ได้อ่านคห.๒ ของพี่สาวเหลือน้อยจากกระทู้นี้ว่าด้วยเรื่องกฏหมายที่ว่า แค่ยืนดูเฉยๆ ไม่ห้ามปรามหรือเชียร์ กฏหมายก็เอื้อมมือเข้าไปถึงแล้ว กอร์ปกับกระทู้ของจ่าพิเชษฐ์ที่พึ่งตั้งว่าด้วยจำเลยกับลูกคู่ข้างล่างนี้ ทำให้อดประหวัดไปถึงพระไอยการ (กฏหมาย) เก่าๆ ของไทยตั้งแต่นู้น...สมัยอยุธยามาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ที่มีบัญญัติ "กฏหมายตราสามดวง" ที่ผมเคยอ่านผ่านตามาไม่ได้ กฏหมายสมัยใหม่นี้ผมไม่ประสีประสาอะไรกับเขาหรอก แต่กฏหมายสมัยเก่าก็พออ่านผ่านตามาบ้าง จึงเอามาเล่าสู่กันฟังในเชิง รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหามประมาณนั้นล่ะครับ
ในกฏหมายตราสามดวงที่บัญญัติขึ้นในสมัยร.๑ มีกฏหมายว่าด้วย “โจร ๕ เส้น” เป็นกฏหมายที่ป้องกันการปล้นทรัพย์ได้อย่างดีทีเดียว "๕ เส้น” ที่ว่านี้หมายถึง “ระยะทาง” นะครับ หมายความว่า เมื่อเกิดเหตุปล้นในท้องที่ใด คนที่อาศัยอยู่ในรัศมีของ “จุด” ที่ถูกปล้นในระยะ ๕ เส้น คนที่ในรัศมีนั้นต้องรับผิดชอบ เช่นว่าช่วยปราบโจร ตะโกนบอกราชการ หรือใดๆ ก็แล้วแต่ที่จะขัดขวางการปล้นหรือช่วยเจ้าหน้าที่จับกุมผู้ร้าย ถ้าไม่ทำตามนั้นถือว่ามีความผิด !! ต้องได้รับโทษกันถ้วนหน้า เจ้าของทรัพย์เองก็ผิดด้วยในฐานะที่ประมาทเลิ่นเล่อไม่ดูแลทรัพย์สินตัวเอง !!
จริงๆ แล้วกฏหมายว่าด้วย “โจร ๕เส้น” นี้มีมาก่อนกฏหมายตราสามดวง เป็น พระไอยการที่ตราเอาไว้ตั้งสมัยปลายอยุธยา แต่ร.๑ ท่านทรงมาแก้ไขให้ทันสมัยแล้วประมวลเข้าในกฏหมายตราสามดวง โดยการเพิ่มรัศมีเขตความรับผิดชอบจาก ๓ เส้น และยี่สิบวาอะไรนี่แหละผมจำไม่ได้ (เขียนสดๆ) มาเป็น ๕ เส้น เขาจึงเรียกกฏหมายนั้นว่าโจร ๕ เส้น
พูดถึงความศิวิไลซ์ของกฏหมายสมัยโบราณแล้ว ขอทิ้งท้ายไว้อีกหมวดหนึ่งล่ะกันนะครับ คือบทลงโทษประหารชีวิต แต่ก่อนแม้อำนาจสั่งประหารชีวิตจะถูกพิพากษาโดยเจ้าแห่งแว่นแคว้นก็จริง แต่บางกรณีคำพิพากษาจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อญาติของผู้เสียหายตกลงใจว่าให้ประหารได้เท่านั้น เช่นว่า นายก. ไปฆ่านายข. ตาย แล้วถูกรัฐสั่งประหารชีวิตนายก. แต่เมื่อญาตินาย ข. ผู้ตายไม่ติดใจเอาความไม่เห็นด้วยกับการประหารชีวิต ด้วยเกรงว่าจะเป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน อาจจะมีเงื่อนไขว่า นายก. ต้องช่วยเหลือทำศพนายข. หรือช่วยเหลืออะไรก็แล้วแต่ การประหารชีวิตก็จะไม่เกิดขึ้น ร.แลงกาต์ ที่ปรึกษากฏหมายของ ร.๖ ชาวฝรั่งเศสผู้ศึกษาและผู้ตรวจสอบกฏหมายตราสามดวงและกฏหมายในสมัยอยุธยาอธิบายปรากฏการณ์ตรงนี้ว่า “สิทธิ์ในการแก้แค้น” นั่นก็คือ ญาติของผู้ตายมีสิทธิ์ให้อภัยหรือแก้แค้นต่อฆาตกรที่ฆ่าญาติของตนได้ ปรากฏว่าส่วนใหญ่มักจะให้อภัยแก่นักฆ่าตกรโทษประหารเพราะไม่อยากให้เป็นเวรกรรม ซึ่งก็เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า ฆาตกรก็กลับมาฆ่ามาทำร้ายสังคมอีก สุดท้ายเจ้าแห่งแว่นแคว้นก็รวบอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินประหารชีวิตหรือพระราชทานอภัยโทษมาไว้ที่พระองค์เองเพื่อความสงบสุขของแว่นแคว้น
