“สมคิด”ปลื้มญี่ปุ่นเชื่อมั่นไทย
“สมคิด” พอใจนักธุรกิจญี่ปุ่นเชื่อมั่นไทยดีสุดในรอบหลายปี เจโทรย้ำสงครามการค้าไม่กระทบลงทุนไทย
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังนายฮิโรกิ มิตสึมาตะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) เข้าเยี่ยมคารวะ ณ ทำเนียบรัฐบาล ว่า เจโทรรายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของนักธุรกิจญี่ปุ่นที่มีการลงทุนในประเทศไทยปีนี้ พบว่าเป็นผลการสำรวจดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในรอบหลายปีนี้ โดยระดับดัชนีเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 (ก.ค.-ธ.ค. 60) เพิ่มขึ้นจากระดับ 14 เป็น 34 หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20 ระดับ ด้านระดับดัชนีเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 (ม.ค.-มิ.ย. 61) เพิ่มขึ้นจากระดับ 34 เป็น 36 หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 2 ระดับ ขณะที่มุมมองต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 6 เดือนข้างหน้า หรือครึ่งหลังปี 2561 (ก.ค.-ธ.ค.61) จากปัจจุบันอยู่ระดับ 36 เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 40 หรือปรับเพิ่มขึ้น 4 ระดับ ซึ่งเจโทรจะมีการแถลงตัวเลขอย่างเป็นทางการอีกครั้งปลายเดือนนี้
ทั้งนี้ ดัชนีที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคธุรกิจญี่ปุ่นที่มีการลงทุนในประเทศไทย โดยเจโทรย้ำว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจของนักลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยแต่อย่างใด
นอกจากนี้ นายสมคิดยังได้ชี้แจงถึงความคืบหน้าของเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ขณะนี้มีนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในพื้นที่กว่าร้อยละ 60 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการโรดโชว์ของคณะทำงาน ประกอบกับระหว่างวันที่ 17-21 กรกฎาคมนี้ จะนำคณะผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย-ญี่ปุ่น (High Level Joint Commission-HLJC) เมืองนาโกย่า ซึ่งเป็นแหล่งการลงทุนใหญ่ที่สุด เพื่อเชิญชวนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น พร้อมเตรียมเสนอการยกระดับเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย- ญี่ปุ่น เพื่อเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญระหว่าง 2 ประเทศในอนาคต อย่างไรก็ตาม ทางเจโทรไม่ได้มีการถามเกี่ยวกับการเลือกตั้งในประเทศไทย เชื่อมีความเข้าใจในสถานการณ์บ้านเมืองของไทยเป็นอย่างดี
https://mgronline.com/stockmarket/detail/9610000069795
“นักลงทุนญี่ปุ่น” นับเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มียอดเงินลงทุนสะสมคงค้างกว่า 2.4 ล้านล้านบาท
ตามรายงานของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ณ ไตรมาสแรก ของปีนี้ มียอดเงินลงทุนโดยตรงของ “นักลงทุนญี่ปุ่น” ในไทย คงค้าง ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2560 จำนวน 75,311.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท รองลงมา ได้แก่ สหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ ตามลำดับ
ขณะที่ ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ระบุว่า “นักลงทุนญี่ปุ่น” ยังคงเป็นนักลงทุนที่ลงทุนในไทยมากเป็นอันดับ 1 มียอดเงินลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2559 จำนวน 57,466 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ 37,228 ล้านบาท และ จีน 32,537 ล้านบาท
เช่นเดียวกับ ในครึ่งปีแรกของปีนี้ คือ ตั้งแต่เดือน ม.ค. - มิ.ย. มีการยื่นรับการส่งเสริมของโครงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ 371 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 119,029 ล้านบาท โดย “นักลงทุนญี่ปุ่น” ยังเป็นประเทศที่มีปริมาณเงินลงทุนในการยื่นขอส่งเสริมสูงที่สุด คิดเป็นร้อยละ 55 ของมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติทั้งหมด ซึ่งมีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่ อาทิ กิจการผลิตรถยนต์ไฮบริจด์ มูลค่า 19,547 ล้านบาท, การผลิตผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ชนิดพิเศษ หรือ เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ มูลค่า 15,182 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังลงทุนในการผลิตรถยนต์, การผลิตตัวยึดจับฮาร์ดดิสก์ และการผลิตผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูป อีกด้วย
สำหรับการเดินทางมาเยือนไทยของคณะนักธุรกิจญี่ปุ่น ที่นำโดย รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม (เมติ) มีจำนวนกว่า 570 บริษัท ถือว่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา นอกจากนี้ จะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ 7 ฉบับ คือ
1.สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น หรือ เคดันเรน กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, หอการค้าไทย กับสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น (JCCI) เพื่อร่วมกันรวมถึงความร่วมมือในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 แห่ง ในประเทศไทย (ไทยแลนด์ 4.0) และความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นในประเทศไทยและญี่ปุ่น อาทิ การแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้า การตลาด และเศรษฐกิจ, การเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าบริการระหว่างกัน และการให้ความช่วยเหลือ/การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมของทั้ง 2 ประเทศ ที่มีมาตรฐานสากล
2.สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) กับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า)
3.กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกับสถานทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ภายใต้แนวคิดความร่วมมือทางไกลระหว่างมหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นกับนักลงทุนไทย
4.นิคมอุตสาหกรรมอมตะนครกับ บริษัท ฮิตาชิ
5.กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร
6.กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกับองค์การสนับสนุนอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศญี่ปุ่น
7.กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและ บริษัท JC Service
http://www.thansettakij.com/content/207209
💒~มาลาริน~ นำข่าวดีๆมาบอกกันค่ะ...“สมคิด”ปลื้มญี่ปุ่นเชื่อมั่นไทย ดัชนีเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นดีที่สุดในรอบหลายปีมานี้
