เจตภูต ชีวิต ๗ เส้นสาย
ชีวิตของคนเรานี้ถ้าอธิบายตามไสยเวทย์แล้ว ชีวิตของคนเราประกอบด้วยกันทั้งหมด ๗ เส้นหลัก ดังนี้
"ภูต" ก็คือ สิ่งที่ปรากฏให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ออกมาเป็นรูปธรรม เช่น เวลานี้เศร้า ก็จะมีภูตแห่งความเศร้า ภูตตัวนี้เป็นยักษ์ ก็จะเกิดอาการโมโห โทสะ
"เจตภูต" คือ ข้อมูลทั้งหมดก็จะมาแปรเปลี่ยนเป็นเจตภูต หมายความว่า ให้เกิดเป็นรูปเป็นร่าง เป็นลักษณะ เช่น เวลานี้เราโมโห ก็เป็นเจตภูตทางโทสะ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายว่า "เจตภูต (เจดตะพูด) น. สภาพเป็นผู้คิดอ่าน คือ มนัส, ที่เรียกในภาษาสันสกฤตว่า “อาตมัน” เรียกในภาษาบาลีว่า “อัตตา” ก็มี “ชีโว” ก็มี, มีอยู่ในลัทธิว่า “ในโลกนี้ไม่มีอะไรสูญ แม้คนและสัตว์ตายแล้ว ร่างกายเท่านั้นทรุดโทรมไป ส่วนเจตภูตเป็นธรรมชาติไม่สูญ ย่อมถือปฏิสนธิในกำเนิดอื่นสืบไป”, ลัทธินี้ทางพระพุทธศาสนาจัดเป็นสัสตทิฐิ แปลว่า ความเห็นว่าเที่ยง, ตามสามัญที่เข้าใจกัน เจตภูต คือวิญญาณที่สิงอยู่ในตัวคน กล่าวกันว่าออกจากร่างได้ในเวลานอนหลับ."
พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร ได้ให้ความหมายว่า "เจตภูต [เจด-ตะ-พูด] น. วิญญาณที่สิงในตัวคน เชื่อกันว่าจะออกจากร่างเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ เมื่อคนกำลังหลับ, สภาพที่เป็นผู้คิดอ่าน คือ มนัส, ที่เรียกในภาษาสันสกฤตว่า "อาตมัน", เรียกในภาษามคธว่า "อัตตา" ก็มี "ชีโว" ก็มี, มีอยู่ในลัทธิว่า "ในโลกนี้ไม่มีอะไรสูญ แม้คน"
พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร ได้ให้ความหมายว่า "เจต (มค. เจต สก. เจตสฺ) น. สิ่งที่คิด, ใจ."
Thai-English: NECTEC's Lexitron-2 Dictionary กล่าวว่า "เจตภูต [N] spirit, See also: soul, ghost, phantom, Example: เขาทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของเจตภูตและวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในที่ต่างๆ ว่ามีจริงหรือไม่, Thai definition: วิญญาณที่สิงอยู่ในตัวคน กล่าวกันว่าออกจากร่างได้ในเวลานอนหลับ"
ทั้ง ๗ เส้นสาย มีดังนี้
๑. สายสะดือ สายอาหาร สายอุ้มชูหล่อเลี้ยง คือ สายพระแม่ธรณี เป็นสายอุ้มชูหล่อเลี้ยง แต่ถ้าพูดถึงมนุษย์ก็คือบรรพบุรุษสืบต่อกันมา เราปฏิสนธิในครรภ์เราต้องอาศัยการกินอาหารจากแม่ สะดือนี้เป็นสายหลักในการลำเลียงสารอาหารจากแม่มาสู่ลูก หากขาดสะดือแล้ว ลูกในครรภ์จะต้องเสียชีวิต
สายสะดือ เชื่อมกับพ่อแม่ และมีกรรมตระกูลเป็นตัวมาเชื่อมสายตัวนี้อยู่ เพราะกินสายตระกูลถึงโตขึ้นมาถึงบัดนี้ได้ ฉะนั้น ไม่มีกรรมของตระกูลได้ยังไง
