พิพากษาลงโทษจำเลยอย่างรุนแรงที่สุดอีกหลังมรณกรรม


การประหารชีวิต Oliver Cromwell,
Henry Ireton  และ John Bradshaw
ในปีค.ศ. 1661



Oliver Cromwell ผู้ปกครองหมายเลข 1
จักรภพอังกฤษ สก็อตแลนด์และไอร์แลนด์
ชาตะวันที่ 25 เมษายน ค.ศ.1599
ที่ Huntington แคว้น Cambridge
มตะวันที่ 3 กันยายน ค.ศ.1658
ด้วยโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
ถูกประหารชีวิตวันที่ 30 มกราคม ค.ศ.1661
หลังจากตายไปแล้วกว่า 2 ปี
เหตุการณ์นี้ ทำให้ Oliver Cromwell
คือ บุคคลหนึ่งในจำนวนคนเพียงไม่กี่ราย
ที่ถูกประหารชีวิตหลังมรณกรรม


แม้ว่า มีหลายเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้
ที่เคยเกิดขึ้นในหลายแห่งทั่วทุกมุมโลก
ที่คนตายไปแล้วต้องรับโทษประหารชีวิตอีกครั้ง
หรือถูกลงโทษอย่างรุนแรงตามคำพิพากษา
เป็นการแสดงออกเชิงสัญญลักษณ์ว่า
จำเลยต้องรับโทษตายอีกครั้ง
ทั้งนี้เพราะเกิดจากความบ้าคลั่งของฝูงชน
ที่ตัดสินใจทำ เช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ
Grigori Rasputin ที่ตายแล้ว
ยังถูกนำศพขึ้นมาทำลายทิ้ง
เพื่อให้แน่ใจว่าตายสนิท

จอมพลแห่งราชอาณาจักรปรัสเซีย
Gebhard Leberecht von Blücher
ที่สุสานถูกกองทัพโซเวียตรัสเซีย
ทำลายในปีค.ศ.1945 เพื่อบหลู่เกียรติยศ
และศักดิ์ศรีของคนตายที่เคยชนะศึกรัสเซีย


มีหลายคดีที่เคยเกิดขึ้นมาในแบบเดียวกันนี้
ที่มีการพิจารณาพิพากษาคดี
ตัดสินลงโทษอย่างรุนแรงหลังมรณกรรม
โดยคณะผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่รัฐ
ที่ดำเนินกระบวนพิจารณาคดี
ลับหลังจำเลยที่ตายไปแล้ว
เพราะรู้สึกว่าคนตายหลบหนีความยุติธรรม


1. Oliver Cromwell


Oliver Cromwell กับกระโหลกศีรษะ
ที่ถูกเสียบประจานหลังมรณกรรม



Oliver Cromwell ผู้เปลี่ยนผ่านศตวรรษที่ 17
หลังจากที่อังกฤษเปลี่ยนนิกายศาสนาคริตส์
เป็น Protestant นิกาย Church of England
โดยกษัตริย์ที่ยังเชื่อมั่นในเรื่องพระผู้เป็นเจ้า
แต่ไม่ยอมรับว่า Pope พระสันตปาปา
ที่กรุงโรมอันศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้นำศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค คือ ตัวแทนของพระเจ้า
มีสิทธิต่าง ๆ เหนือกว่ากษัตริย์ทั้งปวงในยุโรป


Oliver Cromwell เป็นผู้ยึดมั่นในศาสนา
และปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดมานานกว่า 20 ปี
ได้ตั้งข้อสังเกตว่า King Charles I
ประพฤติตนเป็นชาว Catholic มากเกินไป
โดยบทบาททางการเมืองและการปกครอง
ของ King Charles I มีการเรียกเก็บภาษี
โดยไม่ผ่านการพิจารณาอนุมัติโดยรัฐสภา
ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีบัญญัติไว้
ในกฎบัตร Magna Carta ของอังกฤษ

เรื่องภาษีทำให้เกิดความเกลียดชัง
และหวาดระแวงในหมู่ของ Oliver Cromwell
ที่คิดว่าการกระทำของ King Charles I
คือ ระบอบราชาธิปไตยแบบเผด็จการสูงสุด
ทำให้เกิดสงครามกลางเมือง
ระหว่างทั้งสองฝ่ายในเวลาต่อมา

