เจตภูต
เจตสิกมาจากไหน มาจากลิ้งค์ (เจตภูต) อันที่จริงลิ้งค์สูงกว่านี้ มาจากข้างใน อันนี้เจตภูตมาจากข้างในธรรม ภาษาจีนเรียกว่า เต๋าบ้อ พราหมณ์เรียกว่า พรหมมัน
เจตภูต เป็นตัวใน มาควบคุมจิตเราอีกทีหนึ่ง
ปัญญาที่ทำให้เราพูดคุยได้ คือ เจตภูต มาควบคุมจิตเราอีกทีหนึ่ง
เราจะตีเขาแล้วจิตอีกตัวหนึ่งมาบอกว่าไม่ดี ไม่ควรตี จิตตัวสัมมามาบอกว่าไม่ต้องตี เจตภูตสัมมา ถ้าไปตีเขา เป็นเจตภูตไปให้เกิดมิจฉา เพราะเอาตัวมิจฉาไปปรุงเข้าไปในตัวเจตสิก แล้วเจตสิกไปปรุงในจิต
เจตภูตเป็นลักษณะตัวบุคคลของใครของมันหรือไม่ ไม่ใช่ เพียงแต่เจตภูตทำหน้าที่ ถ้าออกมา นั่นคือเจตนาแล้ว กลายเป็นจริตแล้ว เป็นอะไรแล้วถึงจะมีบุคคล เขาเรียกว่าสัมปชัญญะก็ได้
เจตภูต ชีวิต ๗ เส้นสาย
ชีวิตของคนเรานี้ถ้าอธิบายตามไสยเวทย์แล้ว ชีวิตของคนเราประกอบด้วยกันทั้งหมด ๗ เส้นหลัก ดังนี้
๑. สายสะดือ คือ เราปฏิสนธิในครรภ์เราต้องอาศัยการกินอาหารจากแม่ สะดือนี้เป็นสายหลักในการลำเลียงสารอาหารจากแม่มาสู่ลูก หากขาดสะดือแล้ว ลูกในครรภ์จะต้องเสียชีวิต
๒. สายพลังชีวิต คือ พลังธรรมชาติที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในร่างกายมนุษย์และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล คำว่า พลังชีวิต ในภาษาจีนกลางเรียกว่า "ชี่" ภาษาจีนแต้จิ๋วจะออกเสียงว่า "ขี่" และคนญี่ปุ่นเรียกว่า "กิ" (Ki) ในภาษาสันสกฤต เรียกว่า "ปราณ" (Prana) ในภาษากรีกเรียกว่า "นูมา" (Pneuma) ในภาษากรีก
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีพลังชีวิตทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ พืช ก้อนหิน แม่น้ำ ดวงดาว ภูเขา ต้นไม้
พลังชีวิตนี้จะมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ในร่างกายของคนเราจะต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เช่น หัวใจเต้น มีการสูบฉีดของหัวใจ ปอดหุบและขยายในเวลาเราหายใจ
ดังคัมภีร์อี้จิง กล่าวไว้ว่า "สรรพสิ่งในจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรไม่เชื่อมโยงกัน และไม่มีอะไรไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน การเปลี่ยนแปลงของชี่ก่อให้เกิดสรรพสิ่งในจักรวาลและปรากฏการณ์ธรรมชาติทั้งหลาย ฤดูกาลต่างๆ ก็เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของชี่"
ฉะนั้น ถ้าเราหยุดหายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น ร่างกายของเราก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง และสูญเสียชีวิตเป็นที่สุด
คัมภีร์อี้จิง ของจีนแต่โบราณกล่าวไว้ว่า มนุษย์เราสัมพันธ์กับพลังชีวิตหรือพลังชี่ ๓ ประเภท คือ
๑. พลังชีวิตจากฟ้า (ชี่ฟ้า หรือ ชี่สวรรค์) คือพลังธรรมชาติที่อยู่ในท้องฟ้าและจักรวาล รวมถึงพลังจากดวงอาทิตย์ แรงดึงดูดจากดวงจันทร์และดวงดาว พลังที่เกิดจากลม พายุ สายฝน ก้อนเมฆ และอากาศ
