ติดตามเรื่องท่องเที่ยว ชิวๆ แบบเพื่อนพาไปเที่ยว
Never Ending Wanderlust
Facebook :
https://www.facebook.com/Never-Ending-Wanderlust-333202827168152/
Instagram :
https://www.instagram.com/wanderlust_neverending/
Youtube :
https://www.youtube.com/channel/UCqylOvHIZ7H4weVGTFUgb9Q?view_as=subscriber
บึงกาฬ ในวันที่ชุ่ม(แฉะ) ตอน 2 หินสามวาฬ
https://ppantip.com/topic/37939250
สวัสดีครับผองเพื่อน หายไปนานมากก เนื่องจากภารกิจหลายอย่าง หลังจากคราวก่อนที่ฝากผลงานเรื่องราวชีวิตการผจญภัยกับการทำงานบนเรือสำราญ มาคราวนี้เราจะไปเที่ยวกันต่อครับ ขอฝากลิงค์เก่าๆนะครับด้านล่าง
ชีวิตบนเรือสำราญ สำราญจริงหรือ? ฉบับหมดเปลือก
https://ppantip.com/topic/37607106
โลกอันสดใสกับนายไกด์ปากดี ตอน 1
https://ppantip.com/topic/37647218
Philippines No Seas Part 1 Manila City
https://ppantip.com/topic/37453948
มา...เริ่มกันเลยเน๊อะ ล่าสุดเมื่อวันหยุดยาวที่ผ่านมา (27-29 ก.ค. 2561) ผมกับเพื่อนๆอีกสองคนได้ตัดสินใจกันว่าจะไปบุกเมืองที่ยังไม่เคยไป ที่ๆคนไม่เยอะ เน้นเงียบๆ สบายๆ จนมาลงตัวกันที่เมืองๆหนึ่งริมแม่น้ำโขง เมืองที่เป็นน้องใหม่ล่าสุดของประเทศไทย เมืองที่คนใจดีแบบจริงใจ จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย นั่นคือ...บึงกาฬ
ก่อนจะเริ่มการเดินทาง ขอบอกก่อนนะครับว่าทริปนี้ตั้งใจจะไปหลายที่ แต่บางสถานที่ปิดเพราะเป็นหน้าฝน น้ำเยอะ จึงไม่ได้ไป หากเพื่อนคนไหนจะไปน้ำตกถ้ำพระ น้ำตกเจ็ดสี ขอบอกว่าไม่ได้ไปนะครับ แต่ก็จะเป็นข้อมูลที่ดีหากใครคิดจะเที่ยวบึงกาฬหน้าฝนครับ
การเดินทางของเราเริ่มต้นเมื่อเช้าวันที่ 27 เวลา 6.45 ณ สถานีขนส่งหมอชิต โดยสายการบินสวัสดีอีสาน ราคาค่าตั๋วประมาณ 500 เศษๆ และเนื่องจากเป็นวันหยุดยาวพิเศษ ทุกอย่างจึงพิเศษตามไปด้วย ฮาๆๆ ปกติ กรุงเทพฯ - บึงกาฬ วิ่งรถจะอยู่ที่ประมาณ 11 ช.ม. แต่ครั้งนี้ปาเข้าไป 17-18 ช.ม. จ้า เรียกได้ว่านั่งจนโตบนรถเลยทีเดียว แถมระหว่างทางสายพานรถมีปัญหาอีก ต้องวิ่งหาอู่ซ่อม เอิ่ม...ทริปนี้ถ้าไม่ฝึกจิตใจให้แข็งแกร่ง ตบะคงแตกซ่านกันเลยทีเดียว
