บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/37896046
ท้ายบทที่แล้ว
นอกบ้านมืดสนิทและเงียบเชียบ ลูกสองคนนอนหลับในห้องที่จุดเทียนสว่างโร่และคิดว่าจะจุดเทียนให้สว่างทั้งคืน ความมืดดำกลืนกินบ้านพักของเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างออกไปแถวนั้นจนสิ้น ผมมองไม่เห็นแสงไฟหรืออะไรสักอย่างจากบ้านใกล้เรือนเคียง
...........
ในชีวิต ผมเคยรู้สึกหวาดกลัวอะไรต่อมิอะไรมากมาย แต่ไม่เคยรู้สึกถึงความเยือนยะเยือกจับใจอย่างคืนนี้มาก่อน ใบหน้าภรรยาสุดที่รักก็ปรากฏแวววิตกกังวลชนิดไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน ความไม่รู้ทำให้เรารู้สึกโง่ ความไม่เข้าใจจะนำไปสู่ความหวาดกลัวในที่สุด ใครบางคนเคยพูดเอาไว้อย่างนั้น ผมเพิ่งมารู้สึกความหมายแท้จริงในขณะนี้
ความรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างจ้องมองมาจากภายนอก ทะลุเข้ามาในร่างกาย แผ่ซ่านเข้าไปเกาะกุมจิตใจ เป็นความรู้ลึกประหลาดอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน ผมหันไปมองวรดา ภรรยาสุดที่รักด้วยความรู้สึกว่าไม่ได้มองเธออย่างตั้งใจมานานมากแล้ว ตั้งแต่ได้ข่าวระแคะระคายว่า เธออาจจะปันใจไปกับหัวหน้างานในบริบัทที่เธอทำงานอยู่ แน่ล่ะ... ผมยังไม่รู้รายละเอียดและไม่รู้ความจริง แต่ข่าวลือก็เริ่มสร้างช่องว่างอ้างอ้างชนิดหนึ่งขึ้นมาทีละน้อย
ผมเคยคิดว่าอยากหายไปจากโลก ไม่อยากรับรู้อะไรอีก หลายคนอาจจะเคยคิดอย่างนี้ มันช่างเป็นความคิดชั่ววูบ เพราะสุดท้ายลูกก็ยังเป็นห่วงคล้องวิญญาณให้ติดแน่นกับโลก อย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าใครหายไป คนเดือดร้อนคงเป็นลูกผู้ไม่รับรู้ปัญหาของพ่อแม่
หรือว่าความมืดรับรู้ว่าผมเคยเรียกร้องมัน ไม่ว่าจะจริงจังหรือเล่นก็ตาม เรื่องบ้าบออย่างนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ ความมืดก็คือความมืดธรรมดา ไม่ใช่พระเจ้าหรือปีศาจ
เสียงสุนัขเห่าดังแว่วมา เสียงเจ้าฟาโรสุนัขตัวโปรดของครอบครัวเรา
คงออกไปวิ่งเล่นตามประสาหมา เสียงดังเหมือนว่าอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ผมผิวปากและส่งเสียงเรียกหลายครั้ง ปกติไม่ว่าจะอยู่ไกลขนาดไหน พอได้ยินมันจะวิ่งมาหาเสมอ แต่วันนี้มีเพียงเสียงของเจ้าฟาโรครางเบา ๆ พอได้ยินราวหวาดกลัวบางอย่างจนหัวหด แล้วเงียบไป
ใบหน้าใต้แสงเทียนของวรดาซีดขาว เอ่ยปากตั้งข้อสังเกตอย่างวิตกกังวล
“ถ้าคุณผิวปากเรียก ปกติมันต้องวิ่งมาหาแล้วนี่คะ”
“ผมรู้” พยายามยิ้มให้ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติทั้งที่เริ่มรู้ว่ามีอะไรไม่ค่อยปกติแล้ว
“หรือมันจะบาดเจ็บ” เธอว่าพลางคว้าไฟฉาย ทำท่าจะลงไปจากบ้าน ผมรีบดึงแขนเธอไว้
“อย่า....คุณก็รู้ว่าเสียงร้องอย่างนั้นมันไม่ได้บาดเจ็บ แต่มันกลัวต่างหาก”
“กลัวอะไรคะ”
“ผมก็อยากรู้เหมือนกัน”
“ฟาโรมันอาจอยู่แถวนี้”
นั่นล่ะ...นิสัยของเธอใจอ่อน และจอมสงสาร ดื้ออีกต่างหาก ถ้าไม่จัดการอะไรสักอย่างเธอไม่มีวันเลิกราแน่
