ข้าวอยู่ไหน
หากมองว่า กรณีวัตถุดิบ (น้ำมันปาล์ม ฯลฯ) ของบริษัทในตลาดหุ้นที่หายไปจากคลังสินค้า หรือไม่ได้รับของมาตั้งแต่ต้น (แต่จ่ายเงินค่าวัตถุดิบไปแล้ว) มูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท... ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
กรณีข้าวสารในโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์หายไปจากคลังสินค้า หรือไม่ได้รับของมาตั้งแต่ต้น (แต่จ่ายเงินค่าข้าวไปแล้ว) มูลค่า 200,000 ล้านบาท (อ่านว่า สองแสนล้านบาท)... ย่อมเป็นยิ่งกว่าการปล้นชาติ!
1. ล่าสุด ทราบว่า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะคณะทำงานระบายข้าวสารสต๊อกรัฐบาล ได้รายงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) รับทราบ ปริมาณข้าวสารสต๊อกรัฐบาลที่ยังติดค้างกับทางองค์การคลังสินค้า (อคส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และไม่สามารถนำออกมาระบายได้
เนื่องจากข้าวสารส่วนนี้หายไปจากบัญชีการตรวจนับ 940,000 ตัน
เกือบๆ ล้านตันข้าวสาร
โอ้วววววว....
พูดง่ายๆ ว่า มีการบันทึกไว้ในบัญชีที่เอาเงินหลวงไปซื้อมาสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่เมื่อ คสช.เข้ามา แล้วไปดำเนินการตรวจนับจริงตามโกดังต่างๆ ทั่วประเทศ ปรากฏว่า มันไม่มีอยู่จริง!
โดยรัฐบาล คสช. รับข้าวสารทางบัญชีมา 18.70 ล้านตัน
แต่เมื่อเร่งเข้าไปตรวจนับจริงได้แค่ 17.76 ล้านตัน
ขาดหายไป 9.4 แสนตัน
กรณีเช่นนี้ นบข.ได้สั่งการให้เร่งติดตามข้าวที่ขาดหายทางบัญชี เพื่อไม่ให้รัฐเกิดความเสียหาย
ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ได้ส่งเรื่องให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบ เพื่อตามหาปริมาณข้าวดังกล่าว ส่วน อคส.และอ.ต.ก. ก็ต้องดำเนินคดีพร้อมเรียกค่าเสียหายกับเจ้าของโกดัง บริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าว (เซอร์เวเยอร์) รวมทั้งโรงสีข้าวที่เกี่ยวข้อง กับการทำข้าวขาดหายไปจากบัญชีด้วย
2.น่าคิดว่า ข้าวสารที่หายไป 9.4 แสนตันนั้น มีต้นทุนที่คำนวณจากโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งเอาเงินแผ่นดินไปรับซื้อ สีแปรสภาพเก็บ ค่าดอกเบี้ย ค่าเช่าโกดังลม ฯลฯ เฉลี่ยตันละราวๆ 24,000 บาท
มูลค่ารวมจึงตกอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาท!!!
หรือ 220,000,000,000 บาท (อ่านว่า สองแสนสองหมื่นล้านบาท)
3. เงินจำนวน 220,000 ล้านบาท ถ้ารัฐบาลไม่ถูกปล้น หรือไม่ละลายหายไปกับโครงการทุจริตเช่นนี้ จะสามารถนำไปใช้จ่ายลงทุน หรือช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้มากมายมหาศาลแค่ไหน?
