อยากเล่าถึงประสิทธิ์ภาพในการรับเรื่องเครมเงินค่ารักษาพยาบาล (OPD) ของกรุงไทยแอกซ่า
ดิฉัน เป็นผู้ถือกรมธรรม์ KT-AXA เลขที่ 507-xxxxx (Perfect health) ขอshareการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของพนักงานแผนกสินไหม และพนักงาน Call Center ในการดำเนินงานติดตามสถานะการณ์และการแก้ไขปัญหาในการจ่ายเงินคืนให้กับผู้เอาประกัน หลังจากที่มีการส่งเอกสารและติดตามสอบถามความคืบหน้าผ่านทาง Call center หลายครั้งแต่ไม่ได้รับการติดตามผลและการติดต่อกลับอย่างมีประสิทธิภาพตามที่พนักงานได้แจ้งไว้
ในช่วงต้นเดือนมกราคม 25561 ทางดิฉันได้มีการส่งเอกสารเพื่อขอเรียกคืนค่ารักษาพยาบาล ผู้ป่วยนอก ได้มีการส่งเอกสารที่จำเป็นในการขอคืนค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งใบเสร็จของทางโรงพยาบาล กรุงเทพระยอง ไปทั้งหมด 3 Case ซึ่งทางบริษัท กรุงไทย แอกซ่า จำกัด (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกแทนด้วย “บริษัท”) ได้มีการประทับตรารับเอกสาร ในวันที่ 9 Jan 2018 (บางฉบับประทับตรา 10 Jan 2018) จนกระทั่งประมาณช่วงกลางเดือนมีนาคม ยังไม่ได้รับการติดต่อจากทางบริษัท ถึงความคืบหน้าในการทำเรื่องเบิกจ่าย จึงโทรไปสอบถามทาง Call center จึงได้ทราบเรื่องว่าทางบริษัท ได้มีการส่งเอกสารเพื่อขอให้ทางดิฉัน ส่งเอกสารการมอบอำนาจในการขอประวัติการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มาที่ที่อยู่ที่กรุงเทพ ซึ่งเป็นที่อยู่เดิมที่ได้เคยจัดส่งให้กับทางบริษัทไป จึงทำให้ทางดิฉันไม่ได้รับเอกสาร เนื่องจากเป็นบ้านที่กรุงเทพที่ไม่ได้ใช้อยู่อาศัยเป็นประจำ ทางดิฉันจึงทำการสอบถามทางพนักงาน Call center ว่าทำไมถึงมีการเรียกประวัติที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ด้วย ดิฉันเคยไปหาที่โรงพยาบาลดังกล่าวมาก่อนหรือ? เนื่องจากจำไม่ได้ว่าเคยมีประวัติการรักาอยู่กับโรงพยาบาลดังกล่าว และการขอเครมคืนค่ารักษาครั้งนี้เป็นของโรงพยาบาลกรุงเทพระยอง ทาง Call center มีการแจ้งว่าทางบริษัทพบว่าดิฉันน่าจะมีประวัติการรักษาที่รพ.ดังกล่าว(รพ.บำรุงราษฎร์) มาก่อนจึงต้องทำการสืบค้นเพื่อดูว่าอยู่ในข่ายที่จะรับรองในประกันและเบิกจ่ายได้หรือไม่ ในครั้งนั้นดิฉันได้ทำการสอบถามถึงประวัติการรักษาว่าถ้าในอดีตมีประวัติว่าเคยเป็นหวัด หรือโพรงจมูกอักเสบซึงเป็นโรคที่สามารถเป็นแล้วหายขาดและอาจเป็นซ้ำในอนาคตได้ทางบริษัทจะไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวหรือ ทางเจ้าหน้าที่ Call center แจ้งกลับแต่เพียงว่าต้องทำการตรวจเช็คประวัติก่อนจึงจะแจ้งผลได้ ในวันนั้นจบลงด้วยการที่ดิฉันแจ้งว่าจะกลับไปส่งเอกสารตามที่ทางบริษัทร้องขอกลับไปให้ทางบริษัท ถึงแม้ว่าจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องขอประวัติที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ก็ตาม และขอทำการแก้ไขเอกสารให้จัดส่งมาที่บริษัทที่ระยอง เพื่อให้สามารถรับเอกสารและข้อมูลได้อย่างรวดเร็วขึ้น