“เอาล่ะ… ผมจะไปดู” ผมพูด คว้าไฟฉายออกมาจากมือวรดาก่อนหันไปสั่งการ
“คุณไปอยู่กับลูก ระวังอย่าให้ไฟดับเด็ดขาด เทียนไม้ขีดอย่างห่างมือ ผมจะออกไปตามหาเจ้าฟาโร”
ผมก้าวลงบันไดเตี้ย ๆ เปิดไฟฉายสว่างจ้าเป็นลำยาว รอบด้านมืดชนิดไม่เคยเห็นมาก่อน ท้องฟ้าไม่มีแสงดาวสักดวง ความมืดนรกกัดกินแสงไฟฉายจนไม่สว่างเท่าที่ควร บรรยากาศหนักอึ้ง ราวกับว่ารอบตัวเต็มไปด้วยบางสิ่งซึ่งมีตัวตน แต่มองไม่เห็น ทว่าสัมผัสได้ถึงพลังความชั่วร้ายเร้นลับคาดไม่ถึง การออกจากบ้านไปตามหมาหมาตัวโปรด ให้ความรู้สึกราวกับว่าจะออกไปเผชิญหน้ากับวันสิ้นโลก
สิ่งปรากฏในแสงไฟมีพื้นทรายและรอยเท้าสุนัขตัวโปรด ฟาโรคงออกไปวิ่งเล่นตามประสาหมา รอยเท้าของมันวนเวียนไปมาก่อนจะเดินห่างออกไป หลังจากเดินตามรอยเท้าไปครู่หนึ่ง ก็พบว่ารอยเท้าหายไปจากพื้นทรายเฉย ๆ ไม่มีร่องรอยเจ้าของรอยเท้า เหมือนจู่ ๆ มันหายลับกลับกลายเป็นอากาศธาตุไป แบบไม่มีคำอธิบาย เป็นสิ่งผิดปกติ สุนัขตัวนี้ฉลาด แต่ก็คงไม่เก่งพอจะหายตัวไปจนไร้วี่แวว ชนิดหาคำอธิบายไม่ได้ นอกจากว่ามีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับมัน หรือเกิดบังเอิญมีปีกงอกออกมา แล้วบินขึ้นท้องฟ้าได้เท่านั้น ผมกะว่าจะเดินไปดูตามละแวกบ้านพักของเพื่อนบ้าน แต่เกิดจำทางไม่ได้ชนิดไม่น่าเชื่อ เหมือนจู่ ๆ ก็พบว่าตัวเองเกิดหลงทางในมหาสมุทรเวิ้งว้างกว้างไกล ชนิดไม่รู้ที่มาที่ไป ฟังดูไร้เหตุผล เป็นเรื่องตลกร้ายที่หัวเราะไม่ออกเลยสักนิด
ผมพยายามเอียงหูฟังเสียงคลื่น เพื่อจับทิศทางของทะเล แต่ไม่ได้ยินเสียงคลื่นลมกล่อมเห่อะไรเลยสักนิด ใจเริ่มสั่นสะท้านเพราะรู้ว่าบ้านพักไม่ได้ไกลชายหาด ยังเคยนอนฟังเสียงคลื่นลมจนหลับไหล แต่คืนนี้มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมา หันมองไปทางบ้านพัก แต่สิ่งที่เห็นมีเพียงความมืดชนิดทำเอาใจหายวาบ รู้ว่าตัวเองเดินออกมายังไม่ไกลเท่าไร อย่างน้อยแสงเทียนที่จุดเรียงรายทั่วบ้านควรจะส่องออกมาจากทางหน้าต่าง ปรากฏให้เห็นบ้าง
ผมรู้สึกขนลุกเกรียว
แสงไฟฉายเท่านั้นทำให้รู้ว่ายังมีตัวตน เริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองมีตัวตนหรือเปล่า เพราะสิ่งที่อยู่ในสายตาข้างหน้าคือแสงไฟฉาย ซึ่งเริ่มสลัวลงทุกที ถ้าแสงไฟฉายดับลงจะเป็นอย่างไร ยังเห็นอะไรอีกหรือไม่... มีตัวตนหรือไม่…คำถามแปลก ๆ อันไม่ไม่พึงประสงค์วิ่งพล่านในความคิดแบบไม่มีเหตุผล บางทีความมืด ความเงียบ ความโดดเดี่ยวเดียวดาย นี่ล่ะที่เป็นศัตรูตัวสำคัญของมนุษย์ ต่อให้จิตใจเข้มแข็งปานใดก็ยากจะไม่หวั่นไหว
รอยเท้าของผม ใช่… ไม่น่าโง่เลย นึกได้แล้วอยากจะกระโดดเตะตัวเองสักสองสามที แถวนี้เป็นพื้นทราย รอยเท้าเดินไปมาทิ้งร่องรอยเอาไว้ เพียงสังเกตและเดินตามรอยเท้าย้อนหลัง ก็กลับบ้านได้