๒. พลังชีวิตจากดิน (ชี่ดิน หรือ ชี่ของโลก) คือพลังธรรมชาติที่อยู่บนโลก ทั้งบนดินและใต้ดิน รวมถึงก้อนหิน ดิน ทราย แร่ธาตุ สายน้ำ ต้นไม้ และสัตว์ต่างๆ
๓. พลังชีวิตของมนุษย์ จะรวมไปถึงสัตว์และพืช
พลังชีวิตทั้ง ๓ นี้จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันทำปฏิกิริยากันตลอดเวลา ถ้าชี่สิ่งหนึ่งสมดุลก็จะทำให้พลังชี่อื่นๆ สมดุลตามไปด้วย แต่ถ้าชี่อื่นไม่สมดุลก็จะทำสิ่งอื่นๆ ไม่สมดุลไปด้วยและจะเกิดการปรับตัวนำสิ่งอื่นรอบตัวมาทดแทนให้เกิดความสมดุลระบบใหม่ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ฉะนั้น พลังชีวิตจะต้องสมดุล
เราจะทำให้ตัวของเราเกิดมีพลังชีวิตได้อย่างสมดุลเราจะต้องปฏิบัติตน ๓ ประการคือ
๑. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ
๒. สูดเอาอากาศที่ดีเข้าสู่ร่างกาย และรู้จักการหายใจที่เหมาะสมกับธรรมชาติ
๓. การปรับจิตใจ ให้จิตของเราให้มี ๕ ประการ คือ
๑) ให้จิตมีความร่าเริงเบิกบานใจตลอดเวลา เรียกว่าปราโมทย์
๒) ปีติ ความอิ่มใจ ปลาบปลื้ม
๓) ปัสสัทธิ แปลว่า ความผ่อนคลาย ตรงข้ามกับความเครียด
๔) สุข ความฉ่ำชื่นรื่นใจ คือใจมันรื่นสบาย ไม่ติดขัด ไม่มีอะไรบีบคั้น มันโล่ง มันโปร่ง มันคล่อง มันสะดวก ตรงข้ามกับทุกข์ที่มันติดขัด บีบคั้น ขัดข้อง
๕) สมาธิ ความอยู่ตัวของจิตใจ ที่ตั้งมั่นสงบแน่วแน่
๓. สายพลังเจริญ คือ การเจริญนี้จะต้องเจริญทั้งรูปและนาม ทางรูปก็คือร่างกายเราเจริญเติบโตจากวัยเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ทางนามก็คือเจริญทางสติปัญญา หากเรามีพลังเจริญอยู่ในตัว ทำอะไรมักประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง
๔. สายจิต คือ สายแห่งความคิด สายแห่งการรับรู้ รู้จักควบคุมจิต จิตใจไม่อ่อนแอ มีพลัง
๕. สายบุญกุศล คือ สายแห่งบุญกุศล เปรียบเหมือนชีวิตปัจจุบันนี้ของเราก็เหมือนกับเงินทอง ที่มีไว้จับจ่ายซื้อของ มีเงินมากก็สามารถซื้อสิ่งของต่างๆ ได้มาก ได้ตามใจปรารถนา แต่ถ้าเป็นทางด้านจิตวิญญาณ เงินนี้ก็คือบุญนั่นเอง ถ้าเรามีบุญมาก บุญนี้ก็จะช่วยส่งเสริมเอื้ออำนวยให้ชีวิตของเรามีความราบรื่น
๖. สายกรรม คือ การกระทำ พฤติกรรมของเราที่แสดงออกทางกาย วาจา และใจของเรา ทั้งทางดีและไม่ดี สิ่งเหล่านี้จะสะสมไว้ เรียกว่ากรรม สิ่งที่ดีเป็นกุศลกรรมจะหนุนนำให้ชีวิตมีความเจริญ และสิ่งที่ไม่ดีเป็นอกุศลกรรมก็จะหนุนนำให้เราไปในทางเลว ตกต่ำ
๗. สายธรรมชาติ คือ เป็นสายที่สื่อกับสิ่งแวดล้อม รับรู้ธรรมชาติ
๗.๑ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ คือ ทุกสรรพสิ่งในอนันตจักรวาลนี้ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ล้วนเป็นธรรมชาติด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ธรรมะคือทุกสิ่ง
๗.๒ ธรรมะ คือ กฎของธรรมชาติ คือ กฎของธรรมชาติที่เด็ดขาดครอบคลุมอยู่ทุกหนทุกแห่งเป็นอนันตกาล คือ กฎของความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีตัวตน ซึ่งก็คือความว่างนั่นเอง