วันนั้นไปถึง บขส บึงกาฬตอนเที่ยงคืนโดยเฉลี่ย พอลงจากรถมาก็พบกับความว่างเปล่า ฮาๆ เพราะไม่มีรถ ไม่มีคนเลยยย ตอนแรกก็ใจหวั่นๆว่าเอายังไงดีเนี่ย จะเข้าเมืองยังไงดี โรงแรมก็ยังไม่ได้หาด้วย จนเดินเข้าไปด้านในเรื่อยๆ ก็พบกับพี่ๆเจ้าหน้าที่อยู่สามคน ผมก็แบกหน้าเจื่อนๆเข้าไปถามพี่เขาว่าจะเข้าเมืองได้ยังไง เพราะตอนนั้นไม่มีรถแล้ว พี่ๆเขาเลยช่วยติดต่อรถสามล้อให้มารับ และช่วยหาที่พักให้หน่อย พี่คนขับเลยพาพวกผมไปที่โรงแรมแม่น้ำ ติดริมแม่น้ำโขง ราคา 400 บาทเท่านั้น ห้องเป็นแบบสองเตียง ไม่มีอาหารเช้า มีไวไฟ น้ำ แอร์บริการ พนักงานทุกคนบริการดีเว่อ ประทับใจมาก แนะนำเลยครับ
ซึ่งหลังจากนั้นเพื่อนผมที่มารถอีกคันที่ตามมาทีหลัง นั่งรถ 20 ช.ม. โอ้ยย เจ็บปวด พี่ๆเขาก็ช่วยเรียกรถให้แต่ไม่มีใครมาแล้วเพราะดึกเกินไป พี่เจ้าหน้าที่คนนึงจึงอาสาพาไปส่งที่พักที่พวกผมไปจองก่อนล่วงหน้า นับได้ว่าเป็นประสบการณ์ดีๆด่านแรกที่เราได้รับจากพี่น้องชาวบึงกาฬเลยทีเดียว วันแรกของพวกเราในบึงกาฬจึงมีแค่เข้าห้องพักและสลบครับ ฮาๆๆ
28 ก.ค. 2561
บรรยากาศยามเช้าริมโขง
อาหารเช้าแบบคนบึงกาฬ ไข่กระทะ ข้าวเปียก โจ้กร้อนๆ บรรยากาศริมโขง
อรุณเบิกฟ้า เช้าวันต่อมาเราตื่นกันแต่เช้าเพื่อหารถเช่าหรือมอเตอร์ไซด์เช่า กะว่าจะแว้นกันเลยงานนี้ สุดท้ายฝันก็ต้องสลายเพราะที่บึงกาฬไม่มีรถเช่าให้บริการเลยครับ จนเรามาสรุปกันที่รถสามล้อ เช่ารายวันพร้อมคนขับ ในราคา 1200 บาท ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก เพราะฝนกระหน่ำตกทุกวัน หากเราเช่ามอเตอร์ไซด์คงไม่ได้เที่ยวแถมไข้ไปฝากที่บ้านด้วยแน่ๆ
จากนั้นการผจญภัยของเราในบึงกาฬก็เริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก่อนออกจากโรงแรม ฟ้าฝนเป็นใจมาก ฟ้าใสกิ๊ก แต่พอเราออกรถเพื่อไปภูทอกเป็นที่แรก พ้นตัวเมืองไปนิดเดียวเท่านั้นแหละ ฝนก็เทลงมา ซึ่งเราไม่สามารถหาซื้อเสื้อกันฝนได้อีกแล้ว เพราะร้านขายจะมีแค่ในเมืองเท่านั้น งานนี้ตลอดทั้งวัน ขอบอกว่าแฉะ เปียกยัน...เติมเอาเอง ฮาๆๆ แต่สนุกมากครับ ภูทอกในวันที่ฝนตกสวยจริงๆ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มมาก ดอกไม้ข้างทางดูบานสะพรั่งจริงๆ
จากตัวเมืองไปที่ภูทอก ระยะทางประมาณ 48 ก.ม. แต่ด้วยรถเก่า คนขับรุ่นเก๋า ฝนตก ถนนลื่น เราจึงค่อยๆไปแบบหวานเย็นทัวร์ ฮาๆๆ ล้อเล่นนะครับลุงคนขับ รักนะ...