พูดง่ายๆ ว่า สามารถนำไปลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-โคราช ได้เกือบตลอดสาย
หรือเอาไปใช้ลงทุนระบบชลประทานให้แก่พี่น้องเกษตรกรไทยได้ทั่วประเทศ
4. ในคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ คดีของยิ่งลักษณ์ องค์คณะผู้พิพากษาฯ ชี้ว่า การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้ง 5 ฤดูกาลผลิต พบความเสียหายหลายประการ เช่น การสวมสิทธิ์การรับจำนำ, การนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์, ข้าวสูญหาย, การออกใบประทวนให้ชาวนาอันเป็นเท็จ, การใช้เอกสารปลอม, การโกงความชื้นและน้ำหนัก เพื่อกดราคารับซื้อจากชาวนา, ข้าวสูญหายจากโกดัง, ข้าวเสื่อมสภาพ, ข้าวเน่าและข้าวไม่ตรงตามมาตรฐานกระทรวงพาณิชย์ ฯลฯ
การไต่สวนจากอนุกรรมการปิดบัญชี 3 รอบ พบด้วยว่ามีการถลุงเงินแผ่นดินไปมโหฬารขนาดไหน
รอบแรก วันที่ 31 พฤษภาคม 2555 มีการขาดทุน 3.23หมื่นล้านบาท เป็นการใช้เงินจำนำข้าวนาปี 2554/55 จำนวน 114,000 ล้านบาท มีหนี้คงค้าง 113,000 ล้านบาท
รอบที่ 2 วันที่ 31 มกราคม 2556 ขาดทุน 220,968ล้านบาท ใช้เงินจำนำข้าวปี 2554/55 และปี 2555/56 จำนวน 593,000 ล้านบาท มีหนี้คงค้าง 447,103 ล้านบาท
รอบที่ 3 วันที่ 31 พฤษภาคม 2556 ขาดทุน 332,372ล้านบาท ใช้เงินจำนำข้าวปี 2554/55 และปี 2555/56 จำนวน 565,068 ล้านบาท มีหนี้คงค้าง 474,265 ล้านบาท
รวม 5 ฤดูกาลผลิต ตามอนุกรรมการปิดบัญชีวันที่ 30 กันยายน 2557 มียอดรับจำนำข้าวสาร 878,000 ล้านบาทเศษ เห็นได้ว่า เป็นเงินเกินกว่ากรอบวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลกำหนดไว้ และเกินกว่ากรอบวงเงินสินเชื่อที่เหมาะสม แสดงให้เห็นว่า แผนการบริหารในโครงการรับจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ ขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผล เกินวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่กำหนดไว้ การดำเนินโครงการจึงเกิดปัญหาจากการขาดสภาพคล่อง
ยังมีกรณี อคส. ทำข้าวถุง อ้างว่าจะขายให้กับประชาชนในราคาถูก จำหน่ายในโครงการธงฟ้า ร้านถูกใจ ร้านสวัสดิการอคส. และเอกชนผู้แทนจำหน่ายอีก 3 แห่ง แต่พบว่า มีการคบคิดกันทุจริตข้าวถุงด้วย
5. ทั้งหมดนี้ จะให้ประชาชนเจ้าของประเทศ ไปทวงคืนข้าวสาร 9.4 แสนตัน เอาจากนักการเมืองหน้าไหน?
ส่วนที่เจ้าพนักงานบังคับคดี ดำเนินการยึดทรัพย์ไว้ ก็มีอยู่แค่หลักร้อยล้านบาท เช่น
กรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ บัญชีเงินฝากรวม 16 บัญชี, อายัดเงินส่วนแบ่งทรัพย์สินในคดีล้มละลาย ของศาลล้มละลายกลาง, อายัดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ จำนวน 37 รายการ โดยมีราคาประเมินรวมทั้งสิ้น 176,258,934 บาท เป็นต้น
นี่คือตัวอย่างของความวิบัติของประเทศชาติส่วนรวมที่ผู้อุจจาระทิ้งไว้เปิดตูด โกยแน่บไปแล้ว!