๗.๓ ธรรมะ คือ การปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ คือ เมื่อกฎธรรมชาติคือความไม่เที่ยงครอบคลุมอยู่ทุกสิ่งอย่าง เราจึงต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ คือ ต้องไม่ยึด ไม่เอา ไม่เป็น เพราะทุกอย่างไม่มีตัวตน เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไปยึด เมื่อมันเปลี่ยนแปลงไปตามกฎเราก็ทุกข์ เราจึงต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติคือ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
๗.๔ ธรรมะ คือ ผลของการปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ คือ เมื่อมีการปฏิบัติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มรรค ผล นิพพาน ก็จะปรากฏออกมาโดยไร้เจตนา ที่นี่และเดี๋ยวนี้ตามส่วนแห่งการปฏิบัติจริง เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น การดำเนินชีวิตไปด้วยจิตว่าง ไม่ติดกับลุ่มหลงกับธรรมชาติที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ก็จะเข้าสู่ความว่าง เย็น เป็นนิพพาน
ชีวิตทั้งหมดมี ๗ เส้น หากเส้นใดเส้นหนึ่งมีปัญหาหรืออ่อนแรงก็จะส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ
---------------------------
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เจตภูต ชีวิต ๗ เส้นสาย
เจตสิกมาจากไหน มาจากลิ้งค์ (เจตภูต) อันที่จริงลิ้งค์สูงกว่านี้ มาจากข้างใน อันนี้เจตภูตมาจากข้างในธรรม ภาษาจีนเรียกว่า เต๋าบ้อ พราหมณ์เรียกว่า พรหมมัน
เจตภูต เป็นตัวใน มาควบคุมจิตเราอีกทีหนึ่ง
ปัญญาที่ทำให้เราพูดคุยได้ คือ เจตภูต มาควบคุมจิตเราอีกทีหนึ่ง
เราจะตีเขาแล้วจิตอีกตัวหนึ่งมาบอกว่าไม่ดี ไม่ควรตี จิตตัวสัมมามาบอกว่าไม่ต้องตี เจตภูตสัมมา ถ้าไปตีเขา เป็นเจตภูตไปให้เกิดมิจฉา เพราะเอาตัวมิจฉาไปปรุงเข้าไปในตัวเจตสิก แล้วเจตสิกไปปรุงในจิต
เจตภูตเป็นลักษณะตัวบุคคลของใครของมันหรือไม่ ไม่ใช่ เพียงแต่เจตภูตทำหน้าที่ ถ้าออกมา นั่นคือเจตนาแล้ว กลายเป็นจริตแล้ว เป็นอะไรแล้วถึงจะมีบุคคล เขาเรียกว่าสัมปชัญญะก็ได้
เจตภูต ชีวิต ๗ เส้นสาย
ชีวิตของคนเรานี้ถ้าอธิบายตามไสยเวทย์แล้ว ชีวิตของคนเราประกอบด้วยกันทั้งหมด ๗ เส้นหลัก ดังนี้
๑. สายสะดือ คือ เราปฏิสนธิในครรภ์เราต้องอาศัยการกินอาหารจากแม่ สะดือนี้เป็นสายหลักในการลำเลียงสารอาหารจากแม่มาสู่ลูก หากขาดสะดือแล้ว ลูกในครรภ์จะต้องเสียชีวิต
๒. สายพลังชีวิต คือ พลังธรรมชาติที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในร่างกายมนุษย์และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล คำว่า พลังชีวิต ในภาษาจีนกลางเรียกว่า "ชี่" ภาษาจีนแต้จิ๋วจะออกเสียงว่า "ขี่" และคนญี่ปุ่นเรียกว่า "กิ" (Ki) ในภาษาสันสกฤต เรียกว่า "ปราณ" (Prana) ในภาษากรีกเรียกว่า "นูมา" (Pneuma) ในภาษากรีก