ฝ่ายของ King Charles I พ่ายแพ้
และถูกรัฐประหารในที่สุด
Oliver Cromwell กลายเป็นผู้นำรัฐสภา
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพ
และ 1 ในสมาชิกจำนวน  59 คน
ที่ลงนามอนุมัติประหารชีวิต King Charles I

หลังเหตุการณ์ประหารชีวิตกษัตริย์แล้ว
เครือจักรภพอังกฤษก็เกิดยุคสมัย
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง
จากระบอบราชาธิปไตยเป็นระบอบใหม่
โดย Oliver Cromwell คือ เจ้าอารักขา
/เจ้าผู้พิทักษ์ Lord Protector
มีบทบาทในการเมืองการปกครอง
จนกระทั่งตายในเวลาอีก 5 ปีต่อมา
บุตรชาย Oliver Cromwell ก็ขึ้นมา
รับช่วงอำนาจต่อจากพ่อ
แต่ก็เพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
เพียงไม่เกินกว่า 1 ปีเท่านั้น
ก็ถูกล้มล้างอำนาจลงโดยฝ่ายทหารนิยมเจ้า
ทึ่นำระบอบราชาธิปไตยกลับมาใช้อีกครั้ง
โดยให้ Charles II ขึ้นเป็นกษัตริย์

ในทันทีที่ขึ้นครองราชย์
King Charles II ได้สั่งให้มีการจับกุม
และพิจารณาพิพากษาทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ
การล้มล้างอำนาจราชาธิปไตยกษัตริย์องค์ก่อน
จำเลย 59 คนที่ลงนามอนุมัติการประหารชีวิต
ทุกคนจะถูกจับประหารชีวิต
ส่วนจำเลยคนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมในครั้งนั้น
ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต
แม้กระทั่งจำเลยบางราย
ที่มีส่วนในคดีนั้นจะตายไปแล้วก็ตาม
ยังมีการขุดศพขึ้นมาจากหลุมฝังศพส่วนตัว
แล้วนำไปฝังยังสุสานรวมสาธารณะ
เป็นการลบหลู่เกียรติยศของผู้ตาย
และครอบครัวเสมือนศพคนไร้ญาติ

ในที่สุด Oliver Cromwell กับพวกอีก 3 ราย
John Bradshaw ประธานผู้พิพากษา
Henry Ireton แม่ทัพกองทัพฝ่ายรัฐสภา
และเป็นบุตรเขยของ Oliver Cromwell
Robert Blake ผู้บัญชาการกองทัพฝ่ายรัฐสภา
ทุกคนต่างต้องรับโทษประหารชีวิต



ใบมรณะบัตรของ King Charles I of England
ที่มีรอยตราประทับและลายมือชื่อ
ของ Oliver Cromwell ที่ 3 ด้านล่างซ้าย



ในวันครบรอบ 12 ปี
หลังการสวรรคต King Charles I
ศพของ Olever  Cromwell ถูกขุดขึ้นมา
จากสุสานหลวง Westminster Abbey
แล้วนำศพมาแขวนคอกับโซ่เหล็กที่ Tyburn
ในตอนบ่าย  ศพถูกนำลงมาตัดหัว
แล้วนำร่างศพไปทำการเผาทิ้ง
ส่วนหัวของ Oliver Cromwell
ถูกเสียบประจานกับท่อนไม้สูง 20 ฟุตนานกว่า 25 ปี
วางเด่นเป็นสง่าเหนือ Westminster Hall
หลังจากปลดหัวลงมา กินเวลาร่วม 300 กว่าปี
ที่หัวกระโหลก Oliver Cromwell
มีการเปลี่ยนผ่านมือผู้ครอบครองหลายคน

จนกระทั่งในปี ค.ศ.1960
จึงมีพิธีฝังหัวกระโหลก Oliver Cromwell
อย่างสมเกียรติ ณ สุสานลับแห่งหนึ่ง
ใน Sidney Sussex College แคว้น Cambridge