พอไปถึงภูทอก เราแทบจะไม่รู้ตัว เพราะด้วยฝนที่ตกลงมาทำให้หมอกปกคลุมภูทอกจนมิด มองแทบไม่เห็น กลายเป็นเมืองในหมอกในทันที แต่ข้างบนขอบอกว่าสวยสุดๆ ผมไม่ได้ถ่ายภาพภูทอกมาแบบเต็มๆนะครับ เพราะถ่ายมาก็มองไม่เห็นอยู่ดี ฮาๆๆ
พอลงจากรถเราก็ต้องวิ่งหาที่หลบฝนกันก่อนเลย เพราะฝนได้เทลงมาหนักขึ้นจนขึ้นไม่ได้ เสื้อกันฝนก็ไม่มี มีแค่ร่มคันเดียวจากคุณลุงคนขับแบ่งกันสามคน อนาจจังเน๊าะ เรานั่งรอฝนอยู่สักครู่ใหญ่ จนฝนซาลงแต่ยังไม่ขาดเม็ด เราก็คุยกันว่าถ้าไม่ขึ้นภูทอกตอนนี้ เราคงไม่ได้ไปไหนแน่ๆ เพราะตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงแล้ว เราเลยเดินตากฝนปรอยๆ ไม่สนใจร่มแล้วผม เริ่มเกะกะ ทางเดินขึ้นภูทอกในวันที่ฝนตกแบบนี้ค่อนข้างจะอันตรายนะครับ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะทางเดินจะเป็นไม้ มีตะไคร่น้ำเกาะตามทาง อีกทั้งข้างๆพอขึ้นไปสูงๆจะเป็นเหว มีไม้กั้นกันตกอยู่ แต่หากเพื่อนๆคนไหนเอาลูกหลานไปก็จับให้แน่นนะครับ ปลอดภัยไว้ก่อน แต่รวมๆก็ถือว่าไม่มีอะไร วิวสวยไปอีกแบบ ได้เดินอยู่ในหมอกตลอดเลย
พอเดินไต่ระดับความสูงขึ้นไปได้สักระยะ ก็จะพบกับศาลาระหว่างทาง ซึ่งเราสามารถเข้าไปสักการะพระพุทธรูปด้านในได้
แล้วเราก็เดินต่อไปเรื่อยๆ หลงทางตลอด ฮาๆๆ เพราะป้ายที่นี่ไม่ค่อยชัดเจน มีเดินเข้าป่า จนเอะใจและต้องถอยออกมา เรียกได้ว่าเดินครบทุกจุดในภูทอกเลยงานนี้ ฮาๆๆ แต่ก็สนุกไปอีกแบบครับ เหมือนเขาวงกต
เดินหลงทางจนต้องไต่บันไดลงมาทางเก่า แต่ก็ได้รูปสวยๆมาแทนแฮะ
หลังจากที่หลงทางอยู่พักใหญ่ เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางจนได้ ที่นี่จะเป็นศาลาที่ถูกเชื่อมด้วยสะพานไม้ระหว่างหินสองลูก ข้างในจะมีพระพุทธรูปให้เราได้สักการะ
จากนั้นเราก็ได้เดินลงมาจากภูทอกและกลับมายังสามล้อคู่ใจคันเก่าเพื่อไปยังจุดหมายต่อไป จุดต่อไปเราจะไปกันที่น้ำตกถ้ำพระและน้ำตกเจ็ดสี แต่ข่าวดีคือ...ปิดจ้า เพราะเป็นช่วงน้ำเยอะ จึงไม่ได้เปิดให้บริการ อดสิงานนี้ อุตส่าห์ตั้งใจจะไปน้ำตกถ้ำพระเลย แต่ไม่เป็นไรครับ แผนสองย่อมมีเสมอ เราเลยเปลี่ยนจุดหมายไปที่หินสามวาฬแทน จากภูทอกไปที่หินสามวาฬ ระยะทางประมาณ 24 ก.ม. เหมือนเดิมครับ หวานเย็นทัวร์ ฮาๆๆ พอไปถึงที่หมาย เราก็ได้รับข่าวดีอีกรอบว่าหินสามวาฬปิด...อีก...แล้ว...จ้า เพราะมีรถติดหล่มอยู่ด้านบน ไม่สามารถขึ้นไปได้ ให้มาใหม่อีกทีวันพรุ่งนี้ หลังจากนั้นก็เหวอสิครับ ฮาๆๆ ไม่รู้ว่าจะไปไหนเลยคราวนี้