๒. สายพลังแห่งชีวิต คือ พลังธรรมชาติที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในร่างกายมนุษย์และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล คำว่า พลังชีวิต ในภาษาจีนกลางเรียกว่า "ชี่" (氣)ภาษาจีนแต้จิ๋วจะออกเสียงว่า "ขี่" และคนญี่ปุ่นเรียกว่า "กิ" (Ki) ในภาษาสันสกฤต เรียกว่า "ปราณ" (Prana) ในภาษากรีกเรียกว่า "นูมา" (Pneuma) ในภาษากรีก
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีพลังชีวิตทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ พืช ก้อนหิน แม่น้ำ ดวงดาว ภูเขา ต้นไม้
พลังชีวิตนี้จะมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ในร่างกายของคนเราจะต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เช่น หัวใจเต้น มีการสูบฉีดของหัวใจ ปอดหุบและขยายในเวลาเราหายใจ
ดังคัมภีร์อี้จิง กล่าวไว้ว่า "สรรพสิ่งในจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรไม่เชื่อมโยงกัน และไม่มีอะไรไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน การเปลี่ยนแปลงของชี่ (氣) ก่อให้เกิดสรรพสิ่งในจักรวาลและปรากฏการณ์ธรรมชาติทั้งหลาย ฤดูกาลต่างๆ ก็เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของชี่" (氣)
ฉะนั้น ถ้าเราหยุดหายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น ร่างกายของเราก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง และสูญเสียชีวิตเป็นที่สุด
คัมภีร์อี้จิง (易經) ของจีนแต่โบราณกล่าวไว้ว่า มนุษย์เราสัมพันธ์กับพลังชีวิตหรือพลังชี่ ๓ ประเภท คือ
๒.๑ พลังชีวิตจากฟ้า (ชี่ฟ้า หรือ ชี่สวรรค์ 氣天) คือพลังธรรมชาติที่อยู่ในท้องฟ้าและจักรวาลทุกตัว รวมถึงพลังจากดวงอาทิตย์ แรงดึงดูดจากดวงจันทร์และดวงดาว พลังที่เกิดจากลม พายุ สายฝน ก้อนเมฆ และอากาศ
เป็นพลังแห่งเบื้องต้น เรียกว่า ฮวงคี่ จากนั้นมากับ ฮะกับฮั้ว ถึงจะออกมาเป็นพลังชีวิตที่เราใช้อยู่ ทั้งหมดจะรวมกันเป็น ชี่กง (氣功; Qigong; Chi–gung) ออกมาเป็น (造 [zào] เจ๋า) แปลว่า สร้างสรรค์
ฮวงคี่ (風氣) - ฮะคี่ (合氣) (เป็นพลังเข้าไปสมบท) ของคนต้องรวมทั้งหมดทั้งฟ้าและดิน เราจะสังเกตฟ้าผ่าก็ได้ ฟ้าจะวิ่งลงมา แต่ดินจะวิ่งขึ้นไปรับ ดินจะต้องมีสื่อทำให้ฟ้าผ่าลงมา มีสื่อกัน รับพลังคือ ฮั้ว คือ เอาพลังทั้ง ๒ ตัวมารวมกัน ออกมาเป็นชี่กง (氣功; Qigong; Chi–gung) ถึงจะไปสร้างสรรค์ได้
คำว่า "กง" นี้เป็นการทำงาน
ชี่กงจะส่งมาที่เจ๋า สร้างสรรค์ ต่อด้วยเจ๋าห่วย (造化) หมายถึง สร้างสรรค์อยู่ต่อเนื่องตลอดเวลา
อันนี้เป็นความรู้ของคนที่ศึกษาภายใน เบื้องใน
ฮวงคี่ (風氣) ที่รับพลังแห่งธรรมชาติไม่ได้ แสดงว่า รับฮวงคี่ไม่ได้
ทำไมถึงรับพลังฟ้าดินไม่ได้?