วันที่ 31 มีนาคม 2561 ดิฉันได้ทำการส่งเอกสารตามที่บริษัทแจ้งให้ส่งเพื่มเติมให้อย่างครบถ้วน รวมทั้งได้ส่งเอกสารการขอคืนค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก จากทางโรงพยาบาลกรุงเทพระยองไปเพิ่มอีกทั้งหมด 4 Case ไปพร้อมกันด้วย (รวมกับของเดิมที่เคยส่งไปที่บริษัทแล้ว 3 Case รวมเป็น 7 Case) และเพื่อสามารถติดตามเอกสารดังกล่าวได้ดิฉันจึงเปลี่ยนจากการส่งโดยการไปฝากไว้ที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยตามที่เคยทำมาในอดีตเปลี่ยนเป็นการส่งเอกสารเป็น EMS แทน (หมายเลย EMS ค่าใช้จ่ายในการส่ง 72 บาท : EU448348xxxTH โดยผู้รับได้เอกสารวันที่ 2 เมษายน 2561)
เมื่อประมาณวันที่ 25 เมษายน 2561 ดิฉันได้รับเอกสารจากทางบริษัท ซึ่งยังคงส่งไปที่ที่อยู่เดิมที่เคยแจ้งขอให้แก้ที่อยู่ไปแล้วจากการโทรไป Call Center ในครั้งที่แล้ว โดยเอกสารดังกล่างเป็นเอกสารการขอคืนค่ารักษาพยาบาลที่เคยส่งไปในครั้งแรกตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม ทั้ง 3 Case จากทางบริษัทลงวันที่ออกเอกสาร คือ วันที่ 10 เมษายน 2561 และอีก 4 Case ลงวันที่ 19 เมษายน 2561 เพื่อแสดงความเสียใจ ที่ไม่สามารถคุ้มครองค่าสินไหมทดแทนได้ เนื่องจากขาดประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ซึ่งเป็นเอกสารที่ทางดิฉันได้ส่งไปแล้ว และจากสถานการณะการรับของจากหมายเลข EMS พบว่าทางบริษัทได้รับเอกสารแล้วตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2561 และไม่มีทางเป็นไปได้ที่ทางบริษัทจะไม่ได้รับเอกสารการยินยอมขอเปิดเผยประวัติการรักษาที่ดิฉันส่งไปให้ เนื่องจากเป็นเอกสารซองเดียวกับการส่งเอกสารการขอค่าเรียกค่ารักาพยาบาลคืนในอีก 4 Case หลัง (ซึ่งถูกส่งกลับมา โดยลงวันที่ออกเอกสารคือวันที่ 19 เมษายน 2561) ทางดิฉันจึงได้โทรไปสอบถามจากทาง Call Center อีกครั้ง ครั้งนี้โชคร้ายเพิ่มเข้าไปอีกโดยการเจอพนักงาน Call center ที่ไม่เต็มใจบริการทั้งจากการแสดงออกทางน้ำเสียงและการกระทำ โดยทุกครั้งที่ถาม ซึ่งในบางครั้งถามยังไม่ทันจบจะถูกตัดบทด้วยการแจ้งว่าขออนุญาตเช็คข้อมูลสักครู่นะค่ะ และตัดเป็นเสียงรอสาย จากความพยายามในการสอบถามข้อมูลและการอดทนรอทำให้ได้ทราบข้อมูลว่า ทางบริษัทได้รับเอกสารการยินยอมเปิดเผยประวัติและเอกสารที่จำเป็นต่างๆครบถ้วนแล้วในวันที่ 10 เมษายน 2561 และอยู่ในระหว่างการดำเนินการส่งคำขอประวัติไปยังโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ทางดิฉันได้มีการสอบถามเพิ่มเติมว่าเมื่อทางบริษัทได้รับเอกสารเรียบร้อยแล้วเหตุใดจึงต้องส่งเอกสารการขอเรียกคืนค่ารักษาพยาบาลกลับมาที่ดิฉันอีก