจังหวะตอบรับ
ดังนั้น พอสิ้นการตอบรับของโจนี้ บุรุษสองร่าง เรก็พุ่งตัวเข้าหาทันที
เรเต้นไปมาพุ่งใส่พร้อมตีลังกากลับหัวเตะอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าโจกลับหลบได้อย่างสบาย เขาไม่เพียงไม่หยุดเป่าขลุ่ย ยังทำท่าคล้ายไม่ต่อสู้อยู่ เป่าขลุ่ยบรรเลงพลางขยับตัวตามจังหวะดนตรีที่ตัวเองเล่นนั้น การเคลื่อนไหวของโจช่างเป็นจังหวะคล้ายคลึงกับการเต้นลีลาศมากทีเดียว
เรไม่หยุดแค่นั้น เขาม้วนตัวเตะเข้าใส่ต่อเป็นระลอกสอง ระลอกสาม
แต่เพียงโจขยับขาไปมาอย่างเป็นจังหวะ ก็หลบหลีการโจมตีเหล่านั้นได้อย่างไม่มีปัญหา
เรคงเห็นว่าการโจมตีของตนไม่สามารถกระทบถูกคู่ต่อสู้ จึงใช้มือม้วนตัวพลิกเปลี่ยนท่าเข้าจู่โจมโจให้รุนแรงมากขึ้น
ในคราวนี้เรพุ่งตัวเข้าใส่พร้อมบิดตัวเป็นเกลียวเข้าหาโจเหมือนดั่งจรวด ซึ่งครั้งนี้ทั้งเร็วและรุนแรงมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ครานี้โจไม่อาจขยับหลบแบบเดิมได้ หยุดเป่าขลุ่ยใช้เครื่องเป่าในมือนั้นปัดแข้งขาที่พุ่งเข้ามาของเรให้เปลี่ยนทิศทาง พุ่งไปอีกด้านจนพ้นการโจมตีนั้น
จากนั้นขลุ่ยพิฆาต โจก็ยกขลุ่ยขึ้นมาเป่าต่อไป
เรค่อย ๆ ลุกขึ้นมา เขาไม่ได้บาดเจ็บอันใด เพียงล้มลงเนื่องจากการปัดป้องของโจที่เปลี่ยนทิศทางให้ถลาไปทางอื่น
“ร้ายกาจ” เรพูดขึ้น “ฝีมือของผู้คุมกฎของจักรวรรดิบูรพาแต่ละคนไม่ใช่ธรรมดาอย่างที่ล่ำลือจริง ๆ”
โจยิ้มตอบรับ พร้อมบรรเลงเพลงอีกเพลงหนึ่งขึ้นมา
เพลงนี้ท่วงทำนองและจังหวะเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงแรก โดยช่วงแรกตอนที่โจรับมือเรนั้นเป็นจังหวะหนักแน่นฉับไว คล้ายจังหวะเพลงปลุกระดมพร้อมทำศึก ส่วนเพลงนี้นั้นช่างตรงกันข้ามกับเพลงแรกเลย เพลงนี้ท่วงทำนองเบาบาง ไม่รุนแรง คล้ายปุ้ยเมฆอันอ่อนนุ่มพลิ้วไหวลอยไปตามลม
เรฟังเพลงก็พอรับรู้ เขาใช้คาโปเอร่าย่อมใช้ท่วงทำนองและจังหวะของเสียงดนตรีประกอบ พอรู้ว่าเพลงนี้ไม่น่าจะเป็นเพลงที่ใช้ในการต่อสู้เลย มันคล้ายเป็นเพลงที่ใช้ฟังเพื่อผ่อนคลายให้จิตใจสงบมากกว่า
“นี่นายไม่ต้องการจะสู้กับฉันแล้วหรือ?” เรถาม
โจผงกศีรษะเล็กน้อย ขยับนิ้วพร้อมเป่าขลุ่ยเป็นเสียงคล้ายคำว่า “ใช่”
“ทำไม?”
โจไม่ได้ตอบโดยทันที เขาบรรเลงเพลงต่อไปช่วงหนึ่ง ซึ่งในช่วงนี้เรก็ไม่ได้เข้าโจมตีต่อ นิ่งรอและฟังเพลงจากคู่ต่อสู้เท่านั้น
เมื่อเพลงจบ โจก็พูดขึ้นมาว่า
“ฉันไม่อยากสู้ถ้าไม่จำเป็น คนที่ฉันต้องการสู้จริง ๆ มีแค่คนเดียว ...จักรพรรดิแห่งประจิมสวัสดิ์”
“งั้นหรือ?”
เสียงนี้ไม่ใช่เสียงของเรที่ตอบ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาแทรกการสนทนาของทั้งสอง
แม้ทั้งสองจะต่อสู้กันอยู่ แต่ทว่าไม่ล่วงรู้ถึงการมาของคนผู้นี้ แสดงว่าผู้พูดนั้นต้องไม่ใช่ธรรมดา
แต่ผู้ที่ปรากฏนี้ไม่ใช่จักรพรรดิประจิมสวัสดิ์ที่โจต้องการสู้ หากเป็นคนผู้หนึ่งที่มีฝีมือไม่ยิ่งหย่อนและไม่ธรรมดา
คนผู้นี้คือ โปรเฟสเซอร์ แจ็ค สี่ขุนพลแห่งสายวิทย์-คณิตของประจิมสวัสดิ์
(มีต่อครับ)