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีพลังชีวิตทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ พืช ก้อนหิน แม่น้ำ ดวงดาว ภูเขา ต้นไม้
พลังชีวิตนี้จะมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ในร่างกายของคนเราจะต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เช่น หัวใจเต้น มีการสูบฉีดของหัวใจ ปอดหุบและขยายในเวลาเราหายใจ
ดังคัมภีร์อี้จิง กล่าวไว้ว่า "สรรพสิ่งในจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรไม่เชื่อมโยงกัน และไม่มีอะไรไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน การเปลี่ยนแปลงของชี่ก่อให้เกิดสรรพสิ่งในจักรวาลและปรากฏการณ์ธรรมชาติทั้งหลาย ฤดูกาลต่างๆ ก็เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของชี่"
ฉะนั้น ถ้าเราหยุดหายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น ร่างกายของเราก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง และสูญเสียชีวิตเป็นที่สุด
คัมภีร์อี้จิง ของจีนแต่โบราณกล่าวไว้ว่า มนุษย์เราสัมพันธ์กับพลังชีวิตหรือพลังชี่ ๓ ประเภท คือ
๑. พลังชีวิตจากฟ้า (ชี่ฟ้า หรือ ชี่สวรรค์) คือพลังธรรมชาติที่อยู่ในท้องฟ้าและจักรวาล รวมถึงพลังจากดวงอาทิตย์ แรงดึงดูดจากดวงจันทร์และดวงดาว พลังที่เกิดจากลม พายุ สายฝน ก้อนเมฆ และอากาศ
๒. พลังชีวิตจากดิน (ชี่ดิน หรือ ชี่ของโลก) คือพลังธรรมชาติที่อยู่บนโลก ทั้งบนดินและใต้ดิน รวมถึงก้อนหิน ดิน ทราย แร่ธาตุ สายน้ำ ต้นไม้ และสัตว์ต่างๆ
๓. พลังชีวิตของมนุษย์ จะรวมไปถึงสัตว์และพืช
พลังชีวิตทั้ง ๓ นี้จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันทำปฏิกิริยากันตลอดเวลา ถ้าชี่สิ่งหนึ่งสมดุลก็จะทำให้พลังชี่อื่นๆ สมดุลตามไปด้วย แต่ถ้าชี่อื่นไม่สมดุลก็จะทำสิ่งอื่นๆ ไม่สมดุลไปด้วยและจะเกิดการปรับตัวนำสิ่งอื่นรอบตัวมาทดแทนให้เกิดความสมดุลระบบใหม่ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ฉะนั้น พลังชีวิตจะต้องสมดุล
เราจะทำให้ตัวของเราเกิดมีพลังชีวิตได้อย่างสมดุลเราจะต้องปฏิบัติตน ๓ ประการคือ
๑. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ
๒. สูดเอาอากาศที่ดีเข้าสู่ร่างกาย และรู้จักการหายใจที่เหมาะสมกับธรรมชาติ
๓. การปรับจิตใจ ให้จิตของเราให้มี ๕ ประการ คือ
๑) ให้จิตมีความร่าเริงเบิกบานใจตลอดเวลา เรียกว่าปราโมทย์
๒) ปีติ ความอิ่มใจ ปลาบปลื้ม
๓) ปัสสัทธิ แปลว่า ความผ่อนคลาย ตรงข้ามกับความเครียด
๔) สุข ความฉ่ำชื่นรื่นใจ คือใจมันรื่นสบาย ไม่ติดขัด ไม่มีอะไรบีบคั้น มันโล่ง มันโปร่ง มันคล่อง มันสะดวก ตรงข้ามกับทุกข์ที่มันติดขัด บีบคั้น ขัดข้อง
๕) สมาธิ ความอยู่ตัวของจิตใจ ที่ตั้งมั่นสงบแน่วแน่
