ความมืด 2.................

กระทู้สนทนา
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/37887133

ความเดิมตอนที่แล้ว

      น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่ร้อนรนตกใจกลัว ไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย และน้ำเสียงพูดฟังแล้วเหมือนกับเสียงบรรดาคุณหมอเคยใช้กับคนไข้โรคจิตไม่มีผิด พระช่วย .....! จะมาหาพระแสงอะไร พวกมันเห็นฉันเป็นคนบ้าไปแล้วหรือ เขากระแทกหูโทรศัพท์อย่างแรง ทรุดตัวลงนั่ง หายใจหอบจนอกกระเพื่อม    

     ไอ้พวกบ้า...!  พากันเป็นอะไรไปหมดแล้ว

...................
    
             ถุงบนโต๊ะขยับไปมาอีก คราวนี้มองเห็นถนัดชัดตา
       
             เขาขบกรามแน่น ถุงขยับเองได้ บ้ามากเกินไปหรือเปล่า...ไม่...ไม่ใช่...จิตแพทย์มือหนึ่งพยายามฝังความคิดเข้าไปในสมอง...เราเป็นจิตแพทย์ จะต้องไม่บ้า   หยิบมันขึ้นมาด้วยหัวใจเต้นแรงแบบไร้เหตุผล แม้พยายามบอกตัวเองว่า  ไม่มีอะไรอยู่ภายในถุงแม้แต่มดสักตัว  หมาสักตัวก็ไม่มี.. พิจารณาครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจตัดปากถุงออกด้วยกรรไกรอย่างระมัดระวัง ทั้งที่รู้ว่าไม่จำเป็นต้องระวังอะไรเลยสักนิด
      
        
            เห็นไหม ไม่มีอะไร... ก็มันไม่มีอะไร จะให้มีอะไร...เขาพยายามหัวเราะออกมาเหมือนคนใกล้เสียสติ เมื่อเปิดปากถุงกว้างและมองลงไปพบว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า ไม่มีอะไรอย่างที่วิตก เขาคงอยู่กับคนไข้มากเกินไปจนโรคบ้าประสาทระบาดเข้าใส่ จิตแพทย์ผู้กำลังจะกลายเป็นคนไข้เสียเอง เอียงถุงรับแสงไปมา แบบคนย้ำคิดย้ำทำ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรอยู่ในถุงใบนั้นจริง ๆ
       
            นอกจากความมืด.... !

           ไม่มีอะไรเลย

           นอกจากความมืด!
      
           ก้นถุงดำทะมืนอยู่ภายใน ไม่ว่าเอียงมองมุมไหนอย่างไร ก็มองไม่เห็นอะไรเลยสักนิด
      
           “มันทาสีดำ” เขาคำรามในลำคอ สีดำดูดกลืนแสงทั้งหมด มันจึงดูเป็นสีดำ ความรู้ชั้นเด็กประถม! ไม่มีอะไรให้วิตก
         
              ทำไมไม่ลองควานมือดูล่ะ ถ้าจะให้แน่ใจ……!  ว่าแต่จะทำแบบนั้นไปทำไม
       
            หมอยืนงงกับตัวเองครู่หนึ่ง กับอารมณ์และความกลัวที่ พยายามเก็บกดมันไว้ในส่วนลึกที่สุด แต่ตอนนี้มันกำลังดิ้นรนออกมาจากการควบคุม ยิ่งกดมากเท่าไร  ยิ่งรับรู้การต่อต้าน ความเย็นยะเยือกบางส่วนคืบคลานไปตามไขสันหลัง จนรู้สึกขนลุกไปทั่วตัว  ไม่น่าเชื่อว่าถุงที่ปกติใบหนึ่ง จะสร้างเรื่องยุ่งยากวุ่นวายจนแทบประสาทเสียขนาดนี้
      
             เป็นไงเป็นกัน...!  