สารส้ม
http://www.naewna.com/politic/columnist/36455
ข้าวหาย!!! 9.4 แสนตัน ผวา รัฐสูญเงิน 2 แสนล้านบาท
จะจับมือใครดม??? กระทรวงพาณิชย์ แจ้งยอดข้าวหายจากสต็อก 9.4 แสนตัน มูลค่ากว่า 2.2 ล้านบาท ด้าน นบข.สั่งเร่งติดตามกลับคืน ล่าสุดประสาน สตง.เข้าตรวจสอบ
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะคณะทำงานระบายข้าวสารสต๊อกรัฐบาล ได้รายงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) รับทราบถึงปริมาณข้าวสต๊อกรัฐบาลที่ยังติดค้างกับทางองค์การคลังสินค้า(อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ซึ่งไม่สามารถนำออกมาระบายได้ เนื่องจากข้าวส่วนนี้ได้หายไปจากบัญชีการตรวจนับปริมาณรวม 940,000 ตัน โดย นบข. ได้สั่งการให้เร่งติดตามข้าวที่ขาดหายจากบัญชีกลับคืนมา เพื่อไม่ให้รัฐเกิดความเสียหายแล้ว
ทั้งนี้หลังจากที่ นบข.ได้รับรายงานแล้ว ล่าสุดได้ส่งเรื่องให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบ เพื่อตามหาปริมาณข้าวดังกล่าวแล้ว โดยกำชับให้ อคส. และ อ.ต.ก. ดำเนินคดีกับเจ้าของโกดัง บริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าว (เซอร์เวเยอร์) และโรงสีข้าว ที่ทำข้าวขาดหายไปจากบัญชีด้วย
สำหรับจำนวนข้าวที่อยู่บัญชีนั้นมีทั้งหมด 18.70 ล้านตัน ซึ่งรัฐบาล คสช. ได้รับบัญชีข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลจากรัฐบาลก่อน และจากผลการตรวจนับ ขณะนี้มีข้าวอยู่ในสต๊อกจำนวน 17.76 ล้านตัน ซึ่งขาดไป 940,000 ตัน โดยหากคิดเป็นมูลค่าจำนวนข้าวที่หายไป จากราคาข้าวเปลือกที่รับจำนำมา เมื่อคิดเป็นข้าวสารจะอยู่ที่ตันละประมาณ 24,000 บาท ซึ่งจะทำให้จำนวนข้าวที่หายไปมีมูลค่าสูงถึง 225,600 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้มีการแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบและติดตามข้าวที่หายไปกลับคืนมาแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้า
http://www.siambusinessnews.com/11751
นบข.สั่งตามหาข้าวหาย 1 ล้านตัน พาณิชย์ชง สตง.ตรวจสอบต่อ เร่งเอาผิดโรงสี โกดัง ชดใช้ค่าเสียหาย
https://www.posttoday.com/economy/559385
นบข.สั่งตามหาคนโกง ทำข้าวหายล้านตัน มูลค่าเสียหาย 2.25 แสนล้าน
นบข.รุกหนักจัดการโกงจำนำข้าวต่อ สั่งตามหาข้าวหายอีกเกือบ 1 ล้านตัน มูลค่า 2.25 แสนล้านบาท “พาณิชย์” รับลูกส่ง สตง.ตรวจทันที พร้อมสั่ง อคส.-อ.ต.ก.เดินหน้าเอาผิดโรงสี โกดัง เซอร์เวเยอร์ เผยล่าสุดเหลือข้าวค้างสต๊อกอีกแค่ 7 หมื่นตัน เตรียมเปิดระบายเร็วๆ นี้ แต่อาจมีเพิ่มเป็น 3 แสนตันหลังประมูลไปแล้วคู่สัญญาไม่มารับมอบเหตุเจอข้าวเสื่อม พร้อมดันจีนลงนามสัญญาซื้อขายข้าวล้านตันที่สองหาตลาดให้ข้าวไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อเร็วๆ นี้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะคณะทำงานระบายข้าวสารสต๊อกรัฐบาล ได้รายงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) รับทราบถึงปริมาณข้าวในสต๊อกรัฐบาลที่ยังคงติดค้างอยู่กับองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ที่ไม่สามารถนำออกมาระบายได้ เนื่องจากข้าวส่วนนี้ได้หายไปจากบัญชีการตรวจนับปริมาณรวม 9.4 แสนตัน ซึ่ง นบข.ได้สั่งการให้เร่งติดตามข้าวที่ขาดหายจากบัญชีกลับคืนมาเพื่อไม่ให้รัฐเกิดความเสียหายแล้ว
ทั้งนี้ ข้าวที่ขาดหายไปนั้นมาจากรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้รับตัวเลขมา 18.70 ล้านตัน แต่ผลการตรวจนับมีข้าวอยู่ในสต๊อกปริมาณ 17.76 ล้านตัน หรือขาดหายไป 9.4 แสนตัน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ และติดตามข้าวที่หายไปกลับคืนมาแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้า