ไม่รอช้า ผมสะกดจิตใจให้เป็นปกติอย่างเต็มที่ แสงไฟฉายส่องมองเห็นรอยเท้าตัวเองเป็นทางยาวหายไปในความมืด นั่นเป็นความหวังเดียวในเวลานี้ แสงไฟฉายไม่ได้สว่างออกไปไกลอย่างควรจะเป็น ราวกับว่าแสงสว่างถูกความมืดโอบล้อมบีบรัดเอาไว้ บรรยากาศเงียบอย่างประหลาด ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจและเสียงฝีเท้าของตัวเองย่ำลงพื้นทราย ฟังดูแปลกพิกล
น่าฉงนกับความรู้สึกของตัวเอง บางทีอาจจะเป็นอาการเริ่มต้นของอาการประสาทหลอนก็เป็นได้ ด้านหน้ายังมีแสงไฟฉาย แต่ด้านหลังไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีเพียงความมืด แต่ทำไมถึงรู้สึกว่ามันกำลังติดตามมาทุกฝีก้าวอย่างเงียบกริบมุ่งร้าย อาการประหลอนเกิดขึ้นได้กับทุกคน เมื่ออยู่ในสถานการณ์หนักอึ้งกดดันไร้เหตุผล แต่ชัดเจนในความรู้สึกจนแทบจะสัมผัสถึงลมหายใจของความมืด กำลังรดต้นคออันชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“แกไม่มีจริง” ผมตะโกนเสียงดัง ไม่ได้นึกอายใครแม้ตัวเอง “แกเป็นความมืดธรรมดาเท่านั้น ไอ้บ้าเอ้ย!”
พูดจบผมหันขวับไปทางด้านหลัง พร้อมแสงไฟฉายส่องกราดออกไป แน่นอนว่าไม่ได้มีอะไรนอกความมืด การกระทำคล้ายคนกำลังจะบ้าอยู่คนเดียว อย่างน้อยทำให้ใจชื้นว่าไม่มี ‘อะไร’ แอบสะกดรอยติดตามมาทางเบื้องหลัง ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร แต่พอเสียงสว่างกราดไปทางด้านหลัง ด้านหน้าก็รู้สึกถึงความกดดันกำลังเคลื่อนเข้ามาทีละน้อย
มันจ้องจะเล่นงานทุกสารทิศเลยหรือ... ผมอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ แต่หัวเราะไม่ออก นึกเสียใจที่น่าจะพกไฟฉายมาให้มากกว่านี้ แต่ใครจะไปรู้ล่ะ
แว่วเสียงเจ้าฟาโรเห่าดังแว่วมาไกล จับทิศทางไม่ได้ ทำให้ใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นไม่ว่าจะส่งเสียงเรียกอย่างไรก็ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรอีก ไอ้เพื่อนยากเอ้ย...แกน่าจะอยู่กับฉัน...ความรู้สึกเศร้าเหงาเกาะกุมความรู้สึก ถ้ามีฟาโรเป็นเพื่อนให้อุ่นใจ คงเป็นสิ่งแสนวิเศษสุด นึกแล้วเสียใจว่าที่ผ่านมาไม่ได้ดูแลเอาใจใส่พาโรเท่าที่ควร บางทียังเคยเตะมันเสียด้วยซ้ำยามอารมณ์เสีย แต่มันก็ไม่เคยถือโทษโกรธเคือง ยังวิ่งกระดิกหางมาหาทุกครั้งเมื่อกลับบ้าน
ทันไดนั้นเอง ไฟฉายพลันดับวูบ
ผมใจหายวาบ ทุกอย่างมืดสนิทลงทันใด รู้สึกว่าความรู้สึกของตนเองกำลังเริ่มถูกกัดกินทีละน้อยจากรอบด้าน ไม่ได้เจ็บปวด แต่เป็นความว่างเปล่าเย็นชาอันแสนน่ากลัว เหมือนกำลังถูกจุ่มลงไปในอ่างบรรจุสารเคมีทำให้ผิวหนังและความรู้สึกชาด้าน
“ติดซีโว้ย ติด..ๆ..ๆ..ๆ!”
มือกระแทกไปบนกระบอกไฟฉายอย่างบ้าคลั่งตื่นกลัว ปกติไม่ใช่นิสัยที่พึงกระทำ ทำไมต้องหวาดกลัวความมืดจนสติกระเจิดกระเจิงก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
แสงไฟฉายสว่างจ้า ราวกับเป็นแสงจากสรวงสวรรค์ ไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าแค่เห็นแสงไฟฉายว่างจ้าขึ้นก็รู้สึกดีใจมากมายขนาดนี้
“อย่าดับอีกนะ ขอร้องล่ะ...คุณพระคุณเจ้า พระเจ้า ซาตาน อะไรก็ได้ ได้โปรด อย่าให้ไฟฉายดับอีก...”