             เขาตัดสินใจล้วงมือขวาลงไปในถุงอย่างช้า ๆ ปลายนิ้วดูเหมือนจะสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่อยากเชื่อว่า ตัวเองจะหวาดระแวงกับการล้วงเข้าไปในถุงธรรมดาใบหนึ่ง ช่างน่าอายคนบ้า ทำไมเป็นไปได้ขนาดนี้ มันก็แค่ถุงดำธรรมดา ไมมีอะไรต้องคิดมาก
      
             ไม่มีอะไรจริง ๆ คุณหมอยิ้มอย่างผู้ชนะและโล่งใจ ก้นถุงว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่หมาสักตัว เขาควานมือลงไปในถุงจนลึกสุด รู้สึกเหมือนจอมทัพผู้กำลังจะประกาศชัยชนะขั้นเด็ดขาด
        
             ถุงไม่ได้ใหญ่เกินไป ความยาวของมันไม่เกินหนึ่งศอก แต่ทำไม...เขาล้วงมือขวาลงไปจนลึกถึงไหล่ มือก็ยังไม่สัมผัสถึงก้นถุง…!
        
             ยิ้มค้าง !
        
            แล้วมือของเขาหายไปไหน คุณหมอใจหายวาบ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต รีบดึงมือตัวเองออกมาจากถุงทันที  เหวี่ยงถุงทิ้งออกไปอย่างลนลานหวาดกลัวและเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ มันบ้ายิ่งกว่าบ้า จอมทัพผู้กำลังจะประกาศชัย ชนะถูกโยนลงในหุบเหวแห่งความพ่ายแพ้มืดดำ
         
            มือข้างนั้นไม่มี  เขารู้สึกว่าเหมือนมัน “ไม่เคยมี” มากกว่าจะ “หายไป” และสิ่งที่มาทดแทนคือความมืดอันว่างเปล่ากำลังแผ่ขยายกัดกินลุกลามหัวไหล่ ซอกคอ เข้ามาอย่างหิวโหยรวดเร็วแบบไม่ทันให้ตั้งตัว มันเลวร้ายยิ่งกว่าฝันร้ายใดในชีวิต
       
             สำนึกสุดท้ายของคุณหมอผู้โชคร้ายคือการลุกขึ้นวิ่งไปยังประตู พยายามจับลูกบิดหมุนเพื่อเปิดประตูออก แต่เขามองไม่เห็นมือตัวเอง ไม่รู้สึกถึงมือของตัวเองเสียแล้ว
        
           ไม่เจ็บไม่ปวด แต่ไม่มี !!

        

          “อ้าว ...ที่รัก ใครมาปิดไฟหน้าบ้านล่ะ บอกให้เปิดไว้ทุกคืนกันขโมย”
         
             “เอ...ไม่รู้สิคะ ไม่มีใครปิดไฟนี่นา”
        
             “...ทุกคนพากันมาที่นี่เร็ว ได้เวลาดับไฟเป่าเทียนร้องเพลงวันเกิดแล้ว...”
              
             เสียงเด็ก เสียงผู้ใหญ่เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เอะอะ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขสันต์หรรษาในบ้านอันอบอุ่นในบ้านหลังหนึ่ง  
         
             ในที่สุดเทียนไขวันเกิดถูกเป่าดับ
        
             ความมืดก็มาปกคลุม


            ความมืดเริ่มปกคลุมหลังช่วงบ่ายอันค่อนข้างร้อนอบอ้าวผ่านไป


             ท้องฟ้าทางทิศตะวันตกมืดทะมืนคล้ายเมฆฝนกำลังตั้งเค้า ก่อตัวมันเป็นความมืดดำน่ากลัวอย่างประหลาด ค่อยเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้าๆ แต่เต็มไปด้วยพลังมหาศาลน่าประหวั่นพรั่นพรึง คุณหมอหนุ่มนั่งพิงพนักเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน สนใจกับบันทึกของคนไข้ตามโครงการแจกสมุดให้คนไข้ทางจิตระดับไม่เป็นอันตรายเขียนระบายความคิดความรู้สึก บางเล่มอ่านแล้วคงไม่มีคนธรรมดาคนไหนเข้าใจ แต่บางเล่มก็มีเนื้อหาข้อความแปลก ๆน่าสนใจเกินกว่าจะมองข้ามไป
      