เพื่อขอเอกสารการขอประวัติอีกครั้ง ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เกิดความล่าช้า และทำให้ลูกค้าที่ควรจะได้รับความสะดวกสบายในการบริการเกิดความไม่สะดวก พนักงาน Call center แจ้งได้เพียงว่าน่าเป็นความผิดพลาดของทางพนักงานในการประสานงาน สุดท้ายจบลงด้วยการสอบถามและได้คำตอบว่าถ้าส่งเอกสารกลับไปในครั้งนี้แล้วจะสามารถดำเนินการต่อได้ครบถ้วนโดยไม่ต้องขอเอกสารใดๆเพิ่มเติมอีก และรับปากว่าจะมีการส่งเรื่องไปยังผู้เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
วันที่ 30 เมษายน 2561 ทางดิฉันได้ทำการส่งเอกสารทั้งหมดกลับไปทางบริษัท และอีกเช่นเคยเพื่อให้สามารถตรวจสอบสถานะของการส่งเอกสารได้ อันเนื่องมาจากไม่มีความมั่นใจและขาดความเชื่อมั่นในการดำเนินงานของทางบริษัทที่จะส่งมอบคุณภาพในการบริการให้กับลูกค้าตามสิทธิที่ลูกค้าพึ่งได้รับจากการซื้อบริการอย่างถูกต้องชอบธรรม ดิฉันจึงเรียการส่งแบบ EMS โดยหมายเลขการส่ง EMS : EU 6121 91xxx TH เสียค่าใช้จ่ายในการส่ง 52 บาท และจากการตรวจสอบสถานะในการจัดส่งเอกสารพบว่าทางบริษัทได้รับเอกสารแล้วในวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 แต่แน่นอนว่าเรื่องมันอาจจะยังไม่จบง่ายๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไร Surprise อีก หลังจากส่งเอกสารแล้วดิฉันจึงได้โทรไปสอบถามจากทาง Call Center อีกครั้ง เพื่อแจ้งว่าได้ส่งเอกสารไปเรียบร้อยแล้วและสอบถามทางบริษัทว่าได้ดำเนินการส่งเอกสารการยินยอมเปิดเผยประวัติไปทางโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์แล้วหรือยัง ทางพนักงาน Call Center ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลและแจ้งว่าทางบริษัทได้ทำการส่งเอกสารไปยังตรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เรียบร้อยแล้วในวันที่ 27 เมษายน 2561
วันที่ 23 พฤษภาคม 2561 ดิฉันได้รับเอกสารจากทางบริษัทอีกครั้ง และแน่นอนมันยังถูกส่งไปที่ที่อยู่เดิมที่เคยขอให้แก้ไขไปเรียบร้อยแล้วและยังคงป็นเอกสารรูปแบบเดิม แต่ครั้งนี้ส่งเอกสารกลับคืนมาทั้ง 7 Case ในซองเดียวพร้อมกับข้อความแสดงความเสียใจที่ไม่สามารถคุ้มครองค่าสินไหมทดแทนได้ เนื่องจากขาดประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อีกเช่นเคย ในฐานะพนักงานในองค์กรที่ควรมีมาตรฐานเป็นที่เป็นที่ยอมรับได้ และเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในเมืองไทย คุณอ่านมาถึงตรงนี้ คุณมีความรู้สึกอย่างไรบ้างกับพนักงานในความดูแลของคุณค่ะ ดิฉันในฐานะของลูกค้ารู้สึกสับสนและผิดหวังอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และได้ตัดสินใจโทรไป