คำอ้อนวอนชนิดปากคอสั่นของผมดูเหมือนจะได้ผล แสงไฟฉายดูทรงพลังในการส่องสว่าง แต่จะไว้ใจก็ไม่ได้ บางทีมันอาจแกล้งวางมือหยอกล้อกับเหยื่อเล่นให้สนุกสนานเท่านั้น เงาของบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ปลายแสงไฟ ผมยกมือซ้ายขยี้ตาเพ่งมองเพื่อความแน่ใจ
ฟาโร หมาตัวโปรด ถึงจะอยู่ห่างไกลแต่ผมรู้ว่าเป็นมันแน่นอน ฟาโรยืนนิ่งราวหุ่นปั้น เวลาผ่านไปเล็กน้อยก็กลืนหายไปในความมืด ไม่ใช่ตาฝาดอย่างแน่นอน ความรู้สึกบอกย้ำอย่างชัดเจน แต่หมาทั้งตัวหายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร หายไปทั้งที่กำลังยืนนิ่ง ไม่ได้วิ่งหลบหนี หัวใจของผมสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง บรรยากาศเยือกเย็น แต่รู้สึกว่าเหงื่อชุ่มแผ่นหลัง ในความคิดเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจว่า มันเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรกัน การเห๋นเจ้าหมาหายไปอย่างไม่น่าเชื่อทำให้เกิดอาการวูบหวิวไปด้วย เป็นความรู้สึกของคำว่า ‘การสูญเสีย’ เต้นเร่าอยู่ในหัวใจ
ผมพยายามรวบรวมสติเต็มที่ เดินลากขาอย่างช้า ๆ ไปยังจุดสุดท้ายที่มองเห็นฟาโรยืนอยู่ อยากให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด
มีรอยเท้าของหมาประทับอยู่บนพื้นทราย ผมไม่ได้ประสาทหลอนไปเอง แต่ราวกับว่าฟาโรปรากฏตัวกะทันหัน แล้วก็หายไปแบบไม่ทันได้ก้าวเดิน
เจ้าความมืดมันแกล้งตอกย้ำความสูญเสีย ฝีมือของมันอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันอยากจะฆ่าแก....ผมทรุดตัวลงคุกเข่าลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง คำรามในใจด้วยความคลั่งแค้นใจ รู้ว่าไม่มีทางทำอะไรมันได้ รู้สึกถึงน้ำตาเล็กน้อยบริเวณหางตาจากความรู้สึกภายในคงเป็นสิ่งที่มันต้องการและได้เห็นไปแล้ว ความรู้สึกของผมเวลานี้อ่อนแอ โกรธแค้น หวาดกลัว และเกือบสิ้นหวัง ...ผมยังพอมีหวังจะต้องกลับบ้านให้ได้
“ลุกขึ้น...”
เสียงของอะไรบางอย่างดังอยู่ในหัว ไม่ใช่ได้ยินผ่านโสตประสาทตามปกติ แม้ความรู้สึกจะอึงอลปานใด เสียงประหลาดกลับชัดเจนเหลือเกิน
เหมือนจะรู้ว่าผมกำลังสิ้นแรงกายใจ เลยมากระตุ้นเตือน มันจะทำไปเพื่ออะไร แต่มันก็ทำให้ผมเกิดแรงฮึดขึ้นมาอีกครั้ง ที่บ้านยังมีลูกและภรรยารออยู่
“แกต้องการอะไรกันแน่” ผมพยุงตัวลุกขึ้นยืน ร้องถามลั่นไปในความมืด แต่ไม่มีการโต้ตอบอะไรกลับมาอีก มีเพียงกระแสของความมืดหมุนวนเข้ามาใกล้ เลื้อยผ่านบริเวณลำคอ ราวกับจะหยอกล้อจนเย็นยะเยือก ก่อนหลุดลอยไหลไปในความมืดรอบด้าน ผมรวบรวมสติ สิ่งที่ต้องทำให้ได้คือการรวบรวมกำลังกายใจ เดินทวนรอยตัวตัวเองกลับไปยังจุดแยกที่มองเห็นฟาโร เริ่มต้นจากตำแหน่งนั้น้พื่อเดินย้อนรอยกลับบ้าน มันต้องการหยอกเย้าให้ผมเสียเวลาเล่นหรืออย่างไร
ในที่สุดก็เริ่มมองเห็นแสงไฟสลัว ราวดวงดาวแห่งความหวัง ห่างปลายแสงไฟฉายออกไปไม่มากนัก อย่างน้อยมันก็ยอมให้ผมกลับบ้าน จนได้ในที่สุด บ้านพักปรากฏอยู่เบื้องหน้าจนได้ ผมผวาขึ้นไปด้วยอาการคนใกล้เสียสติ จับราวบันได ราวระเบียงให้แน่ใจว่าเป็นของจริง
แต่ความรู้สึกแปลก ๆ ยังคงรบกวนจิตใจไม่เลือนหาย
.