คุณลุงคนขับเลยได้แนะนำว่าให้ไปดูเรือโบราณที่วัดโพธาราม ไอ้พวกเราก็ไม่รู้หรอกว่าคืออะไร แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้วก็ไปตามลุง วัดโพธารามห่างจากตัวเมืองบึงกาฬประมาณ 7 ก.ม. เท่านั้น ตัววัดอยู่ติดริมน้ำโขง ภายในวัดเมื่อเดินเข้าไปเราจะเจอกับซากเรือกลไฟขนาดใหญ่ที่ทางวัดได้สร้างศาลาครอบเอาไว้เป็นอย่างดี ถึงแม้วันที่ไปจะไม่มีชาวบ้านมาที่นี่ แต่ดูจากรูปการณ์แล้วน่าจะไม่ขาดสายอย่างแน่นอน ดูจากรอยแป้งบนเรือที่ขาวโพลนแบบนี้ ฮาๆๆ
หลังจากที่สงสัยในประวัติความเป็นมาของเรือลำนี้ ผมจึงได้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมและได้พบว่า เรือลำนี้ถูกค้นพบจากก้นแม่น้ำโขงเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2559 มีความยาวประมาณ 25 เมตร คาดว่าจมอยู่ใต้แม่น้ำโขงนานกว่า 69 ปี ส่วนรายละเอียดอื่นๆลองหาดูกันเองนะครับ
ในตอนต่อไป ผมกับเพื่อนๆจะกลับไปยังหินสามวาฬครับผม รอติดตามกันได้นะครับ ขอบคุณครับ
บึงกาฬ ในวันชุ่มฉ่ำ(แฉะ) ตอน 1
ติดตามเรื่องท่องเที่ยว ชิวๆ แบบเพื่อนพาไปเที่ยว
Never Ending Wanderlust
Facebook : https://www.facebook.com/Never-Ending-Wanderlust-333202827168152/
Instagram : https://www.instagram.com/wanderlust_neverending/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCqylOvHIZ7H4weVGTFUgb9Q?view_as=subscriber
บึงกาฬ ในวันที่ชุ่ม(แฉะ) ตอน 2 หินสามวาฬ https://ppantip.com/topic/37939250
สวัสดีครับผองเพื่อน หายไปนานมากก เนื่องจากภารกิจหลายอย่าง หลังจากคราวก่อนที่ฝากผลงานเรื่องราวชีวิตการผจญภัยกับการทำงานบนเรือสำราญ มาคราวนี้เราจะไปเที่ยวกันต่อครับ ขอฝากลิงค์เก่าๆนะครับด้านล่าง
ชีวิตบนเรือสำราญ สำราญจริงหรือ? ฉบับหมดเปลือก https://ppantip.com/topic/37607106
โลกอันสดใสกับนายไกด์ปากดี ตอน 1 https://ppantip.com/topic/37647218
Philippines No Seas Part 1 Manila City https://ppantip.com/topic/37453948