Call Center อีกครั้ง ครั้งนี้ดิฉันรู้สึกดีขึ้นจากน้ำเสียงและความพยายามในการให้ข้อมูลของพนักงาน Call Center โดยแจ้งว่าตอนนี้ทางบริษัทได้มีการติดต่อและได้รับการตอบรับจากทางโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เรียบร้อยแล้ว ว่าดิฉันไม่มีประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าว ดิฉันจึงได้สอบถามเพิ่มเติมว่า เมื่อทางบริษัทได้รับคำตอบตามนี้แล้ว ทำไมถึงยังส่งเอกสารการขอค่ารักษาพยาบาลทั้ง 7 Case คืนมาที่ดิฉันอีก ซึ่งพนักงานแจ้งว่าทางบริษัทไม่มั่นใจว่าไม่มีประวัติจริงๆหรือไม่ และขอตามเรื่องเพิ่มเติมจากทางเจ้าของเคสและจะทำการติดต่อกลับดิฉัน ซึ่งที่ผ่านมาทุกครั้งที่ได้รับแจ้งว่าจะมีการติดต่อกลับจากทางบริษัทนั้น ดิฉันไม่เคยได้รับการติดต่อกลับแต่อย่างใด ซึ่งการที่บริษัทสงสัยเรื่องประวัติการรักษาของดิฉันที่รพ.บำรุงราษฎร์ นั้นเป็นการสุ่มของบริษัทจากที่อยู่ที่ กทมของดิฉัน ขอเน้นว่าเป็นการสุ่มๆๆๆ แล้วทำให้ดิฉันต้องเดินเรื่องต่อจากการทำงานแบบสุ่มๆ ของบริษัท
ข้อสังเกตุส่วนตัวเนื่องจาก KT-AXA มีการยกเลิกการขายประกัน Perfect health ไปแล้ว ทำให้บริษัทไม่ค่อยดูแลดูค้าอย่างเราหรือเปล่า ใครจะซื้อประกันก็ลองศึกษา หาข้อมูลในเรื่องของการดูแลลูกค้าไว้ด้วยก็ดีนะ เจอบริการแบบเราไปเซ็งมาก
ถามหาประสิทธิ์ภาพการเครมประกันของ กรุงไทยแอกซ่า ช้าและงงแบบที่คุณคิดไม่ถึง (Perfect health)
ดิฉัน เป็นผู้ถือกรมธรรม์ KT-AXA เลขที่ 507-xxxxx (Perfect health) ขอshareการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของพนักงานแผนกสินไหม และพนักงาน Call Center ในการดำเนินงานติดตามสถานะการณ์และการแก้ไขปัญหาในการจ่ายเงินคืนให้กับผู้เอาประกัน หลังจากที่มีการส่งเอกสารและติดตามสอบถามความคืบหน้าผ่านทาง Call center หลายครั้งแต่ไม่ได้รับการติดตามผลและการติดต่อกลับอย่างมีประสิทธิภาพตามที่พนักงานได้แจ้งไว้
ในช่วงต้นเดือนมกราคม 25561 ทางดิฉันได้มีการส่งเอกสารเพื่อขอเรียกคืนค่ารักษาพยาบาล ผู้ป่วยนอก ได้มีการส่งเอกสารที่จำเป็นในการขอคืนค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งใบเสร็จของทางโรงพยาบาล กรุงเทพระยอง ไปทั้งหมด 3 Case ซึ่งทางบริษัท กรุงไทย แอกซ่า จำกัด (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกแทนด้วย “บริษัท”) ได้มีการประทับตรารับเอกสาร ในวันที่ 9 Jan 2018 (บางฉบับประทับตรา 10 Jan 2018) จนกระทั่งประมาณช่วงกลางเดือนมีนาคม ยังไม่ได้รับการติดต่อจากทางบริษัท ถึงความคืบหน้าในการทำเรื่องเบิกจ่าย จึงโทรไปสอบถามทาง Call center จึงได้ทราบเรื่องว่าทางบริษัท ได้มีการส่งเอกสารเพื่อขอให้ทางดิฉัน