ยกตัวอย่าง ถ้าเรามีซิมโทรศัพท์ ถ้าไม่เชื่อมโยงกับเครือข่ายส่งสัญญาณดีแทค (DTAC) เราจะรับสัญญาณของดีแทคได้ไหม? ตอบว่า ก็ไม่ดี
แล้วตัวไหนเป็นตัวซิม นั่นก็คือตัวของเราเอง นั่นก็คือ "จิต" จะต้องเกิดความศรัทธา ถ้าไม่มีก็รับไม่ได้
สมมติว่า เวลานี้เราพูดถึงพ่อพรหม ถ้าเราไม่มีจิตศรัทธาพ่อพรหม เราจะนึกออกไหม? ตอบว่าก็นึกไม่ออก พอเรามีจิตของพ่อพรหม เราก็จะนึกภาพออก ถ้ามีความซึ้งเข้าไปขั้นที่ ๑ เราก็จะเห็นใบหน้าพ่อพรหมชัดมากเลย พอขั้นที่ ๒ พ่อกำลังยิ้ม หรือรู้สึกกำลังโมโห
จิตเราจะต้องมีความผูกพันธ์ ถ้าเรามีจิตผูกพันธ์กับพ่อเรา เราหลับตาเราก็จะมองเห็นพ่อของเรา ถ้าเราผูกพันธ์พ่อด้วยความมิจฉา ทางที่ไม่ดี เราก็มองเห็นใบหน้าพ่อโมโห โทสะ เกรี้ยวกราด ความไม่ดี แต่ถ้าข้างในเราวางให้เป็นกลาง สัมมา ก็จะเห็นสิ่งที่ดีของพ่อเป็นอย่างไร ถ้าเรารับอารมณ์อย่ารับด้วยความเป็นอคติ ถ้าเรารับอคติก็จะกลายเป็นปรปักษ์ทันที ถ้าเรารับแล้วด้วยความเป็นปกติ ปกติก็เป็นเช่นนี้เอง ก็คือ คนเราย่อมมีทั้งดีและไม่ดี แต่ดีเราก็โอเค สาธุรับ แต่ถ้าไม่ดีเราก็ต้องป้องกันตัว ไม่ใช่ไปเป็นปรปักษ์
สิ่งที่ตรงนั้นเราไม่รู้ก็จะถูกพาลไปเลย ๑. ทางสรีระร่างกายถูกพาล ๒. ทางจิตใจ ความคิดถูกพาล ๓. ทางจิตวิญญาณถูกพาล ๓ ตัว ถูกพาลปั้บ รูปเริ่มเปลี่ยน เพราะว่าจิตข้างในเปลี่ยน พอจิตเปลี่ยนรูปก็จะเปลี่ยน เปลี่ยนข้างใน รูปก็จะส่งผลกลับไปสู่จิต จิตก็เริ่มเปลี่ยน ก็จะหมุน เหมือนกับพลังที่อยู่ตรงกลาง
เราลองไปหมุนแกว่งน้ำก็จะเกิดพลัง และจะดูดสิ่งที่ไม่ดีเข้ามา นี่แหละ เป็นแห่งก่อเคราะห์ภัย
ทำไมครูบาอาจารย์มองเราออกว่าจะมีเคราะห์ภัยกำลังจะมา เพราะว่าข้างในของเราเริ่มเกิดพายุหมุนแล้ว เริ่มเกิดลมหมุน พลังแห่งหมุนจะไปดูด
ถ้าจักรวาลจะพลังก็เพราะว่าการหมุนของหลุมดำ พอหลุมดำหมุนและดูด แม้แต่พระอาทิตย์ก็สามารถเข้าไปได้
ถ้าเราสร้างคุณธรรม พลังแห่งความยืนหยัด เวลาหมุนเราก็จะยาก แต่ถ้าดวงดาวไหนมีพลังน้อย คุณธรรมน้อย ก็จะถูกดูดเข้าไปก่อน นี่แหละอธิบายการเกิดของเคราะห์ได้
๒.๒ พลังชีวิตจากดิน (ชี่ดิน หรือ ชี่ของโลก 氣地) คือพลังธรรมชาติที่อยู่บนโลก ทั้งบนดินและใต้ดิน รวมถึงก้อนหิน ดิน ทราย แร่ธาตุ สายน้ำ ต้นไม้ และสัตว์ต่างๆ ของโลกใบนี้ ทุกอย่างของโลกใบนี้ แต่ถ้าเป็นโลกใบอื่นก็จะไปรวมกับฟ้า
๒.๓ พลังชีวิตของมนุษย์ (氣人) ฟ้ากับดินมาหล่อหลอมกันจนเกิดเป็นคน สัตว์ และพืช ทีตี่นั้ง 天地人รวมเป็นหนึ่งถึงก่อเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์โลกต่างๆ เป็นสรรพสิ่งต่างๆ