           เขาเริ่มอ่านบันทึกของตนไข้ซึ่งเลือกมาถือไว้เล่มหนึ่งในมือ
              
        
             ผมพยายามบอกใครต่อใครแล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อ ผมก็ไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมไม่มีใครเชื่อ
       

             มันไม่เกิดกับทุกคน แต่เลือกเกิดกับใครบางคนที่มันหมายตาเอาไว้  ไม่ใช่ว่ามันไม่ต้องการทั้งหมด แต่มันฉลาดและใจเย็นพอ สนุกกับการค่อยตะครุบพวกเราทีละน้อย ไม่ให้พวกที่เหลือไหวตัวป้องกันทัน
       
             มันเริ่มต้นในช่วงพักร้อนที่ผ่านมากับบ้านพักริมทะเล  ช่วงเย็นพวกเรา - พ่อแม่ ลูกสาว ลูกชายวัยน่ารัก พักอยู่ในบ้านพักตากอากาศริมทะเล กลางวันอาบน้ำ รับประทานอาหาร บางครั้งสังสรรค์ พร้อมกับเพื่อนละแวกใกล้เคียง เวลากลางคืนนอนฟังเสียงคลื่นซัดฝั่งกับสายลมเย็น
        
             “พ่อคะ”
       
             ลูกสาววัยห้าขวบชี้มือให้ดูขอบฟ้าทางตะวันตกในช่วงใกล้ค่ำด้านตรงข้ามกับทะเล  ผมหันไปมองอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะกำลังสนใจทิวทัศน์สวยงามริมชายหาดมากกว่า
      
             “เมฆตรงโน้นค่ะ...น่ากลัวจัง”
         
             ท้องฟ้าทางทิศตะวันตกมองเห็นทิวเขาไกลเริ่มมีเงามืดทะมืนคล้ายเมฆฝนกำลังตั้งเค้าก่อตัว แต่มันเป็นความมืดดำดูน่ากลัวอย่างประหลาด
       
              “ก็แค่เมฆฝนธรรมดา...ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ”   ผมปลอบใจลูกสาว เธอกำลังน่ารัก อุ้มตุ๊กตาหมีแพนด้าตัวโปรดไม่ห่างกาย ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น แต่เมื่อหันไปมองดูให้ดีอีกครั้ง รู้สึกว่าท้องฟ้าทางทิศตะวันตกดูน่ากลัวมากกว่าทุกวัน ผมไม่เคยเห็นเมฆหรือขอบฟ้าดำมืดแปลกพิกลอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต
      
             ความมืดคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทิวสนดงไม้ยอดเขากำลังถูกกลืนหายไปในความมืด แผ่นน้ำและแผ่นฟ้าเริ่มผสมผสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว น่าแปลกอย่างหนึ่งคือมองอย่างไรก็ไม่เห็นไฟสว่างวับแวมเรียงราย จากอาคารบ้านเรือนตามริมฝั่งทะเลอย่างเคย
         
             “คุณคะ ไฟฟ้าดับค่ะ”
      
                  เสียงภรรยาของผมร้องเรียกมาจากทางหน้าต่างบ้านพักริมชายหาดห่างออกไปไม่ไกลนัก
         
              “ดา หาเทียนไข หรือตะเกียง อะไรสักอย่าง จุดไฟให้สว่างเข้าไว้”
       