ส่งเอกสารการมอบอำนาจในการขอประวัติการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มาที่ที่อยู่ที่กรุงเทพ ซึ่งเป็นที่อยู่เดิมที่ได้เคยจัดส่งให้กับทางบริษัทไป จึงทำให้ทางดิฉันไม่ได้รับเอกสาร เนื่องจากเป็นบ้านที่กรุงเทพที่ไม่ได้ใช้อยู่อาศัยเป็นประจำ ทางดิฉันจึงทำการสอบถามทางพนักงาน Call center ว่าทำไมถึงมีการเรียกประวัติที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ด้วย ดิฉันเคยไปหาที่โรงพยาบาลดังกล่าวมาก่อนหรือ? เนื่องจากจำไม่ได้ว่าเคยมีประวัติการรักาอยู่กับโรงพยาบาลดังกล่าว และการขอเครมคืนค่ารักษาครั้งนี้เป็นของโรงพยาบาลกรุงเทพระยอง ทาง Call center มีการแจ้งว่าทางบริษัทพบว่าดิฉันน่าจะมีประวัติการรักษาที่รพ.ดังกล่าว(รพ.บำรุงราษฎร์) มาก่อนจึงต้องทำการสืบค้นเพื่อดูว่าอยู่ในข่ายที่จะรับรองในประกันและเบิกจ่ายได้หรือไม่ ในครั้งนั้นดิฉันได้ทำการสอบถามถึงประวัติการรักษาว่าถ้าในอดีตมีประวัติว่าเคยเป็นหวัด หรือโพรงจมูกอักเสบซึงเป็นโรคที่สามารถเป็นแล้วหายขาดและอาจเป็นซ้ำในอนาคตได้ทางบริษัทจะไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวหรือ ทางเจ้าหน้าที่ Call center แจ้งกลับแต่เพียงว่าต้องทำการตรวจเช็คประวัติก่อนจึงจะแจ้งผลได้ ในวันนั้นจบลงด้วยการที่ดิฉันแจ้งว่าจะกลับไปส่งเอกสารตามที่ทางบริษัทร้องขอกลับไปให้ทางบริษัท ถึงแม้ว่าจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องขอประวัติที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ก็ตาม และขอทำการแก้ไขเอกสารให้จัดส่งมาที่บริษัทที่ระยอง เพื่อให้สามารถรับเอกสารและข้อมูลได้อย่างรวดเร็วขึ้น
วันที่ 31 มีนาคม 2561 ดิฉันได้ทำการส่งเอกสารตามที่บริษัทแจ้งให้ส่งเพื่มเติมให้อย่างครบถ้วน รวมทั้งได้ส่งเอกสารการขอคืนค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก จากทางโรงพยาบาลกรุงเทพระยองไปเพิ่มอีกทั้งหมด 4 Case ไปพร้อมกันด้วย (รวมกับของเดิมที่เคยส่งไปที่บริษัทแล้ว 3 Case รวมเป็น 7 Case) และเพื่อสามารถติดตามเอกสารดังกล่าวได้ดิฉันจึงเปลี่ยนจากการส่งโดยการไปฝากไว้ที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยตามที่เคยทำมาในอดีตเปลี่ยนเป็นการส่งเอกสารเป็น EMS แทน (หมายเลย EMS ค่าใช้จ่ายในการส่ง 72 บาท : EU448348xxxTH โดยผู้รับได้เอกสารวันที่ 2 เมษายน 2561)
เมื่อประมาณวันที่ 25 เมษายน 2561 ดิฉันได้รับเอกสารจากทางบริษัท ซึ่งยังคงส่งไปที่ที่อยู่เดิมที่เคยแจ้งขอให้แก้ที่อยู่ไปแล้วจากการโทรไป Call Center ในครั้งที่แล้ว โดยเอกสารดังกล่างเป็นเอกสารการขอคืนค่ารักษาพยาบาลที่เคยส่งไปในครั้งแรกตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม ทั้ง 3 Case จากทางบริษัทลงวันที่ออกเอกสาร คือ วันที่ 10 เมษายน 2561 และอีก 4 