ความมืด..................3
https://ppantip.com/topic/37896046
ท้ายบทที่แล้ว
นอกบ้านมืดสนิทและเงียบเชียบ ลูกสองคนนอนหลับในห้องที่จุดเทียนสว่างโร่และคิดว่าจะจุดเทียนให้สว่างทั้งคืน ความมืดดำกลืนกินบ้านพักของเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างออกไปแถวนั้นจนสิ้น ผมมองไม่เห็นแสงไฟหรืออะไรสักอย่างจากบ้านใกล้เรือนเคียง
...........
ในชีวิต ผมเคยรู้สึกหวาดกลัวอะไรต่อมิอะไรมากมาย แต่ไม่เคยรู้สึกถึงความเยือนยะเยือกจับใจอย่างคืนนี้มาก่อน ใบหน้าภรรยาสุดที่รักก็ปรากฏแวววิตกกังวลชนิดไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน ความไม่รู้ทำให้เรารู้สึกโง่ ความไม่เข้าใจจะนำไปสู่ความหวาดกลัวในที่สุด ใครบางคนเคยพูดเอาไว้อย่างนั้น ผมเพิ่งมารู้สึกความหมายแท้จริงในขณะนี้
ความรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างจ้องมองมาจากภายนอก ทะลุเข้ามาในร่างกาย แผ่ซ่านเข้าไปเกาะกุมจิตใจ เป็นความรู้ลึกประหลาดอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน ผมหันไปมองวรดา ภรรยาสุดที่รักด้วยความรู้สึกว่าไม่ได้มองเธออย่างตั้งใจมานานมากแล้ว ตั้งแต่ได้ข่าวระแคะระคายว่า เธออาจจะปันใจไปกับหัวหน้างานในบริบัทที่เธอทำงานอยู่ แน่ล่ะ... ผมยังไม่รู้รายละเอียดและไม่รู้ความจริง แต่ข่าวลือก็เริ่มสร้างช่องว่างอ้างอ้างชนิดหนึ่งขึ้นมาทีละน้อย
ผมเคยคิดว่าอยากหายไปจากโลก ไม่อยากรับรู้อะไรอีก หลายคนอาจจะเคยคิดอย่างนี้ มันช่างเป็นความคิดชั่ววูบ เพราะสุดท้ายลูกก็ยังเป็นห่วงคล้องวิญญาณให้ติดแน่นกับโลก อย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าใครหายไป คนเดือดร้อนคงเป็นลูกผู้ไม่รับรู้ปัญหาของพ่อแม่
หรือว่าความมืดรับรู้ว่าผมเคยเรียกร้องมัน ไม่ว่าจะจริงจังหรือเล่นก็ตาม เรื่องบ้าบออย่างนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ ความมืดก็คือความมืดธรรมดา ไม่ใช่พระเจ้าหรือปีศาจ
เสียงสุนัขเห่าดังแว่วมา เสียงเจ้าฟาโรสุนัขตัวโปรดของครอบครัวเรา
คงออกไปวิ่งเล่นตามประสาหมา เสียงดังเหมือนว่าอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ผมผิวปากและส่งเสียงเรียกหลายครั้ง ปกติไม่ว่าจะอยู่ไกลขนาดไหน พอได้ยินมันจะวิ่งมาหาเสมอ แต่วันนี้มีเพียงเสียงของเจ้าฟาโรครางเบา ๆ พอได้ยินราวหวาดกลัวบางอย่างจนหัวหด แล้วเงียบไป
ใบหน้าใต้แสงเทียนของวรดาซีดขาว เอ่ยปากตั้งข้อสังเกตอย่างวิตกกังวล
“ถ้าคุณผิวปากเรียก ปกติมันต้องวิ่งมาหาแล้วนี่คะ”
“ผมรู้” พยายามยิ้มให้ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติทั้งที่เริ่มรู้ว่ามีอะไรไม่ค่อยปกติแล้ว
“หรือมันจะบาดเจ็บ” เธอว่าพลางคว้าไฟฉาย ทำท่าจะลงไปจากบ้าน ผมรีบดึงแขนเธอไว้
“อย่า....คุณก็รู้ว่าเสียงร้องอย่างนั้นมันไม่ได้บาดเจ็บ แต่มันกลัวต่างหาก”
“กลัวอะไรคะ”
“ผมก็อยากรู้เหมือนกัน”
“ฟาโรมันอาจอยู่แถวนี้”
นั่นล่ะ...นิสัยของเธอใจอ่อน และจอมสงสาร ดื้ออีกต่างหาก ถ้าไม่จัดการอะไรสักอย่างเธอไม่มีวันเลิกราแน่