มา...เริ่มกันเลยเน๊อะ ล่าสุดเมื่อวันหยุดยาวที่ผ่านมา (27-29 ก.ค. 2561) ผมกับเพื่อนๆอีกสองคนได้ตัดสินใจกันว่าจะไปบุกเมืองที่ยังไม่เคยไป ที่ๆคนไม่เยอะ เน้นเงียบๆ สบายๆ จนมาลงตัวกันที่เมืองๆหนึ่งริมแม่น้ำโขง เมืองที่เป็นน้องใหม่ล่าสุดของประเทศไทย เมืองที่คนใจดีแบบจริงใจ จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย นั่นคือ...บึงกาฬ
ก่อนจะเริ่มการเดินทาง ขอบอกก่อนนะครับว่าทริปนี้ตั้งใจจะไปหลายที่ แต่บางสถานที่ปิดเพราะเป็นหน้าฝน น้ำเยอะ จึงไม่ได้ไป หากเพื่อนคนไหนจะไปน้ำตกถ้ำพระ น้ำตกเจ็ดสี ขอบอกว่าไม่ได้ไปนะครับ แต่ก็จะเป็นข้อมูลที่ดีหากใครคิดจะเที่ยวบึงกาฬหน้าฝนครับ
การเดินทางของเราเริ่มต้นเมื่อเช้าวันที่ 27 เวลา 6.45 ณ สถานีขนส่งหมอชิต โดยสายการบินสวัสดีอีสาน ราคาค่าตั๋วประมาณ 500 เศษๆ และเนื่องจากเป็นวันหยุดยาวพิเศษ ทุกอย่างจึงพิเศษตามไปด้วย ฮาๆๆ ปกติ กรุงเทพฯ - บึงกาฬ วิ่งรถจะอยู่ที่ประมาณ 11 ช.ม. แต่ครั้งนี้ปาเข้าไป 17-18 ช.ม. จ้า เรียกได้ว่านั่งจนโตบนรถเลยทีเดียว แถมระหว่างทางสายพานรถมีปัญหาอีก ต้องวิ่งหาอู่ซ่อม เอิ่ม...ทริปนี้ถ้าไม่ฝึกจิตใจให้แข็งแกร่ง ตบะคงแตกซ่านกันเลยทีเดียว
วันนั้นไปถึง บขส บึงกาฬตอนเที่ยงคืนโดยเฉลี่ย พอลงจากรถมาก็พบกับความว่างเปล่า ฮาๆ เพราะไม่มีรถ ไม่มีคนเลยยย ตอนแรกก็ใจหวั่นๆว่าเอายังไงดีเนี่ย จะเข้าเมืองยังไงดี โรงแรมก็ยังไม่ได้หาด้วย จนเดินเข้าไปด้านในเรื่อยๆ ก็พบกับพี่ๆเจ้าหน้าที่อยู่สามคน ผมก็แบกหน้าเจื่อนๆเข้าไปถามพี่เขาว่าจะเข้าเมืองได้ยังไง เพราะตอนนั้นไม่มีรถแล้ว พี่ๆเขาเลยช่วยติดต่อรถสามล้อให้มารับ และช่วยหาที่พักให้หน่อย พี่คนขับเลยพาพวกผมไปที่โรงแรมแม่น้ำ ติดริมแม่น้ำโขง ราคา 400 บาทเท่านั้น ห้องเป็นแบบสองเตียง ไม่มีอาหารเช้า มีไวไฟ น้ำ แอร์บริการ พนักงานทุกคนบริการดีเว่อ ประทับใจมาก แนะนำเลยครับ
ซึ่งหลังจากนั้นเพื่อนผมที่มารถอีกคันที่ตามมาทีหลัง นั่งรถ 20 ช.ม. โอ้ยย เจ็บปวด พี่ๆเขาก็ช่วยเรียกรถให้แต่ไม่มีใครมาแล้วเพราะดึกเกินไป พี่เจ้าหน้าที่คนนึงจึงอาสาพาไปส่งที่พักที่พวกผมไปจองก่อนล่วงหน้า นับได้ว่าเป็นประสบการณ์ดีๆด่านแรกที่เราได้รับจากพี่น้องชาวบึงกาฬเลยทีเดียว วันแรกของพวกเราในบึงกาฬจึงมีแค่เข้าห้องพักและสลบครับ ฮาๆๆ
28 ก.ค. 2561
บรรยากาศยามเช้าริมโขง
อาหารเช้าแบบคนบึงกาฬ ไข่กระทะ ข้าวเปียก โจ้กร้อนๆ บรรยากาศริมโขง