Case ลงวันที่ 19 เมษายน 2561 เพื่อแสดงความเสียใจ ที่ไม่สามารถคุ้มครองค่าสินไหมทดแทนได้ เนื่องจากขาดประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ซึ่งเป็นเอกสารที่ทางดิฉันได้ส่งไปแล้ว และจากสถานการณะการรับของจากหมายเลข EMS พบว่าทางบริษัทได้รับเอกสารแล้วตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2561 และไม่มีทางเป็นไปได้ที่ทางบริษัทจะไม่ได้รับเอกสารการยินยอมขอเปิดเผยประวัติการรักษาที่ดิฉันส่งไปให้ เนื่องจากเป็นเอกสารซองเดียวกับการส่งเอกสารการขอค่าเรียกค่ารักาพยาบาลคืนในอีก 4 Case หลัง (ซึ่งถูกส่งกลับมา โดยลงวันที่ออกเอกสารคือวันที่ 19 เมษายน 2561) ทางดิฉันจึงได้โทรไปสอบถามจากทาง Call Center อีกครั้ง ครั้งนี้โชคร้ายเพิ่มเข้าไปอีกโดยการเจอพนักงาน Call center ที่ไม่เต็มใจบริการทั้งจากการแสดงออกทางน้ำเสียงและการกระทำ โดยทุกครั้งที่ถาม ซึ่งในบางครั้งถามยังไม่ทันจบจะถูกตัดบทด้วยการแจ้งว่าขออนุญาตเช็คข้อมูลสักครู่นะค่ะ และตัดเป็นเสียงรอสาย จากความพยายามในการสอบถามข้อมูลและการอดทนรอทำให้ได้ทราบข้อมูลว่า ทางบริษัทได้รับเอกสารการยินยอมเปิดเผยประวัติและเอกสารที่จำเป็นต่างๆครบถ้วนแล้วในวันที่ 10 เมษายน 2561 และอยู่ในระหว่างการดำเนินการส่งคำขอประวัติไปยังโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ทางดิฉันได้มีการสอบถามเพิ่มเติมว่าเมื่อทางบริษัทได้รับเอกสารเรียบร้อยแล้วเหตุใดจึงต้องส่งเอกสารการขอเรียกคืนค่ารักษาพยาบาลกลับมาที่ดิฉันอีก เพื่อขอเอกสารการขอประวัติอีกครั้ง ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เกิดความล่าช้า และทำให้ลูกค้าที่ควรจะได้รับความสะดวกสบายในการบริการเกิดความไม่สะดวก พนักงาน Call center แจ้งได้เพียงว่าน่าเป็นความผิดพลาดของทางพนักงานในการประสานงาน สุดท้ายจบลงด้วยการสอบถามและได้คำตอบว่าถ้าส่งเอกสารกลับไปในครั้งนี้แล้วจะสามารถดำเนินการต่อได้ครบถ้วนโดยไม่ต้องขอเอกสารใดๆเพิ่มเติมอีก และรับปากว่าจะมีการส่งเรื่องไปยังผู้เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
วันที่ 30 เมษายน 2561 ทางดิฉันได้ทำการส่งเอกสารทั้งหมดกลับไปทางบริษัท และอีกเช่นเคยเพื่อให้สามารถตรวจสอบสถานะของการส่งเอกสารได้ อันเนื่องมาจากไม่มีความมั่นใจและขาดความเชื่อมั่นในการดำเนินงานของทางบริษัทที่จะส่งมอบคุณภาพในการบริการให้กับลูกค้าตามสิทธิที่ลูกค้าพึ่งได้รับจากการซื้อบริการอย่างถูกต้องชอบธรรม ดิฉันจึงเรียการส่งแบบ EMS โดยหมายเลขการส่ง EMS : EU 6121 91xxx TH เสียค่าใช้จ่ายในการส่ง 52 บาท และจากการตรวจสอบสถานะในการจัดส่งเอกสารพบว่าทางบริษัทได้รับเอกสารแล้วในวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 