2. Pope Formosus



การพิจารณาคดีหลังมรณกรรมของ Pope Formosus



Pope Formosus ดำรงตำแหน่งเป็น Bishop of Rome
ช่วงปี ค.ศ.891 จนกระทั่งมตะในปีค.ศ. 896
ในทันทีที่ขึ้นครองอำนาจเป็นพระสันตปาปา
Pope  Formosus  กลับหมกมุ่น
แต่เรื่องการโต้เถียงและขัดแย้งกับ
จักรพรรดิ์โรมันศักดิ์สิทธิ์ Holy Roman Empire
และจักรพรรดิ์ไบเซ้นไทน์ Byzantine Emperors
โดยถือว่าพระสันตปาปา
ต้องเหนือกว่าจักรพรรดิ์ทั้ง 2 พระองค์
เพราะเชื่อว่าพระองค์คือตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า
ที่มอบหมายให้พระองค์ลงมาปกครองดูแลชาวโลก


ยิ่งจักรพรรดิแห่งโรมัน Guy III มีอำนาจเพิ่มมากยิ่งขึ้น
Pope Formosus ยิ่งไม่ไว้วางใจอย่างแรง

Pope Formosus จึงได้ชักชวน Arnulf of Carinthia
ให้บุกคาบสมุทรอิตาลีและปลดปล่อยอิตาลี
ออกจากการควบคุมของจักรพรรดิ์โรมันอันศักดิ์สิทธิ์
การรบของ Arnulf of Carinthia ประสบความสำเร็จ
เพราะเรื่องที่บังเอิญและโชคดี
ที่  Guy III สิ้นพระชนม์กระทันหัน
ทำให้ Arnulf of Carinthia เส้นทางเปิดโล่ง
ได้ขึ้นไปนั่งบนบัลลังค์สูงสุดของจักรพรรดิ์โรมัน
Pope Formosus ยิ่งมีความสุขมากยิ่งขึ้น
ยิ่งได้สวมมงกุฎให้ Arnulf of Carinthia
เป็นจักรพรรดิ์องค์ใหม่ ยิ่งแสดงนัยว่า
พระสันตปาปามีอำนาจเหนือกว่าจักรพรรดิ์


ในขณะเดียวกัน Lambert พระโอรส Guy III
ต้องถูกขับไล่ออกนอกประเทศ
Arnulf of Carinthia ก็ยิ่งรุกรบลงทางตอนใต้อีก
แต่แล้วเกิดอาการเส้นเลือดสมองอุดตัน
ทำให้ Arnulf of Carinthia ต้องยกทัพ
กลับไปที่ Bavaria ดังเดิมเพื่อรักษาตัว
ในปีเดียวกันนี้ Pope  Formosus  ก็สิ้นพระชมน์
Lambert จึงได้หวนคืนทวงอำนาจกลับมาอีกครั้ง
และได้ขึ้นครองราชย์อาณาจักรโรมันศักดิ์สิทธิ์


จักรพรรดิ์ Lambert ได้ตัดสินพระทัยว่า
Pope Formosus  มีความผิดฐานกบฏ
จำเป็นต้องถูกพิจารณาคดีเพื่อลงโทษ
ข้อหาต่อต้านจักรพรรดิ์โรมันอันศักดิ์สิทธิ์
โดยละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า Pope Formosus
สิ้นพระชมม์ไปนานกว่า 9 เดือนแล้ว
แต่ก็ยังมีการจัดตั้งศาลจำลองขึ้นมา
ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า Cadaver Synod โดย
Pope Stephen VI พระสันตะปาปาองค์ใหม่
ยอมทำตามคำสั่งของจักรรพรรดิ์ Lambert


พระวรกาย Pope Formosus
เริ่มย่อยสลายไปบางส่วนแล้ว
ถูกขุดขึ้นมาให้ทรงเครื่องแบบ
ของพระสันตะปาปาชุดเดิมในอดีต
และจัดท่าให้อดีตพระสันตปาปา
ทรงนั่งบนบัลลังก์เป็นจำเลย

เรื่องนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลย
Pope Formosus ถูกตัดสินว่ามีความผิด
แล้วให้ถอดเสื้อคลุม/ถอดยศของพระสันตะปาปา

