ฌานในพระพุทธศาสนาไม่ใช่ฌานฤๅษี

ปกติแล้วผู้บรรลุฌานจะบรรลุไปเป็นลำดับ เริ่มจากปฐมฌานไปจนถึงจตุตถฌาน ต่อด้วยอากาสานัญจายตนฌานไปจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน รวมเรียกว่าสมาบัติ 8 ซึ่งเป็นสมาธินอกศาสนาพุทธ

แต่เจ้าชายสิทธัตถะเมื่อทรงออกผนวชแล้วได้ทรงศึกษาอยู่ในสำนักของอาฬารดาบสและอุทกดาบสจนได้บรรลุอากิญจัญญายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะตามลำดับ

ทว่าเมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทาง หลังจากบำเพ็ญทุกรกิริยาแล้ว กลับทรงดำริถึงปฐมฌานที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ที่ทรงนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นหว้า แทนที่จะดำริถึงฌานของดาบสทั้งสอง และทรงดำริด้วยว่าทางนี้น่าจะเป็นทางแห่งการตรัสรู้เป็นแน่ แสดงว่าฌานนี้ต้องไม่เหมือนกับของดาบสทั้งสองแน่นอน

เมื่อพระองค์ทรงตั้งพระทัยมั่นแล้วและทรงแน่วแน่ว่าพระองค์ไม่กลัวสุขในฌานนี้ จึงทรงยังฌานนั้น (ที่ทรงบรรลุเองใต้ต้นหว้า) ให้เกิดขึ้นไปเป็นลำดับ จนกระทั่งตรัสรู้

พิจารณาจากพระสูตรนี้ครับ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ฌานในพระพุทธศาสนามีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น จึงไม่เหมือนกับฌานนอกศาสนา และพระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญฌานเป็นอเนกอนันต์ มีแต่ตรัสบอกให้ทำไม่ให้ว่างเว้น ไม่ให้เหินห่าง ให้ทำมาก ๆ บางคราวก็ทรงตรัสให้เจริญฌานเพื่อบรรลุธรรม เพื่อกำจัดสังโยชน์ ไม่เคยทรงห้ามและติเตียนฌานเลย ดังพระสูตรนี้

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เปรียบเหมือนการออกกำลังกายที่ควรทำเป็นประจำและเป็นพื้นฐานในการเล่นกีฬาทุกชนิด พระองค์ทรงตรัสเรื่องฌานมากจนไม่อาจกล่าวว่าไม่ใช่คำสอนของพระองค์ได้ การทำอะไรไม่ครบขาด ๆ เกิน ๆ ย่อมบรรลุผลไม่ได้ฉันใด การตีความเอาเองว่าฌานไม่จำเป็นก็ย่อมบรรลุธรรมไม่ได้ฉันนั้น

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทรงย้ำให้เพ่งฌาน ไม่ใช่สติปัฏฐานเพราะอะไร เพราะฌานมีในสติปัฏฐาน และสติปัฏฐานมีในฌาน การกล่าวสิ่งใดสิ่งหนึ่งจึงหมายถึงอีกสิ่งด้วย ผู้ที่กล่าวว่าตนเองเข้าสติปัฏฐานได้จึงเป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรมตามที่พระวินัยได้อธิบายไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่