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานให้ นบข.รับทราบแล้ว ล่าสุดได้ส่งเรื่องให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบเพื่อตามหาปริมาณข้าวดังกล่าวแล้ว และยังได้กำชับให้ อคส. และ อ.ต.ก.ดำเนินคดีต่อเจ้าของโกดัง บริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าว (เซอร์เวเยอร์) และโรงสีข้าว ที่ทำข้าวขาดหายไปจากบัญชีด้วย
โดยปริมาณข้าวที่หายไป 9.4 แสนตันนั้น หากคิดมูลค่าจากราคาที่รับจำนำเข้ามาตันละประมาณ 2.4 หมื่นบาท จะมีมูลค่าสูงถึง 2.256 แสนล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันข้าวที่เหลืออยู่ในสต๊อกรัฐบาลที่สามารถนำมาเปิดประมูลได้เหลืออยู่อีกประมาณ 7 หมื่นตัน เป็นข้าวกลุ่ม 2 และ 3 ซึ่งเป็นข้าวเข้าอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่คนบริโภค และเข้าอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่คนและสัตว์บริโภค และคาดว่าจะเปิดประมูลอีกครั้งในเร็วๆ นี้ และขณะนี้กรมการค้าต่างประเทศกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้าวในส่วนอื่นๆ ที่ยังคงเหลือ เช่น ข้าวที่ผู้ชนะการประมูลไปแล้วแต่ไม่มารับมอบ ซึ่งมีประมาณ 7 แสนตัน โดยในจำนวนนี้ประมาณ 3 แสนตันที่คาดว่าคู่สัญญาจะไม่รับมอบ เพราะมีปัญหาข้าวเสื่อม ข้าวไม่ตรงตามคุณภาพ โดย นบข.ได้สั่งการให้ อคส. และ อ.ต.ก.ไปเร่งรัดคู่สัญญาเพื่อให้รับมอบข้าวแล้ว แต่หากไม่รับมอบก็ต้องดำเนินการหาผู้รับผิดชอบตามกฎหมาย และจะนำข้าวมาเปิดประมูลต่อไป
สำหรับการหาตลาดรองรับให้กับข้าวไทย นายกีรติ รัชโน รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้าการลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน (JC) ในเดือน ส.ค. 2561 กรมฯ จะหารือกับหน่วยงานที่ดูแลด้านการก่อสร้างรถไฟและนำเข้าสินค้าเกษตรของรัฐบาลจีน (NDRC) ให้มีการลงนามสัญญาซื้อขายข้าวจากไทยในส่วนล้านตันที่สอง ที่ไทยและจีนได้มีการทำสัญญาบันทึกความเข้าใจ (MOU) กันไปแล้วก่อนหน้านี้
โดย MOU ซื้อข้าวไทย 2 ล้านตันเป็นความตกลงที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งจีนได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไปแล้ว 1 ล้านตัน และปัจจุบันบริษัท คอฟโก้ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่นำเข้าข้าวของรัฐบาลจีนได้มีการนำเข้าข้าวตามสัญญาไปแล้ว 5 แสนตัน อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อขายในส่วนแสนตันที่ 6 ซึ่งกรมฯ มองว่าเมื่อรถไฟความเร็วสูงมีความคืบหน้า จีนก็ควรจะลงนามสัญญาซื้อขายในส่วนล้านตันที่ 2 ซึ่งหากสำเร็จก็จะทำให้ไทยมีตลาดรองรับผลผลิตข้าวฤดูกาลใหม่เพิ่มขึ้น
https://mgronline.com/business/detail/9610000076042
🍚~มาลาริน~ยังไม่หมด..ความเสียหายของจำนำข้าวยุคยิ่งลักษณ์ที่ทิ้งเอาไว้..ข้าวหาย!!! 9.4 แสนตัน ผวารัฐสูญเงิน 2 แสนล้านบาท
ข้าวอยู่ไหน
หากมองว่า กรณีวัตถุดิบ (น้ำมันปาล์ม ฯลฯ) ของบริษัทในตลาดหุ้นที่หายไปจากคลังสินค้า หรือไม่ได้รับของมาตั้งแต่ต้น (แต่จ่ายเงินค่าวัตถุดิบไปแล้ว) มูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท... ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
กรณีข้าวสารในโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์หายไปจากคลังสินค้า หรือไม่ได้รับของมาตั้งแต่ต้น (แต่จ่ายเงินค่าข้าวไปแล้ว) มูลค่า 200,000 ล้านบาท (อ่านว่า สองแสนล้านบาท)... ย่อมเป็นยิ่งกว่าการปล้นชาติ!