พลังชีวิตทั้ง ๓ นี้จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันทำปฏิกิริยากันตลอดเวลา ถ้าชี่สิ่งหนึ่งสมดุลก็จะทำให้พลังชี่อื่นๆ สมดุลตามไปด้วย แต่ถ้าชี่อื่นไม่สมดุลก็จะทำสิ่งอื่นๆ ไม่สมดุลไปด้วยและจะเกิดการปรับตัวนำสิ่งอื่นรอบตัวมาทดแทนให้เกิดความสมดุลระบบใหม่ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ฉะนั้น พลังชีวิตจะต้องสมดุล 天人合一 (tiān rén hé yī, เทียน เหริน เหอ อี : ฟ้าคนเป็นหนึ่งเดียว)
เราจะทำให้ตัวของเราเกิดมีพลังชีวิตได้อย่างสมดุลเราจะต้องปฏิบัติตน ๒ ประการคือ
๑) ทางด้านอินทรีย์ ร่างกาย
๑.๑ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ
๑.๒ สูดเอาอากาศที่ดีเข้าสู่ร่างกาย และรู้จักการหายใจที่เหมาะสมกับธรรมชาติ
๒) ความคิด ทางนาม อยู่ตรงกลาง นามและรูปออกมาเป็น ๑ แล้วมาแยกนามและรูป
ยกตัวอย่าง ต้นไม้ที่ใหญ่ขึ้นมาแล้ว ใบเสีย รากเสีย แม้แต่เราให้ปุ๋ย ให้อาหารเยอะๆ ต้นไม้ก็ดูดซึมไม่ได้ พอดูดไม่ได้ใบก็จะเหลือง
๓. สายพลังเจริญและเสื่อม คือ การเจริญนี้จะต้องเจริญทั้งรูปและนาม ทางรูปก็คือร่างกายเราเจริญเติบโตจากวัยเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ทางนามก็คือเจริญทางสติปัญญา หากเรามีพลังเจริญอยู่ในตัว ทำอะไรมักประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง
ยกตัวอย่าง สายเสื่อม เช่น เด็กยังไม่ทันเกิดก็แท้งลูกแล้ว โตขึ้นมาเอาแต่เข้าโรงพยาบาล อายุยังไม่ถึงขวบก็ตาย อย่างนี้ก็มี
เจตภูต ชีวิต 7 เส้นสาย
ชีวิตของคนเรานี้ถ้าอธิบายตามไสยเวทย์แล้ว ชีวิตของคนเราประกอบด้วยกันทั้งหมด ๗ เส้นหลัก ดังนี้
"ภูต" ก็คือ สิ่งที่ปรากฏให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ออกมาเป็นรูปธรรม เช่น เวลานี้เศร้า ก็จะมีภูตแห่งความเศร้า ภูตตัวนี้เป็นยักษ์ ก็จะเกิดอาการโมโห โทสะ
"เจตภูต" คือ ข้อมูลทั้งหมดก็จะมาแปรเปลี่ยนเป็นเจตภูต หมายความว่า ให้เกิดเป็นรูปเป็นร่าง เป็นลักษณะ เช่น เวลานี้เราโมโห ก็เป็นเจตภูตทางโทสะ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายว่า "เจตภูต (เจดตะพูด) น. สภาพเป็นผู้คิดอ่าน คือ มนัส, ที่เรียกในภาษาสันสกฤตว่า “อาตมัน” เรียกในภาษาบาลีว่า “อัตตา” ก็มี “ชีโว” ก็มี, มีอยู่ในลัทธิว่า “ในโลกนี้ไม่มีอะไรสูญ แม้คนและสัตว์ตายแล้ว ร่างกายเท่านั้นทรุดโทรมไป ส่วนเจตภูตเป็นธรรมชาติไม่สูญ ย่อมถือปฏิสนธิในกำเนิดอื่นสืบไป”, ลัทธินี้ทางพระพุทธศาสนาจัดเป็นสัสตทิฐิ แปลว่า ความเห็นว่าเที่ยง, ตามสามัญที่เข้าใจกัน เจตภูต คือวิญญาณที่สิงอยู่ในตัวคน กล่าวกันว่าออกจากร่างได้ในเวลานอนหลับ."
พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร ได้ให้ความหมายว่า "เจตภูต [เจด-ตะ-พูด] น. วิญญาณที่สิงในตัวคน เชื่อกันว่าจะออกจากร่างเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ เมื่อคนกำลังหลับ, สภาพที่เป็นผู้คิดอ่าน คือ มนัส, ที่เรียกในภาษาสันสกฤตว่า "อาตมัน", เรียกในภาษามคธว่า "อัตตา" ก็มี "ชีโว" ก็มี, มีอยู่ในลัทธิว่า "ในโลกนี้ไม่มีอะไรสูญ แม้คน"
พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร ได้ให้ความหมายว่า "เจต (มค. เจต สก. เจตสฺ) น. สิ่งที่คิด, ใจ."
Thai-English: NECTEC's Lexitron-2 Dictionary กล่าวว่า "เจตภูต [N] spirit, See also: soul, ghost, phantom, Example: เขาทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของเจตภูตและวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในที่ต่างๆ ว่ามีจริงหรือไม่, Thai definition: วิญญาณที่สิงอยู่ในตัวคน กล่าวกันว่าออกจากร่างได้ในเวลานอนหลับ"
ทั้ง ๗ เส้นสาย มีดังนี้
๑. สายสะดือ สายอาหาร สายอุ้มชูหล่อเลี้ยง คือ สายพระแม่ธรณี เป็นสายอุ้มชูหล่อเลี้ยง แต่ถ้าพูดถึงมนุษย์ก็คือบรรพบุรุษสืบต่อกันมา เราปฏิสนธิในครรภ์เราต้องอาศัยการกินอาหารจากแม่ สะดือนี้เป็นสายหลักในการลำเลียงสารอาหารจากแม่มาสู่ลูก หากขาดสะดือแล้ว ลูกในครรภ์จะต้องเสียชีวิต
สายสะดือ เชื่อมกับพ่อแม่ และมีกรรมตระกูลเป็นตัวมาเชื่อมสายตัวนี้อยู่ เพราะกินสายตระกูลถึงโตขึ้นมาถึงบัดนี้ได้ ฉะนั้น ไม่มีกรรมของตระกูลได้ยังไง
๒. สายพลังแห่งชีวิต คือ พลังธรรมชาติที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในร่างกายมนุษย์และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล คำว่า พลังชีวิต ในภาษาจีนกลางเรียกว่า "ชี่" (氣)ภาษาจีนแต้จิ๋วจะออกเสียงว่า "ขี่" และคนญี่ปุ่นเรียกว่า "กิ" (Ki) ในภาษาสันสกฤต เรียกว่า "ปราณ" (Prana) ในภาษากรีกเรียกว่า "นูมา" (Pneuma) ในภาษากรีก
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีพลังชีวิตทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ พืช ก้อนหิน แม่น้ำ ดวงดาว ภูเขา ต้นไม้
พลังชีวิตนี้จะมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ในร่างกายของคนเราจะต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เช่น หัวใจเต้น มีการสูบฉีดของหัวใจ ปอดหุบและขยายในเวลาเราหายใจ
ดังคัมภีร์อี้จิง กล่าวไว้ว่า "สรรพสิ่งในจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรไม่เชื่อมโยงกัน และไม่มีอะไรไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน การเปลี่ยนแปลงของชี่ (氣) ก่อให้เกิดสรรพสิ่งในจักรวาลและปรากฏการณ์ธรรมชาติทั้งหลาย ฤดูกาลต่างๆ ก็เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของชี่" (氣)