“สมคิด”ปลื้มญี่ปุ่นเชื่อมั่นไทย
“สมคิด” พอใจนักธุรกิจญี่ปุ่นเชื่อมั่นไทยดีสุดในรอบหลายปี เจโทรย้ำสงครามการค้าไม่กระทบลงทุนไทย
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังนายฮิโรกิ มิตสึมาตะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) เข้าเยี่ยมคารวะ ณ ทำเนียบรัฐบาล ว่า เจโทรรายงานผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของนักธุรกิจญี่ปุ่นที่มีการลงทุนในประเทศไทยปีนี้ พบว่าเป็นผลการสำรวจดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในรอบหลายปีนี้ โดยระดับดัชนีเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 (ก.ค.-ธ.ค. 60) เพิ่มขึ้นจากระดับ 14 เป็น 34 หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20 ระดับ ด้านระดับดัชนีเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 (ม.ค.-มิ.ย. 61) เพิ่มขึ้นจากระดับ 34 เป็น 36 หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 2 ระดับ ขณะที่มุมมองต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 6 เดือนข้างหน้า หรือครึ่งหลังปี 2561 (ก.ค.-ธ.ค.61) จากปัจจุบันอยู่ระดับ 36 เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 40 หรือปรับเพิ่มขึ้น 4 ระดับ ซึ่งเจโทรจะมีการแถลงตัวเลขอย่างเป็นทางการอีกครั้งปลายเดือนนี้
ทั้งนี้ ดัชนีที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคธุรกิจญี่ปุ่นที่มีการลงทุนในประเทศไทย โดยเจโทรย้ำว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจของนักลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยแต่อย่างใด
นอกจากนี้ นายสมคิดยังได้ชี้แจงถึงความคืบหน้าของเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ขณะนี้มีนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในพื้นที่กว่าร้อยละ 60 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการโรดโชว์ของคณะทำงาน ประกอบกับระหว่างวันที่ 17-21 กรกฎาคมนี้ จะนำคณะผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย-ญี่ปุ่น (High Level Joint Commission-HLJC) เมืองนาโกย่า ซึ่งเป็นแหล่งการลงทุนใหญ่ที่สุด เพื่อเชิญชวนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น พร้อมเตรียมเสนอการยกระดับเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย- ญี่ปุ่น เพื่อเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญระหว่าง 2 ประเทศในอนาคต อย่างไรก็ตาม ทางเจโทรไม่ได้มีการถามเกี่ยวกับการเลือกตั้งในประเทศไทย เชื่อมีความเข้าใจในสถานการณ์บ้านเมืองของไทยเป็นอย่างดี
https://mgronline.com/stockmarket/detail/9610000069795
“นักลงทุนญี่ปุ่น” นับเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มียอดเงินลงทุนสะสมคงค้างกว่า 2.4 ล้านล้านบาท
ตามรายงานของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ณ ไตรมาสแรก ของปีนี้ มียอดเงินลงทุนโดยตรงของ “นักลงทุนญี่ปุ่น” ในไทย คงค้าง ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2560 จำนวน 75,311.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท รองลงมา ได้แก่ สหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ ตามลำดับ
ขณะที่ ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ระบุว่า “นักลงทุนญี่ปุ่น” ยังคงเป็นนักลงทุนที่ลงทุนในไทยมากเป็นอันดับ 1 มียอดเงินลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2559 จำนวน 57,466 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ 37,228 ล้านบาท และ จีน 32,537 ล้านบาท
เช่นเดียวกับ ในครึ่งปีแรกของปีนี้ คือ ตั้งแต่เดือน ม.ค. - มิ.ย. มีการยื่นรับการส่งเสริมของโครงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ 371 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 119,029 ล้านบาท โดย “นักลงทุนญี่ปุ่น” ยังเป็นประเทศที่มีปริมาณเงินลงทุนในการยื่นขอส่งเสริมสูงที่สุด คิดเป็นร้อยละ 55 ของมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติทั้งหมด ซึ่งมีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่ อาทิ กิจการผลิตรถยนต์ไฮบริจด์ มูลค่า 19,547 ล้านบาท, การผลิตผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ชนิดพิเศษ หรือ เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ มูลค่า 15,182 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังลงทุนในการผลิตรถยนต์, การผลิตตัวยึดจับฮาร์ดดิสก์ และการผลิตผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูป อีกด้วย
สำหรับการเดินทางมาเยือนไทยของคณะนักธุรกิจญี่ปุ่น ที่นำโดย รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม (เมติ) มีจำนวนกว่า 570 บริษัท ถือว่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา นอกจากนี้ จะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ 7 ฉบับ คือ
1.สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น หรือ เคดันเรน กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, หอการค้าไทย กับสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น (JCCI) เพื่อร่วมกันรวมถึงความร่วมมือในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 แห่ง ในประเทศไทย (ไทยแลนด์ 4.0) และความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นในประเทศไทยและญี่ปุ่น อาทิ การแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้า การตลาด และเศรษฐกิจ, การเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าบริการระหว่างกัน และการให้ความช่วยเหลือ/การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมของทั้ง 2 ประเทศ ที่มีมาตรฐานสากล
2.สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) กับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า)
3.กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกับสถานทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ภายใต้แนวคิดความร่วมมือทางไกลระหว่างมหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นกับนักลงทุนไทย
4.นิคมอุตสาหกรรมอมตะนครกับ บริษัท ฮิตาชิ
5.กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร
6.กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกับองค์การสนับสนุนอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศญี่ปุ่น
7.กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและ บริษัท JC Service
http://www.thansettakij.com/content/207209