1. ล่าสุด ทราบว่า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะคณะทำงานระบายข้าวสารสต๊อกรัฐบาล ได้รายงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) รับทราบ ปริมาณข้าวสารสต๊อกรัฐบาลที่ยังติดค้างกับทางองค์การคลังสินค้า (อคส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และไม่สามารถนำออกมาระบายได้
เนื่องจากข้าวสารส่วนนี้หายไปจากบัญชีการตรวจนับ 940,000 ตัน
เกือบๆ ล้านตันข้าวสาร
โอ้วววววว....
พูดง่ายๆ ว่า มีการบันทึกไว้ในบัญชีที่เอาเงินหลวงไปซื้อมาสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่เมื่อ คสช.เข้ามา แล้วไปดำเนินการตรวจนับจริงตามโกดังต่างๆ ทั่วประเทศ ปรากฏว่า มันไม่มีอยู่จริง!
โดยรัฐบาล คสช. รับข้าวสารทางบัญชีมา 18.70 ล้านตัน
แต่เมื่อเร่งเข้าไปตรวจนับจริงได้แค่ 17.76 ล้านตัน
ขาดหายไป 9.4 แสนตัน
กรณีเช่นนี้ นบข.ได้สั่งการให้เร่งติดตามข้าวที่ขาดหายทางบัญชี เพื่อไม่ให้รัฐเกิดความเสียหาย
ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ได้ส่งเรื่องให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบ เพื่อตามหาปริมาณข้าวดังกล่าว ส่วน อคส.และอ.ต.ก. ก็ต้องดำเนินคดีพร้อมเรียกค่าเสียหายกับเจ้าของโกดัง บริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าว (เซอร์เวเยอร์) รวมทั้งโรงสีข้าวที่เกี่ยวข้อง กับการทำข้าวขาดหายไปจากบัญชีด้วย
2.น่าคิดว่า ข้าวสารที่หายไป 9.4 แสนตันนั้น มีต้นทุนที่คำนวณจากโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งเอาเงินแผ่นดินไปรับซื้อ สีแปรสภาพเก็บ ค่าดอกเบี้ย ค่าเช่าโกดังลม ฯลฯ เฉลี่ยตันละราวๆ 24,000 บาท
มูลค่ารวมจึงตกอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาท!!!
หรือ 220,000,000,000 บาท (อ่านว่า สองแสนสองหมื่นล้านบาท)
3. เงินจำนวน 220,000 ล้านบาท ถ้ารัฐบาลไม่ถูกปล้น หรือไม่ละลายหายไปกับโครงการทุจริตเช่นนี้ จะสามารถนำไปใช้จ่ายลงทุน หรือช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้มากมายมหาศาลแค่ไหน?