ฉะนั้น ถ้าเราหยุดหายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น ร่างกายของเราก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง และสูญเสียชีวิตเป็นที่สุด
คัมภีร์อี้จิง (易經) ของจีนแต่โบราณกล่าวไว้ว่า มนุษย์เราสัมพันธ์กับพลังชีวิตหรือพลังชี่ ๓ ประเภท คือ
๒.๑ พลังชีวิตจากฟ้า (ชี่ฟ้า หรือ ชี่สวรรค์ 氣天) คือพลังธรรมชาติที่อยู่ในท้องฟ้าและจักรวาลทุกตัว รวมถึงพลังจากดวงอาทิตย์ แรงดึงดูดจากดวงจันทร์และดวงดาว พลังที่เกิดจากลม พายุ สายฝน ก้อนเมฆ และอากาศ
เป็นพลังแห่งเบื้องต้น เรียกว่า ฮวงคี่ จากนั้นมากับ ฮะกับฮั้ว ถึงจะออกมาเป็นพลังชีวิตที่เราใช้อยู่ ทั้งหมดจะรวมกันเป็น ชี่กง (氣功; Qigong; Chi–gung) ออกมาเป็น (造 [zào] เจ๋า) แปลว่า สร้างสรรค์
ฮวงคี่ (風氣) - ฮะคี่ (合氣) (เป็นพลังเข้าไปสมบท) ของคนต้องรวมทั้งหมดทั้งฟ้าและดิน เราจะสังเกตฟ้าผ่าก็ได้ ฟ้าจะวิ่งลงมา แต่ดินจะวิ่งขึ้นไปรับ ดินจะต้องมีสื่อทำให้ฟ้าผ่าลงมา มีสื่อกัน รับพลังคือ ฮั้ว คือ เอาพลังทั้ง ๒ ตัวมารวมกัน ออกมาเป็นชี่กง (氣功; Qigong; Chi–gung) ถึงจะไปสร้างสรรค์ได้
คำว่า "กง" นี้เป็นการทำงาน
ชี่กงจะส่งมาที่เจ๋า สร้างสรรค์ ต่อด้วยเจ๋าห่วย (造化) หมายถึง สร้างสรรค์อยู่ต่อเนื่องตลอดเวลา
อันนี้เป็นความรู้ของคนที่ศึกษาภายใน เบื้องใน
ฮวงคี่ (風氣) ที่รับพลังแห่งธรรมชาติไม่ได้ แสดงว่า รับฮวงคี่ไม่ได้
ทำไมถึงรับพลังฟ้าดินไม่ได้?
ยกตัวอย่าง ถ้าเรามีซิมโทรศัพท์ ถ้าไม่เชื่อมโยงกับเครือข่ายส่งสัญญาณดีแทค (DTAC) เราจะรับสัญญาณของดีแทคได้ไหม? ตอบว่า ก็ไม่ดี
แล้วตัวไหนเป็นตัวซิม นั่นก็คือตัวของเราเอง นั่นก็คือ "จิต" จะต้องเกิดความศรัทธา ถ้าไม่มีก็รับไม่ได้
สมมติว่า เวลานี้เราพูดถึงพ่อพรหม ถ้าเราไม่มีจิตศรัทธาพ่อพรหม เราจะนึกออกไหม? ตอบว่าก็นึกไม่ออก พอเรามีจิตของพ่อพรหม เราก็จะนึกภาพออก ถ้ามีความซึ้งเข้าไปขั้นที่ ๑ เราก็จะเห็นใบหน้าพ่อพรหมชัดมากเลย พอขั้นที่ ๒ พ่อกำลังยิ้ม หรือรู้สึกกำลังโมโห
จิตเราจะต้องมีความผูกพันธ์ ถ้าเรามีจิตผูกพันธ์กับพ่อเรา เราหลับตาเราก็จะมองเห็นพ่อของเรา ถ้าเราผูกพันธ์พ่อด้วยความมิจฉา ทางที่ไม่ดี เราก็มองเห็นใบหน้าพ่อโมโห โทสะ เกรี้ยวกราด ความไม่ดี แต่ถ้าข้างในเราวางให้เป็นกลาง สัมมา ก็จะเห็นสิ่งที่ดีของพ่อเป็นอย่างไร ถ้าเรารับอารมณ์อย่ารับด้วยความเป็นอคติ ถ้าเรารับอคติก็จะกลายเป็นปรปักษ์ทันที ถ้าเรารับแล้วด้วยความเป็นปกติ ปกติก็เป็นเช่นนี้เอง ก็คือ คนเราย่อมมีทั้งดีและไม่ดี แต่ดีเราก็โอเค สาธุรับ แต่ถ้าไม่ดีเราก็ต้องป้องกันตัว ไม่ใช่ไปเป็นปรปักษ์