อรุณเบิกฟ้า เช้าวันต่อมาเราตื่นกันแต่เช้าเพื่อหารถเช่าหรือมอเตอร์ไซด์เช่า กะว่าจะแว้นกันเลยงานนี้ สุดท้ายฝันก็ต้องสลายเพราะที่บึงกาฬไม่มีรถเช่าให้บริการเลยครับ จนเรามาสรุปกันที่รถสามล้อ เช่ารายวันพร้อมคนขับ ในราคา 1200 บาท ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก เพราะฝนกระหน่ำตกทุกวัน หากเราเช่ามอเตอร์ไซด์คงไม่ได้เที่ยวแถมไข้ไปฝากที่บ้านด้วยแน่ๆ
จากนั้นการผจญภัยของเราในบึงกาฬก็เริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก่อนออกจากโรงแรม ฟ้าฝนเป็นใจมาก ฟ้าใสกิ๊ก แต่พอเราออกรถเพื่อไปภูทอกเป็นที่แรก พ้นตัวเมืองไปนิดเดียวเท่านั้นแหละ ฝนก็เทลงมา ซึ่งเราไม่สามารถหาซื้อเสื้อกันฝนได้อีกแล้ว เพราะร้านขายจะมีแค่ในเมืองเท่านั้น งานนี้ตลอดทั้งวัน ขอบอกว่าแฉะ เปียกยัน...เติมเอาเอง ฮาๆๆ แต่สนุกมากครับ ภูทอกในวันที่ฝนตกสวยจริงๆ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มมาก ดอกไม้ข้างทางดูบานสะพรั่งจริงๆ
จากตัวเมืองไปที่ภูทอก ระยะทางประมาณ 48 ก.ม. แต่ด้วยรถเก่า คนขับรุ่นเก๋า ฝนตก ถนนลื่น เราจึงค่อยๆไปแบบหวานเย็นทัวร์ ฮาๆๆ ล้อเล่นนะครับลุงคนขับ รักนะ...
พอไปถึงภูทอก เราแทบจะไม่รู้ตัว เพราะด้วยฝนที่ตกลงมาทำให้หมอกปกคลุมภูทอกจนมิด มองแทบไม่เห็น กลายเป็นเมืองในหมอกในทันที แต่ข้างบนขอบอกว่าสวยสุดๆ ผมไม่ได้ถ่ายภาพภูทอกมาแบบเต็มๆนะครับ เพราะถ่ายมาก็มองไม่เห็นอยู่ดี ฮาๆๆ
พอลงจากรถเราก็ต้องวิ่งหาที่หลบฝนกันก่อนเลย เพราะฝนได้เทลงมาหนักขึ้นจนขึ้นไม่ได้ เสื้อกันฝนก็ไม่มี มีแค่ร่มคันเดียวจากคุณลุงคนขับแบ่งกันสามคน อนาจจังเน๊าะ เรานั่งรอฝนอยู่สักครู่ใหญ่ จนฝนซาลงแต่ยังไม่ขาดเม็ด เราก็คุยกันว่าถ้าไม่ขึ้นภูทอกตอนนี้ เราคงไม่ได้ไปไหนแน่ๆ เพราะตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงแล้ว เราเลยเดินตากฝนปรอยๆ ไม่สนใจร่มแล้วผม เริ่มเกะกะ ทางเดินขึ้นภูทอกในวันที่ฝนตกแบบนี้ค่อนข้างจะอันตรายนะครับ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะทางเดินจะเป็นไม้ มีตะไคร่น้ำเกาะตามทาง อีกทั้งข้างๆพอขึ้นไปสูงๆจะเป็นเหว มีไม้กั้นกันตกอยู่ แต่หากเพื่อนๆคนไหนเอาลูกหลานไปก็จับให้แน่นนะครับ ปลอดภัยไว้ก่อน แต่รวมๆก็ถือว่าไม่มีอะไร วิวสวยไปอีกแบบ ได้เดินอยู่ในหมอกตลอดเลย