พูดง่ายๆ ว่า สามารถนำไปลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-โคราช ได้เกือบตลอดสาย
หรือเอาไปใช้ลงทุนระบบชลประทานให้แก่พี่น้องเกษตรกรไทยได้ทั่วประเทศ
4. ในคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ คดีของยิ่งลักษณ์ องค์คณะผู้พิพากษาฯ ชี้ว่า การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้ง 5 ฤดูกาลผลิต พบความเสียหายหลายประการ เช่น การสวมสิทธิ์การรับจำนำ, การนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์, ข้าวสูญหาย, การออกใบประทวนให้ชาวนาอันเป็นเท็จ, การใช้เอกสารปลอม, การโกงความชื้นและน้ำหนัก เพื่อกดราคารับซื้อจากชาวนา, ข้าวสูญหายจากโกดัง, ข้าวเสื่อมสภาพ, ข้าวเน่าและข้าวไม่ตรงตามมาตรฐานกระทรวงพาณิชย์ ฯลฯ
การไต่สวนจากอนุกรรมการปิดบัญชี 3 รอบ พบด้วยว่ามีการถลุงเงินแผ่นดินไปมโหฬารขนาดไหน
รอบแรก วันที่ 31 พฤษภาคม 2555 มีการขาดทุน 3.23หมื่นล้านบาท เป็นการใช้เงินจำนำข้าวนาปี 2554/55 จำนวน 114,000 ล้านบาท มีหนี้คงค้าง 113,000 ล้านบาท
รอบที่ 2 วันที่ 31 มกราคม 2556 ขาดทุน 220,968ล้านบาท ใช้เงินจำนำข้าวปี 2554/55 และปี 2555/56 จำนวน 593,000 ล้านบาท มีหนี้คงค้าง 447,103 ล้านบาท
รอบที่ 3 วันที่ 31 พฤษภาคม 2556 ขาดทุน 332,372ล้านบาท ใช้เงินจำนำข้าวปี 2554/55 และปี 2555/56 จำนวน 565,068 ล้านบาท มีหนี้คงค้าง 474,265 ล้านบาท
รวม 5 ฤดูกาลผลิต ตามอนุกรรมการปิดบัญชีวันที่ 30 กันยายน 2557 มียอดรับจำนำข้าวสาร 878,000 ล้านบาทเศษ เห็นได้ว่า เป็นเงินเกินกว่ากรอบวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลกำหนดไว้ และเกินกว่ากรอบวงเงินสินเชื่อที่เหมาะสม แสดงให้เห็นว่า แผนการบริหารในโครงการรับจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ ขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผล เกินวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่กำหนดไว้ การดำเนินโครงการจึงเกิดปัญหาจากการขาดสภาพคล่อง
ยังมีกรณี อคส. ทำข้าวถุง อ้างว่าจะขายให้กับประชาชนในราคาถูก จำหน่ายในโครงการธงฟ้า ร้านถูกใจ ร้านสวัสดิการอคส. และเอกชนผู้แทนจำหน่ายอีก 3 แห่ง แต่พบว่า มีการคบคิดกันทุจริตข้าวถุงด้วย
5. ทั้งหมดนี้ จะให้ประชาชนเจ้าของประเทศ ไปทวงคืนข้าวสาร 9.4 แสนตัน เอาจากนักการเมืองหน้าไหน?
ส่วนที่เจ้าพนักงานบังคับคดี ดำเนินการยึดทรัพย์ไว้ ก็มีอยู่แค่หลักร้อยล้านบาท เช่น
กรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ บัญชีเงินฝากรวม 16 บัญชี, อายัดเงินส่วนแบ่งทรัพย์สินในคดีล้มละลาย ของศาลล้มละลายกลาง, อายัดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ จำนวน 37 รายการ โดยมีราคาประเมินรวมทั้งสิ้น 176,258,934 บาท เป็นต้น
นี่คือตัวอย่างของความวิบัติของประเทศชาติส่วนรวมที่ผู้อุจจาระทิ้งไว้เปิดตูด โกยแน่บไปแล้ว!