Pope Stephen VI มีคำสั่ง
ให้ตัดนิ้วมือขวา 3 นิ้ว
แล้วให้โยนศพลงในแม่น้ำ Tiber




3. Gilles van Ledenberg



การแขวนคอ Gillis van Leedenberg หลังมรณกรรม



Gilles van Ledenberg เป็นรัฐมนตรีรัฐ Utrecht
ขณะที่ยังทำงานอยู่ก็ถูกจับกุมในปี ค.ศ. 1618
ด้วยข้อหาก่อให้เกิดความไม่สงบทางสังคม
ในช่วงระยะเวลา 12 ปีของ Truce
เป็นยุคการสู้รบของชาวดัชต์
เพื่อปลดแอกอิสรภาพจากสเปน

Gilles van Ledenberg กลัวว่า
จะถูกลงโทษและถูกทรมาน
จึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย  
คิดว่าการตายจะทำให้ทุกอย่างยุติลง
การพิจารณาคดีจะสิ้นสุด
และศาลจะไม่สามารถมีคำสั่ง
ยึดทรัพย์สินครอบครัวของตนได้

แต่  Gilles van Ledenberg คิดผิด
เพราะยังคงถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง
และสมรู้ร่วมคิดกับ Johan van Oldenbarnevelt
จำเลยอีกคนที่ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยเช่นกัน
ศพของ Gilles van Ledenberg
ที่ยังคงอยู่ในโลงศพก็ถูกแขวนบนตะแลงแกง




5. John Wycliffe



กระดูกของ John Wycliffe
ถูกขุดขึ้นมาเผาในปี ค.ศ.1428



John Wycliffe มักจะถูกเรียกกันว่า
ดาวรุ่งแห่งการปฏิรูปศาสนา
เป็นหนึ่งในบาทหลวงที่ทรงอิทธิพลที่สุด
ของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก

John Wycliffe ไม่เชื่อมั่น
ในเรื่องอำนาจพระสันตะปาปาอย่างแรง
โดยยืนยันว่าคริสเตียนทุกคนควรพึ่งพาพระคัมภีร์
มากกว่าคำสอนของพระสันตะปาปา/บาทหลวง

John Wycliffe กล้าพูดอย่างกล้าหาญ
เพราะต่อต้านกับสถานะพิเศษของบาทหลวง
ที่กินอยู่กันอย่างฟุ่มเฟือยและหรูหรา
ทั้งการมีพิธีกรรมที่หรูหราฟุ่มเฟือยในโบสถ์

John Wycliffe ยังไม่เห็นด้วยกับ
การที่บาทหลวงต้องเป็นโสด เรื่องการแสวงบุญ
แนวคิดเรื่องสถานที่วิญญาณรับโทษทัณฑ์ก่อนขึ้นสวรรค์
และการสวดมนตร์พิษฐานจากนักบุญต่าง ๆ นานา

John Wycliffe เชื่อว่าวงการบาทหลวงมีการทุจริต
และมีบาทหลวงหลายคนประพฤติผิดศีลธรรม
แต่แสแสร้งว่าประพฤติปฏิบัติตนตามศีลศักดิ์สิทธิ์

มุมมองนอกรีตของ John Wycliffe
ได้สร้างศัตรูที่เกลียดชังได้มากที่สุด


ในปีค.ศ.1415 Council of Constance
ศาลศาสนจักรคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค
มีหน้าที่พิจารณาตัดสินคดีความผิดจำเลย
ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดต่อบทบัญญัติศาสนาคริสต์
หรือผู้ที่ล่วงละเมิดต่อพระผู้เป็นเจ้า  ได้ประกาศว่า

John Wycliffe เป็นคนนอกรีต
และงานเขียนทุกชนิดเป็นหนังสือต้องห้าม
ทั้งยังระบุว่า ร่างกายของ John Wycliffe
ต้องถูกลบออกจากแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์

มีการปฏิบัติตามคำพิพากษานี้ในปีค.ศ.1428
44 ปีหลังมรณกรรมของ John Wycliffe
ศพของ John Wycliffe ถูกขุดขึ้นมาเผา
และกองขี้เถ้าทั้งหมดถูกโยนลงไปในแม่น้ำ


เรียบเรียง/ที่มา


https://bit.ly/2nxEPYw
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่