“เอาล่ะ… ผมจะไปดู” ผมพูด คว้าไฟฉายออกมาจากมือวรดาก่อนหันไปสั่งการ
“คุณไปอยู่กับลูก ระวังอย่าให้ไฟดับเด็ดขาด เทียนไม้ขีดอย่างห่างมือ ผมจะออกไปตามหาเจ้าฟาโร”
ผมก้าวลงบันไดเตี้ย ๆ เปิดไฟฉายสว่างจ้าเป็นลำยาว รอบด้านมืดชนิดไม่เคยเห็นมาก่อน ท้องฟ้าไม่มีแสงดาวสักดวง ความมืดนรกกัดกินแสงไฟฉายจนไม่สว่างเท่าที่ควร บรรยากาศหนักอึ้ง ราวกับว่ารอบตัวเต็มไปด้วยบางสิ่งซึ่งมีตัวตน แต่มองไม่เห็น ทว่าสัมผัสได้ถึงพลังความชั่วร้ายเร้นลับคาดไม่ถึง การออกจากบ้านไปตามหมาหมาตัวโปรด ให้ความรู้สึกราวกับว่าจะออกไปเผชิญหน้ากับวันสิ้นโลก
สิ่งปรากฏในแสงไฟมีพื้นทรายและรอยเท้าสุนัขตัวโปรด ฟาโรคงออกไปวิ่งเล่นตามประสาหมา รอยเท้าของมันวนเวียนไปมาก่อนจะเดินห่างออกไป หลังจากเดินตามรอยเท้าไปครู่หนึ่ง ก็พบว่ารอยเท้าหายไปจากพื้นทรายเฉย ๆ ไม่มีร่องรอยเจ้าของรอยเท้า เหมือนจู่ ๆ มันหายลับกลับกลายเป็นอากาศธาตุไป แบบไม่มีคำอธิบาย เป็นสิ่งผิดปกติ สุนัขตัวนี้ฉลาด แต่ก็คงไม่เก่งพอจะหายตัวไปจนไร้วี่แวว ชนิดหาคำอธิบายไม่ได้ นอกจากว่ามีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับมัน หรือเกิดบังเอิญมีปีกงอกออกมา แล้วบินขึ้นท้องฟ้าได้เท่านั้น ผมกะว่าจะเดินไปดูตามละแวกบ้านพักของเพื่อนบ้าน แต่เกิดจำทางไม่ได้ชนิดไม่น่าเชื่อ เหมือนจู่ ๆ ก็พบว่าตัวเองเกิดหลงทางในมหาสมุทรเวิ้งว้างกว้างไกล ชนิดไม่รู้ที่มาที่ไป ฟังดูไร้เหตุผล เป็นเรื่องตลกร้ายที่หัวเราะไม่ออกเลยสักนิด
ผมพยายามเอียงหูฟังเสียงคลื่น เพื่อจับทิศทางของทะเล แต่ไม่ได้ยินเสียงคลื่นลมกล่อมเห่อะไรเลยสักนิด ใจเริ่มสั่นสะท้านเพราะรู้ว่าบ้านพักไม่ได้ไกลชายหาด ยังเคยนอนฟังเสียงคลื่นลมจนหลับไหล แต่คืนนี้มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมา หันมองไปทางบ้านพัก แต่สิ่งที่เห็นมีเพียงความมืดชนิดทำเอาใจหายวาบ รู้ว่าตัวเองเดินออกมายังไม่ไกลเท่าไร อย่างน้อยแสงเทียนที่จุดเรียงรายทั่วบ้านควรจะส่องออกมาจากทางหน้าต่าง ปรากฏให้เห็นบ้าง
ผมรู้สึกขนลุกเกรียว
แสงไฟฉายเท่านั้นทำให้รู้ว่ายังมีตัวตน เริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองมีตัวตนหรือเปล่า เพราะสิ่งที่อยู่ในสายตาข้างหน้าคือแสงไฟฉาย ซึ่งเริ่มสลัวลงทุกที ถ้าแสงไฟฉายดับลงจะเป็นอย่างไร ยังเห็นอะไรอีกหรือไม่... มีตัวตนหรือไม่…คำถามแปลก ๆ อันไม่ไม่พึงประสงค์วิ่งพล่านในความคิดแบบไม่มีเหตุผล บางทีความมืด ความเงียบ ความโดดเดี่ยวเดียวดาย นี่ล่ะที่เป็นศัตรูตัวสำคัญของมนุษย์ ต่อให้จิตใจเข้มแข็งปานใดก็ยากจะไม่หวั่นไหว
รอยเท้าของผม ใช่… ไม่น่าโง่เลย นึกได้แล้วอยากจะกระโดดเตะตัวเองสักสองสามที แถวนี้เป็นพื้นทราย รอยเท้าเดินไปมาทิ้งร่องรอยเอาไว้ เพียงสังเกตและเดินตามรอยเท้าย้อนหลัง ก็กลับบ้านได้