สารส้ม
http://www.naewna.com/politic/columnist/36455
ข้าวหาย!!! 9.4 แสนตัน ผวา รัฐสูญเงิน 2 แสนล้านบาท
จะจับมือใครดม??? กระทรวงพาณิชย์ แจ้งยอดข้าวหายจากสต็อก 9.4 แสนตัน มูลค่ากว่า 2.2 ล้านบาท ด้าน นบข.สั่งเร่งติดตามกลับคืน ล่าสุดประสาน สตง.เข้าตรวจสอบ
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะคณะทำงานระบายข้าวสารสต๊อกรัฐบาล ได้รายงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) รับทราบถึงปริมาณข้าวสต๊อกรัฐบาลที่ยังติดค้างกับทางองค์การคลังสินค้า(อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ซึ่งไม่สามารถนำออกมาระบายได้ เนื่องจากข้าวส่วนนี้ได้หายไปจากบัญชีการตรวจนับปริมาณรวม 940,000 ตัน โดย นบข. ได้สั่งการให้เร่งติดตามข้าวที่ขาดหายจากบัญชีกลับคืนมา เพื่อไม่ให้รัฐเกิดความเสียหายแล้ว
ทั้งนี้หลังจากที่ นบข.ได้รับรายงานแล้ว ล่าสุดได้ส่งเรื่องให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบ เพื่อตามหาปริมาณข้าวดังกล่าวแล้ว โดยกำชับให้ อคส. และ อ.ต.ก. ดำเนินคดีกับเจ้าของโกดัง บริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าว (เซอร์เวเยอร์) และโรงสีข้าว ที่ทำข้าวขาดหายไปจากบัญชีด้วย
สำหรับจำนวนข้าวที่อยู่บัญชีนั้นมีทั้งหมด 18.70 ล้านตัน ซึ่งรัฐบาล คสช. ได้รับบัญชีข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลจากรัฐบาลก่อน และจากผลการตรวจนับ ขณะนี้มีข้าวอยู่ในสต๊อกจำนวน 17.76 ล้านตัน ซึ่งขาดไป 940,000 ตัน โดยหากคิดเป็นมูลค่าจำนวนข้าวที่หายไป จากราคาข้าวเปลือกที่รับจำนำมา เมื่อคิดเป็นข้าวสารจะอยู่ที่ตันละประมาณ 24,000 บาท ซึ่งจะทำให้จำนวนข้าวที่หายไปมีมูลค่าสูงถึง 225,600 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้มีการแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบและติดตามข้าวที่หายไปกลับคืนมาแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้า
http://www.siambusinessnews.com/11751
นบข.สั่งตามหาข้าวหาย 1 ล้านตัน พาณิชย์ชง สตง.ตรวจสอบต่อ เร่งเอาผิดโรงสี โกดัง ชดใช้ค่าเสียหาย
https://www.posttoday.com/economy/559385
นบข.สั่งตามหาคนโกง ทำข้าวหายล้านตัน มูลค่าเสียหาย 2.25 แสนล้าน
นบข.รุกหนักจัดการโกงจำนำข้าวต่อ สั่งตามหาข้าวหายอีกเกือบ 1 ล้านตัน มูลค่า 2.25 แสนล้านบาท “พาณิชย์” รับลูกส่ง สตง.ตรวจทันที พร้อมสั่ง อคส.-อ.ต.ก.เดินหน้าเอาผิดโรงสี โกดัง เซอร์เวเยอร์ เผยล่าสุดเหลือข้าวค้างสต๊อกอีกแค่ 7 หมื่นตัน เตรียมเปิดระบายเร็วๆ นี้ แต่อาจมีเพิ่มเป็น 3 แสนตันหลังประมูลไปแล้วคู่สัญญาไม่มารับมอบเหตุเจอข้าวเสื่อม พร้อมดันจีนลงนามสัญญาซื้อขายข้าวล้านตันที่สองหาตลาดให้ข้าวไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อเร็วๆ นี้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะคณะทำงานระบายข้าวสารสต๊อกรัฐบาล ได้รายงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) รับทราบถึงปริมาณข้าวในสต๊อกรัฐบาลที่ยังคงติดค้างอยู่กับองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ที่ไม่สามารถนำออกมาระบายได้ เนื่องจากข้าวส่วนนี้ได้หายไปจากบัญชีการตรวจนับปริมาณรวม 9.4 แสนตัน ซึ่ง นบข.ได้สั่งการให้เร่งติดตามข้าวที่ขาดหายจากบัญชีกลับคืนมาเพื่อไม่ให้รัฐเกิดความเสียหายแล้ว