แต่แน่นอนว่าเรื่องมันอาจจะยังไม่จบง่ายๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไร Surprise อีก หลังจากส่งเอกสารแล้วดิฉันจึงได้โทรไปสอบถามจากทาง Call Center อีกครั้ง เพื่อแจ้งว่าได้ส่งเอกสารไปเรียบร้อยแล้วและสอบถามทางบริษัทว่าได้ดำเนินการส่งเอกสารการยินยอมเปิดเผยประวัติไปทางโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์แล้วหรือยัง ทางพนักงาน Call Center ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลและแจ้งว่าทางบริษัทได้ทำการส่งเอกสารไปยังตรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เรียบร้อยแล้วในวันที่ 27 เมษายน 2561
วันที่ 23 พฤษภาคม 2561 ดิฉันได้รับเอกสารจากทางบริษัทอีกครั้ง และแน่นอนมันยังถูกส่งไปที่ที่อยู่เดิมที่เคยขอให้แก้ไขไปเรียบร้อยแล้วและยังคงป็นเอกสารรูปแบบเดิม แต่ครั้งนี้ส่งเอกสารกลับคืนมาทั้ง 7 Case ในซองเดียวพร้อมกับข้อความแสดงความเสียใจที่ไม่สามารถคุ้มครองค่าสินไหมทดแทนได้ เนื่องจากขาดประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อีกเช่นเคย ในฐานะพนักงานในองค์กรที่ควรมีมาตรฐานเป็นที่เป็นที่ยอมรับได้ และเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในเมืองไทย คุณอ่านมาถึงตรงนี้ คุณมีความรู้สึกอย่างไรบ้างกับพนักงานในความดูแลของคุณค่ะ ดิฉันในฐานะของลูกค้ารู้สึกสับสนและผิดหวังอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และได้ตัดสินใจโทรไป Call Center อีกครั้ง ครั้งนี้ดิฉันรู้สึกดีขึ้นจากน้ำเสียงและความพยายามในการให้ข้อมูลของพนักงาน Call Center โดยแจ้งว่าตอนนี้ทางบริษัทได้มีการติดต่อและได้รับการตอบรับจากทางโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เรียบร้อยแล้ว ว่าดิฉันไม่มีประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าว ดิฉันจึงได้สอบถามเพิ่มเติมว่า เมื่อทางบริษัทได้รับคำตอบตามนี้แล้ว ทำไมถึงยังส่งเอกสารการขอค่ารักษาพยาบาลทั้ง 7 Case คืนมาที่ดิฉันอีก ซึ่งพนักงานแจ้งว่าทางบริษัทไม่มั่นใจว่าไม่มีประวัติจริงๆหรือไม่ และขอตามเรื่องเพิ่มเติมจากทางเจ้าของเคสและจะทำการติดต่อกลับดิฉัน ซึ่งที่ผ่านมาทุกครั้งที่ได้รับแจ้งว่าจะมีการติดต่อกลับจากทางบริษัทนั้น ดิฉันไม่เคยได้รับการติดต่อกลับแต่อย่างใด ซึ่งการที่บริษัทสงสัยเรื่องประวัติการรักษาของดิฉันที่รพ.บำรุงราษฎร์ นั้นเป็นการสุ่มของบริษัทจากที่อยู่ที่ กทมของดิฉัน ขอเน้นว่าเป็นการสุ่มๆๆๆ แล้วทำให้ดิฉันต้องเดินเรื่องต่อจากการทำงานแบบสุ่มๆ ของบริษัท
ข้อสังเกตุส่วนตัวเนื่องจาก KT-AXA มีการยกเลิกการขายประกัน Perfect health ไปแล้ว ทำให้บริษัทไม่ค่อยดูแลดูค้าอย่างเราหรือเปล่า ใครจะซื้อประกันก็ลองศึกษา หาข้อมูลในเรื่องของการดูแลลูกค้าไว้ด้วยก็ดีนะ เจอบริการแบบเราไปเซ็งมาก