ไม่รอช้า ผมสะกดจิตใจให้เป็นปกติอย่างเต็มที่ แสงไฟฉายส่องมองเห็นรอยเท้าตัวเองเป็นทางยาวหายไปในความมืด นั่นเป็นความหวังเดียวในเวลานี้ แสงไฟฉายไม่ได้สว่างออกไปไกลอย่างควรจะเป็น ราวกับว่าแสงสว่างถูกความมืดโอบล้อมบีบรัดเอาไว้ บรรยากาศเงียบอย่างประหลาด ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจและเสียงฝีเท้าของตัวเองย่ำลงพื้นทราย ฟังดูแปลกพิกล
น่าฉงนกับความรู้สึกของตัวเอง บางทีอาจจะเป็นอาการเริ่มต้นของอาการประสาทหลอนก็เป็นได้ ด้านหน้ายังมีแสงไฟฉาย แต่ด้านหลังไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีเพียงความมืด แต่ทำไมถึงรู้สึกว่ามันกำลังติดตามมาทุกฝีก้าวอย่างเงียบกริบมุ่งร้าย อาการประหลอนเกิดขึ้นได้กับทุกคน เมื่ออยู่ในสถานการณ์หนักอึ้งกดดันไร้เหตุผล แต่ชัดเจนในความรู้สึกจนแทบจะสัมผัสถึงลมหายใจของความมืด กำลังรดต้นคออันชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“แกไม่มีจริง” ผมตะโกนเสียงดัง ไม่ได้นึกอายใครแม้ตัวเอง “แกเป็นความมืดธรรมดาเท่านั้น ไอ้บ้าเอ้ย!”
พูดจบผมหันขวับไปทางด้านหลัง พร้อมแสงไฟฉายส่องกราดออกไป แน่นอนว่าไม่ได้มีอะไรนอกความมืด การกระทำคล้ายคนกำลังจะบ้าอยู่คนเดียว อย่างน้อยทำให้ใจชื้นว่าไม่มี ‘อะไร’ แอบสะกดรอยติดตามมาทางเบื้องหลัง ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร แต่พอเสียงสว่างกราดไปทางด้านหลัง ด้านหน้าก็รู้สึกถึงความกดดันกำลังเคลื่อนเข้ามาทีละน้อย
มันจ้องจะเล่นงานทุกสารทิศเลยหรือ... ผมอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ แต่หัวเราะไม่ออก นึกเสียใจที่น่าจะพกไฟฉายมาให้มากกว่านี้ แต่ใครจะไปรู้ล่ะ
แว่วเสียงเจ้าฟาโรเห่าดังแว่วมาไกล จับทิศทางไม่ได้ ทำให้ใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นไม่ว่าจะส่งเสียงเรียกอย่างไรก็ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรอีก ไอ้เพื่อนยากเอ้ย...แกน่าจะอยู่กับฉัน...ความรู้สึกเศร้าเหงาเกาะกุมความรู้สึก ถ้ามีฟาโรเป็นเพื่อนให้อุ่นใจ คงเป็นสิ่งแสนวิเศษสุด นึกแล้วเสียใจว่าที่ผ่านมาไม่ได้ดูแลเอาใจใส่พาโรเท่าที่ควร บางทียังเคยเตะมันเสียด้วยซ้ำยามอารมณ์เสีย แต่มันก็ไม่เคยถือโทษโกรธเคือง ยังวิ่งกระดิกหางมาหาทุกครั้งเมื่อกลับบ้าน
ทันไดนั้นเอง ไฟฉายพลันดับวูบ
ผมใจหายวาบ ทุกอย่างมืดสนิทลงทันใด รู้สึกว่าความรู้สึกของตนเองกำลังเริ่มถูกกัดกินทีละน้อยจากรอบด้าน ไม่ได้เจ็บปวด แต่เป็นความว่างเปล่าเย็นชาอันแสนน่ากลัว เหมือนกำลังถูกจุ่มลงไปในอ่างบรรจุสารเคมีทำให้ผิวหนังและความรู้สึกชาด้าน
“ติดซีโว้ย ติด..ๆ..ๆ..ๆ!”
มือกระแทกไปบนกระบอกไฟฉายอย่างบ้าคลั่งตื่นกลัว ปกติไม่ใช่นิสัยที่พึงกระทำ ทำไมต้องหวาดกลัวความมืดจนสติกระเจิดกระเจิงก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
แสงไฟฉายสว่างจ้า ราวกับเป็นแสงจากสรวงสวรรค์ ไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าแค่เห็นแสงไฟฉายว่างจ้าขึ้นก็รู้สึกดีใจมากมายขนาดนี้
“อย่าดับอีกนะ ขอร้องล่ะ...คุณพระคุณเจ้า พระเจ้า ซาตาน อะไรก็ได้ ได้โปรด อย่าให้ไฟฉายดับอีก...”