….โจทก์และจำเลย "สิทธิ์ในการแก้แค้น" /ความศิวิไลซ์ในยุคนู้น....byวัชรานนท์
ในกฏหมายตราสามดวงที่บัญญัติขึ้นในสมัยร.๑ มีกฏหมายว่าด้วย “โจร ๕ เส้น” เป็นกฏหมายที่ป้องกันการปล้นทรัพย์ได้อย่างดีทีเดียว "๕ เส้น” ที่ว่านี้หมายถึง “ระยะทาง” นะครับ หมายความว่า เมื่อเกิดเหตุปล้นในท้องที่ใด คนที่อาศัยอยู่ในรัศมีของ “จุด” ที่ถูกปล้นในระยะ ๕ เส้น คนที่ในรัศมีนั้นต้องรับผิดชอบ เช่นว่าช่วยปราบโจร ตะโกนบอกราชการ หรือใดๆ ก็แล้วแต่ที่จะขัดขวางการปล้นหรือช่วยเจ้าหน้าที่จับกุมผู้ร้าย ถ้าไม่ทำตามนั้นถือว่ามีความผิด !! ต้องได้รับโทษกันถ้วนหน้า เจ้าของทรัพย์เองก็ผิดด้วยในฐานะที่ประมาทเลิ่นเล่อไม่ดูแลทรัพย์สินตัวเอง !!
จริงๆ แล้วกฏหมายว่าด้วย “โจร ๕เส้น” นี้มีมาก่อนกฏหมายตราสามดวง เป็น พระไอยการที่ตราเอาไว้ตั้งสมัยปลายอยุธยา แต่ร.๑ ท่านทรงมาแก้ไขให้ทันสมัยแล้วประมวลเข้าในกฏหมายตราสามดวง โดยการเพิ่มรัศมีเขตความรับผิดชอบจาก ๓ เส้น และยี่สิบวาอะไรนี่แหละผมจำไม่ได้ (เขียนสดๆ) มาเป็น ๕ เส้น เขาจึงเรียกกฏหมายนั้นว่าโจร ๕ เส้น
พูดถึงความศิวิไลซ์ของกฏหมายสมัยโบราณแล้ว ขอทิ้งท้ายไว้อีกหมวดหนึ่งล่ะกันนะครับ คือบทลงโทษประหารชีวิต แต่ก่อนแม้อำนาจสั่งประหารชีวิตจะถูกพิพากษาโดยเจ้าแห่งแว่นแคว้นก็จริง แต่บางกรณีคำพิพากษาจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อญาติของผู้เสียหายตกลงใจว่าให้ประหารได้เท่านั้น เช่นว่า นายก. ไปฆ่านายข. ตาย แล้วถูกรัฐสั่งประหารชีวิตนายก. แต่เมื่อญาตินาย ข. ผู้ตายไม่ติดใจเอาความไม่เห็นด้วยกับการประหารชีวิต ด้วยเกรงว่าจะเป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน อาจจะมีเงื่อนไขว่า นายก. ต้องช่วยเหลือทำศพนายข. หรือช่วยเหลืออะไรก็แล้วแต่ การประหารชีวิตก็จะไม่เกิดขึ้น ร.แลงกาต์ ที่ปรึกษากฏหมายของ ร.๖ ชาวฝรั่งเศสผู้ศึกษาและผู้ตรวจสอบกฏหมายตราสามดวงและกฏหมายในสมัยอยุธยาอธิบายปรากฏการณ์ตรงนี้ว่า “สิทธิ์ในการแก้แค้น” นั่นก็คือ ญาติของผู้ตายมีสิทธิ์ให้อภัยหรือแก้แค้นต่อฆาตกรที่ฆ่าญาติของตนได้ ปรากฏว่าส่วนใหญ่มักจะให้อภัยแก่นักฆ่าตกรโทษประหารเพราะไม่อยากให้เป็นเวรกรรม ซึ่งก็เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า ฆาตกรก็กลับมาฆ่ามาทำร้ายสังคมอีก สุดท้ายเจ้าแห่งแว่นแคว้นก็รวบอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินประหารชีวิตหรือพระราชทานอภัยโทษมาไว้ที่พระองค์เองเพื่อความสงบสุขของแว่นแคว้น