              ผมร้องบอกภรรยา หันไปสังเกตดูขอบฟ้าทางทิศตะวันตกอย่างสนใจอีกครั้ง  เมฆอะไรจะดำมืดขนาดนี้ ไม่มีแสงสว่างวูบวาบอย่างเมฆฝนธรรมดา ไม่มีเสียงคำรามกระหึ่ม มีแต่ความเงียบชนิดน่าตกใจ เมื่อดูให้ดีก็เริ่มไม่แน่ใจว่ามันเป็นเมฆจริงหรือเปล่า ผมเริ่มรู้สึกถึงความน่ากลัวอันไร้สภาพแผ่ซ่านมารอบข้างเกาะกุมความรู้สึกจนทำให้หัวใจเต้นแรง เหงื่อซึมตามแผ่นหลังจนเปียกชุ่ม
        
            “มีอะไรหรือเปล่าคะ”  ภรรยาผมร้องถามมาอีกด้วยน้ำเสียงมีแววกังวล
        
             “ไม่มีอะไรที่รัก รีบหาไฟฉายหรือเทียนไขเร็วเข้า มืดแล้ว”
       
             ประโยคหลังแทบเป็นการตะโกน ความมืดปกคลุมเข้ามา ก่อให้เกิดความหวาดวิตกร้อนรนใจอย่างบอกไม่ถูกและไม่มีเหตุผล จนต้องเผ่นเข้าไปในบ้านจัดการรื้อหาเทียนไข ตะเกียง หรืออะไรก็ได้ที่สามารถให้แสงสว่าง
       
             ขอบคุณพระเจ้า....!  มีไฟฉายท่อนหนึ่ง เทียนไขหลายกล่อง ไม้ขีดอยู่ในลิ้นชักโต๊ะภายในห้องนอนสภาพพร้อมใช้งาน วรดามองอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นผมจุดเทียนไขวางเรียงรายจนสว่างทั่วบ้าน ยังดีว่าไม่มีลมฝนพัดกระโชกแรงอย่างควรจะเป็น จึงไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเทียนไขดับเพราะแรงลม
             
             แต่ภายหลังผมจึงได้คิดว่า ถ้าจะมีลมฝนพายุพัดแรงอย่างควรเป็นไปตามธรรมชาติ จะดีกว่าสภาพอันเงียบสงบผิดปกติจนน่ากลัว
        
            “มีอะไรหรือคะ ดูคุณวิตกกังวลชอบกล”
       
             ผมจ้องใบหน้าของภรรยาซึ่งมีแววไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด ลางสังหรณ์น่ากลัวชนิดหนึ่งวิ่งเข้าเกาะกุมจิตใจ จนขนลุกเกรียวอย่างไร้เกตุผล จะบอกออกมาได้อย่างไรว่าผมวิตกกังวลกับความมืด ฟังดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
      
             “คุณว่าวันนี้มีอะไรผิดปกติไหม”
         
            เสียงถามของผมแหบพร่าจนตัวเองตกใจ ความรู้สึกเครียดภายในประดังทะลักจนแทบควบคุมไม่อยู่และผมก็สังเกตเห็นความวิตกกังวลปรากฏอยู่ในแววตาเธอเช่นกัน
        
             “มันมืดและเงียบแปลก ๆ ...”   เธอตอบเสียงแผ่วพลางหันไปมองทางหน้าต่าง
         
              นอกบ้านมืดสนิทและเงียบเชียบ ลูกสองคนนอนหลับในห้องที่จุดเทียนสว่างโร่และคิดว่าจะจุดเทียนให้สว่างทั้งคืน ความมืดดำกลืนกินบ้านพักของเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างออกไปแถวนั้นจนสิ้น ผมมองไม่เห็นแสงไฟหรืออะไรสักอย่างจากบ้านใกล้เรือนเคียง




จบบทครับ
ขอบคุณท่านที่แวะเวียนมาเด้อ
คุณ เปลวอัคคี , คุณ มัศยวีร์ , คุณ กาล อนันตา ,คุณ เสาวรส17, คุณ ลายลิขิต, คุณ นลินมณี , คุณ turtle_cheesecake , คุณ ศรเขียว, คุณ Na(นะ)

เด้อ
หัวใจหัวใจหัวใจหัวใจ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่