๓. สายพลังเจริญ คือ การเจริญนี้จะต้องเจริญทั้งรูปและนาม ทางรูปก็คือร่างกายเราเจริญเติบโตจากวัยเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ทางนามก็คือเจริญทางสติปัญญา หากเรามีพลังเจริญอยู่ในตัว ทำอะไรมักประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง
๔. สายจิต คือ สายแห่งความคิด สายแห่งการรับรู้ รู้จักควบคุมจิต จิตใจไม่อ่อนแอ มีพลัง
๕. สายบุญกุศล คือ สายแห่งบุญกุศล เปรียบเหมือนชีวิตปัจจุบันนี้ของเราก็เหมือนกับเงินทอง ที่มีไว้จับจ่ายซื้อของ มีเงินมากก็สามารถซื้อสิ่งของต่างๆ ได้มาก ได้ตามใจปรารถนา แต่ถ้าเป็นทางด้านจิตวิญญาณ เงินนี้ก็คือบุญนั่นเอง ถ้าเรามีบุญมาก บุญนี้ก็จะช่วยส่งเสริมเอื้ออำนวยให้ชีวิตของเรามีความราบรื่น
๖. สายกรรม คือ การกระทำ พฤติกรรมของเราที่แสดงออกทางกาย วาจา และใจของเรา ทั้งทางดีและไม่ดี สิ่งเหล่านี้จะสะสมไว้ เรียกว่ากรรม สิ่งที่ดีเป็นกุศลกรรมจะหนุนนำให้ชีวิตมีความเจริญ และสิ่งที่ไม่ดีเป็นอกุศลกรรมก็จะหนุนนำให้เราไปในทางเลว ตกต่ำ
๗. สายธรรมชาติ คือ เป็นสายที่สื่อกับสิ่งแวดล้อม รับรู้ธรรมชาติ
๗.๑ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ คือ ทุกสรรพสิ่งในอนันตจักรวาลนี้ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ล้วนเป็นธรรมชาติด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ธรรมะคือทุกสิ่ง
๗.๒ ธรรมะ คือ กฎของธรรมชาติ คือ กฎของธรรมชาติที่เด็ดขาดครอบคลุมอยู่ทุกหนทุกแห่งเป็นอนันตกาล คือ กฎของความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีตัวตน ซึ่งก็คือความว่างนั่นเอง
๗.๓ ธรรมะ คือ การปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ คือ เมื่อกฎธรรมชาติคือความไม่เที่ยงครอบคลุมอยู่ทุกสิ่งอย่าง เราจึงต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ คือ ต้องไม่ยึด ไม่เอา ไม่เป็น เพราะทุกอย่างไม่มีตัวตน เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไปยึด เมื่อมันเปลี่ยนแปลงไปตามกฎเราก็ทุกข์ เราจึงต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติคือ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
๗.๔ ธรรมะ คือ ผลของการปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ คือ เมื่อมีการปฏิบัติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มรรค ผล นิพพาน ก็จะปรากฏออกมาโดยไร้เจตนา ที่นี่และเดี๋ยวนี้ตามส่วนแห่งการปฏิบัติจริง เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น การดำเนินชีวิตไปด้วยจิตว่าง ไม่ติดกับลุ่มหลงกับธรรมชาติที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ก็จะเข้าสู่ความว่าง เย็น เป็นนิพพาน
ชีวิตทั้งหมดมี ๗ เส้น หากเส้นใดเส้นหนึ่งมีปัญหาหรืออ่อนแรงก็จะส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ
---------------------------
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์