สิ่งที่ตรงนั้นเราไม่รู้ก็จะถูกพาลไปเลย ๑. ทางสรีระร่างกายถูกพาล ๒. ทางจิตใจ ความคิดถูกพาล ๓. ทางจิตวิญญาณถูกพาล ๓ ตัว ถูกพาลปั้บ รูปเริ่มเปลี่ยน เพราะว่าจิตข้างในเปลี่ยน พอจิตเปลี่ยนรูปก็จะเปลี่ยน เปลี่ยนข้างใน รูปก็จะส่งผลกลับไปสู่จิต จิตก็เริ่มเปลี่ยน ก็จะหมุน เหมือนกับพลังที่อยู่ตรงกลาง
เราลองไปหมุนแกว่งน้ำก็จะเกิดพลัง และจะดูดสิ่งที่ไม่ดีเข้ามา นี่แหละ เป็นแห่งก่อเคราะห์ภัย
ทำไมครูบาอาจารย์มองเราออกว่าจะมีเคราะห์ภัยกำลังจะมา เพราะว่าข้างในของเราเริ่มเกิดพายุหมุนแล้ว เริ่มเกิดลมหมุน พลังแห่งหมุนจะไปดูด
ถ้าจักรวาลจะพลังก็เพราะว่าการหมุนของหลุมดำ พอหลุมดำหมุนและดูด แม้แต่พระอาทิตย์ก็สามารถเข้าไปได้
ถ้าเราสร้างคุณธรรม พลังแห่งความยืนหยัด เวลาหมุนเราก็จะยาก แต่ถ้าดวงดาวไหนมีพลังน้อย คุณธรรมน้อย ก็จะถูกดูดเข้าไปก่อน นี่แหละอธิบายการเกิดของเคราะห์ได้
๒.๒ พลังชีวิตจากดิน (ชี่ดิน หรือ ชี่ของโลก 氣地) คือพลังธรรมชาติที่อยู่บนโลก ทั้งบนดินและใต้ดิน รวมถึงก้อนหิน ดิน ทราย แร่ธาตุ สายน้ำ ต้นไม้ และสัตว์ต่างๆ ของโลกใบนี้ ทุกอย่างของโลกใบนี้ แต่ถ้าเป็นโลกใบอื่นก็จะไปรวมกับฟ้า
๒.๓ พลังชีวิตของมนุษย์ (氣人) ฟ้ากับดินมาหล่อหลอมกันจนเกิดเป็นคน สัตว์ และพืช ทีตี่นั้ง 天地人รวมเป็นหนึ่งถึงก่อเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์โลกต่างๆ เป็นสรรพสิ่งต่างๆ
พลังชีวิตทั้ง ๓ นี้จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันทำปฏิกิริยากันตลอดเวลา ถ้าชี่สิ่งหนึ่งสมดุลก็จะทำให้พลังชี่อื่นๆ สมดุลตามไปด้วย แต่ถ้าชี่อื่นไม่สมดุลก็จะทำสิ่งอื่นๆ ไม่สมดุลไปด้วยและจะเกิดการปรับตัวนำสิ่งอื่นรอบตัวมาทดแทนให้เกิดความสมดุลระบบใหม่ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ฉะนั้น พลังชีวิตจะต้องสมดุล 天人合一 (tiān rén hé yī, เทียน เหริน เหอ อี : ฟ้าคนเป็นหนึ่งเดียว)
เราจะทำให้ตัวของเราเกิดมีพลังชีวิตได้อย่างสมดุลเราจะต้องปฏิบัติตน ๒ ประการคือ
๑) ทางด้านอินทรีย์ ร่างกาย
๑.๑ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ
๑.๒ สูดเอาอากาศที่ดีเข้าสู่ร่างกาย และรู้จักการหายใจที่เหมาะสมกับธรรมชาติ
๒) ความคิด ทางนาม อยู่ตรงกลาง นามและรูปออกมาเป็น ๑ แล้วมาแยกนามและรูป
ยกตัวอย่าง ต้นไม้ที่ใหญ่ขึ้นมาแล้ว ใบเสีย รากเสีย แม้แต่เราให้ปุ๋ย ให้อาหารเยอะๆ ต้นไม้ก็ดูดซึมไม่ได้ พอดูดไม่ได้ใบก็จะเหลือง
๓. สายพลังเจริญและเสื่อม คือ การเจริญนี้จะต้องเจริญทั้งรูปและนาม ทางรูปก็คือร่างกายเราเจริญเติบโตจากวัยเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ทางนามก็คือเจริญทางสติปัญญา หากเรามีพลังเจริญอยู่ในตัว ทำอะไรมักประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง
ยกตัวอย่าง สายเสื่อม เช่น เด็กยังไม่ทันเกิดก็แท้งลูกแล้ว โตขึ้นมาเอาแต่เข้าโรงพยาบาล อายุยังไม่ถึงขวบก็ตาย อย่างนี้ก็มี