ทั้งนี้ ข้าวที่ขาดหายไปนั้นมาจากรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้รับตัวเลขมา 18.70 ล้านตัน แต่ผลการตรวจนับมีข้าวอยู่ในสต๊อกปริมาณ 17.76 ล้านตัน หรือขาดหายไป 9.4 แสนตัน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ และติดตามข้าวที่หายไปกลับคืนมาแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้า
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานให้ นบข.รับทราบแล้ว ล่าสุดได้ส่งเรื่องให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบเพื่อตามหาปริมาณข้าวดังกล่าวแล้ว และยังได้กำชับให้ อคส. และ อ.ต.ก.ดำเนินคดีต่อเจ้าของโกดัง บริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าว (เซอร์เวเยอร์) และโรงสีข้าว ที่ทำข้าวขาดหายไปจากบัญชีด้วย
โดยปริมาณข้าวที่หายไป 9.4 แสนตันนั้น หากคิดมูลค่าจากราคาที่รับจำนำเข้ามาตันละประมาณ 2.4 หมื่นบาท จะมีมูลค่าสูงถึง 2.256 แสนล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันข้าวที่เหลืออยู่ในสต๊อกรัฐบาลที่สามารถนำมาเปิดประมูลได้เหลืออยู่อีกประมาณ 7 หมื่นตัน เป็นข้าวกลุ่ม 2 และ 3 ซึ่งเป็นข้าวเข้าอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่คนบริโภค และเข้าอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่คนและสัตว์บริโภค และคาดว่าจะเปิดประมูลอีกครั้งในเร็วๆ นี้ และขณะนี้กรมการค้าต่างประเทศกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้าวในส่วนอื่นๆ ที่ยังคงเหลือ เช่น ข้าวที่ผู้ชนะการประมูลไปแล้วแต่ไม่มารับมอบ ซึ่งมีประมาณ 7 แสนตัน โดยในจำนวนนี้ประมาณ 3 แสนตันที่คาดว่าคู่สัญญาจะไม่รับมอบ เพราะมีปัญหาข้าวเสื่อม ข้าวไม่ตรงตามคุณภาพ โดย นบข.ได้สั่งการให้ อคส. และ อ.ต.ก.ไปเร่งรัดคู่สัญญาเพื่อให้รับมอบข้าวแล้ว แต่หากไม่รับมอบก็ต้องดำเนินการหาผู้รับผิดชอบตามกฎหมาย และจะนำข้าวมาเปิดประมูลต่อไป
สำหรับการหาตลาดรองรับให้กับข้าวไทย นายกีรติ รัชโน รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้าการลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน (JC) ในเดือน ส.ค. 2561 กรมฯ จะหารือกับหน่วยงานที่ดูแลด้านการก่อสร้างรถไฟและนำเข้าสินค้าเกษตรของรัฐบาลจีน (NDRC) ให้มีการลงนามสัญญาซื้อขายข้าวจากไทยในส่วนล้านตันที่สอง ที่ไทยและจีนได้มีการทำสัญญาบันทึกความเข้าใจ (MOU) กันไปแล้วก่อนหน้านี้
โดย MOU ซื้อข้าวไทย 2 ล้านตันเป็นความตกลงที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งจีนได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไปแล้ว 1 ล้านตัน และปัจจุบันบริษัท คอฟโก้ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่นำเข้าข้าวของรัฐบาลจีนได้มีการนำเข้าข้าวตามสัญญาไปแล้ว 5 แสนตัน อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อขายในส่วนแสนตันที่ 6 ซึ่งกรมฯ มองว่าเมื่อรถไฟความเร็วสูงมีความคืบหน้า จีนก็ควรจะลงนามสัญญาซื้อขายในส่วนล้านตันที่ 2 ซึ่งหากสำเร็จก็จะทำให้ไทยมีตลาดรองรับผลผลิตข้าวฤดูกาลใหม่เพิ่มขึ้น
https://mgronline.com/business/detail/9610000076042