พอเดินไต่ระดับความสูงขึ้นไปได้สักระยะ ก็จะพบกับศาลาระหว่างทาง ซึ่งเราสามารถเข้าไปสักการะพระพุทธรูปด้านในได้
แล้วเราก็เดินต่อไปเรื่อยๆ หลงทางตลอด ฮาๆๆ เพราะป้ายที่นี่ไม่ค่อยชัดเจน มีเดินเข้าป่า จนเอะใจและต้องถอยออกมา เรียกได้ว่าเดินครบทุกจุดในภูทอกเลยงานนี้ ฮาๆๆ แต่ก็สนุกไปอีกแบบครับ เหมือนเขาวงกต
เดินหลงทางจนต้องไต่บันไดลงมาทางเก่า แต่ก็ได้รูปสวยๆมาแทนแฮะ
หลังจากที่หลงทางอยู่พักใหญ่ เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางจนได้ ที่นี่จะเป็นศาลาที่ถูกเชื่อมด้วยสะพานไม้ระหว่างหินสองลูก ข้างในจะมีพระพุทธรูปให้เราได้สักการะ
จากนั้นเราก็ได้เดินลงมาจากภูทอกและกลับมายังสามล้อคู่ใจคันเก่าเพื่อไปยังจุดหมายต่อไป จุดต่อไปเราจะไปกันที่น้ำตกถ้ำพระและน้ำตกเจ็ดสี แต่ข่าวดีคือ...ปิดจ้า เพราะเป็นช่วงน้ำเยอะ จึงไม่ได้เปิดให้บริการ อดสิงานนี้ อุตส่าห์ตั้งใจจะไปน้ำตกถ้ำพระเลย แต่ไม่เป็นไรครับ แผนสองย่อมมีเสมอ เราเลยเปลี่ยนจุดหมายไปที่หินสามวาฬแทน จากภูทอกไปที่หินสามวาฬ ระยะทางประมาณ 24 ก.ม. เหมือนเดิมครับ หวานเย็นทัวร์ ฮาๆๆ พอไปถึงที่หมาย เราก็ได้รับข่าวดีอีกรอบว่าหินสามวาฬปิด...อีก...แล้ว...จ้า เพราะมีรถติดหล่มอยู่ด้านบน ไม่สามารถขึ้นไปได้ ให้มาใหม่อีกทีวันพรุ่งนี้ หลังจากนั้นก็เหวอสิครับ ฮาๆๆ ไม่รู้ว่าจะไปไหนเลยคราวนี้
คุณลุงคนขับเลยได้แนะนำว่าให้ไปดูเรือโบราณที่วัดโพธาราม ไอ้พวกเราก็ไม่รู้หรอกว่าคืออะไร แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้วก็ไปตามลุง วัดโพธารามห่างจากตัวเมืองบึงกาฬประมาณ 7 ก.ม. เท่านั้น ตัววัดอยู่ติดริมน้ำโขง ภายในวัดเมื่อเดินเข้าไปเราจะเจอกับซากเรือกลไฟขนาดใหญ่ที่ทางวัดได้สร้างศาลาครอบเอาไว้เป็นอย่างดี ถึงแม้วันที่ไปจะไม่มีชาวบ้านมาที่นี่ แต่ดูจากรูปการณ์แล้วน่าจะไม่ขาดสายอย่างแน่นอน ดูจากรอยแป้งบนเรือที่ขาวโพลนแบบนี้ ฮาๆๆ
หลังจากที่สงสัยในประวัติความเป็นมาของเรือลำนี้ ผมจึงได้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมและได้พบว่า เรือลำนี้ถูกค้นพบจากก้นแม่น้ำโขงเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2559 มีความยาวประมาณ 25 เมตร คาดว่าจมอยู่ใต้แม่น้ำโขงนานกว่า 69 ปี ส่วนรายละเอียดอื่นๆลองหาดูกันเองนะครับ
ในตอนต่อไป ผมกับเพื่อนๆจะกลับไปยังหินสามวาฬครับผม รอติดตามกันได้นะครับ ขอบคุณครับ