คำอ้อนวอนชนิดปากคอสั่นของผมดูเหมือนจะได้ผล แสงไฟฉายดูทรงพลังในการส่องสว่าง แต่จะไว้ใจก็ไม่ได้ บางทีมันอาจแกล้งวางมือหยอกล้อกับเหยื่อเล่นให้สนุกสนานเท่านั้น เงาของบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ปลายแสงไฟ ผมยกมือซ้ายขยี้ตาเพ่งมองเพื่อความแน่ใจ
ฟาโร หมาตัวโปรด ถึงจะอยู่ห่างไกลแต่ผมรู้ว่าเป็นมันแน่นอน ฟาโรยืนนิ่งราวหุ่นปั้น เวลาผ่านไปเล็กน้อยก็กลืนหายไปในความมืด ไม่ใช่ตาฝาดอย่างแน่นอน ความรู้สึกบอกย้ำอย่างชัดเจน แต่หมาทั้งตัวหายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร หายไปทั้งที่กำลังยืนนิ่ง ไม่ได้วิ่งหลบหนี หัวใจของผมสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง บรรยากาศเยือกเย็น แต่รู้สึกว่าเหงื่อชุ่มแผ่นหลัง ในความคิดเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจว่า มันเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรกัน การเห๋นเจ้าหมาหายไปอย่างไม่น่าเชื่อทำให้เกิดอาการวูบหวิวไปด้วย เป็นความรู้สึกของคำว่า ‘การสูญเสีย’ เต้นเร่าอยู่ในหัวใจ
ผมพยายามรวบรวมสติเต็มที่ เดินลากขาอย่างช้า ๆ ไปยังจุดสุดท้ายที่มองเห็นฟาโรยืนอยู่ อยากให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด
มีรอยเท้าของหมาประทับอยู่บนพื้นทราย ผมไม่ได้ประสาทหลอนไปเอง แต่ราวกับว่าฟาโรปรากฏตัวกะทันหัน แล้วก็หายไปแบบไม่ทันได้ก้าวเดิน
เจ้าความมืดมันแกล้งตอกย้ำความสูญเสีย ฝีมือของมันอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันอยากจะฆ่าแก....ผมทรุดตัวลงคุกเข่าลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง คำรามในใจด้วยความคลั่งแค้นใจ รู้ว่าไม่มีทางทำอะไรมันได้ รู้สึกถึงน้ำตาเล็กน้อยบริเวณหางตาจากความรู้สึกภายในคงเป็นสิ่งที่มันต้องการและได้เห็นไปแล้ว ความรู้สึกของผมเวลานี้อ่อนแอ โกรธแค้น หวาดกลัว และเกือบสิ้นหวัง ...ผมยังพอมีหวังจะต้องกลับบ้านให้ได้
“ลุกขึ้น...”
เสียงของอะไรบางอย่างดังอยู่ในหัว ไม่ใช่ได้ยินผ่านโสตประสาทตามปกติ แม้ความรู้สึกจะอึงอลปานใด เสียงประหลาดกลับชัดเจนเหลือเกิน
เหมือนจะรู้ว่าผมกำลังสิ้นแรงกายใจ เลยมากระตุ้นเตือน มันจะทำไปเพื่ออะไร แต่มันก็ทำให้ผมเกิดแรงฮึดขึ้นมาอีกครั้ง ที่บ้านยังมีลูกและภรรยารออยู่
“แกต้องการอะไรกันแน่” ผมพยุงตัวลุกขึ้นยืน ร้องถามลั่นไปในความมืด แต่ไม่มีการโต้ตอบอะไรกลับมาอีก มีเพียงกระแสของความมืดหมุนวนเข้ามาใกล้ เลื้อยผ่านบริเวณลำคอ ราวกับจะหยอกล้อจนเย็นยะเยือก ก่อนหลุดลอยไหลไปในความมืดรอบด้าน ผมรวบรวมสติ สิ่งที่ต้องทำให้ได้คือการรวบรวมกำลังกายใจ เดินทวนรอยตัวตัวเองกลับไปยังจุดแยกที่มองเห็นฟาโร เริ่มต้นจากตำแหน่งนั้น้พื่อเดินย้อนรอยกลับบ้าน มันต้องการหยอกเย้าให้ผมเสียเวลาเล่นหรืออย่างไร
ในที่สุดก็เริ่มมองเห็นแสงไฟสลัว ราวดวงดาวแห่งความหวัง ห่างปลายแสงไฟฉายออกไปไม่มากนัก อย่างน้อยมันก็ยอมให้ผมกลับบ้าน จนได้ในที่สุด บ้านพักปรากฏอยู่เบื้องหน้าจนได้ ผมผวาขึ้นไปด้วยอาการคนใกล้เสียสติ จับราวบันได ราวระเบียงให้แน่ใจว่าเป็นของจริง
แต่ความรู้สึกแปลก ๆ ยังคงรบกวนจิตใจไม่เลือนหาย
.