นอกจากการแบ่งพระอริยเจ้า เป็น ๔ คู่ รวม ๘ ประเภทแบ่งตามสังโยชน์ที่ตัดได้แล้ว
ยังมีการแบ่งพระอริยเจ้าโดยการพิจารณาการเข้าถึงมรรคผล การปฏิบัติธรรมอีก
จะขออนุญาตสรุปจากหนังสือพุทธธรรม (ปอ.ปยุตโต) ซึ่งเรียบเรียงมาดีแล้ว
แต่ฉันคัดลอกมาลำบากมาก เลยขอเล่าลัดๆให้อ่านแล้วกัน
การแบ่งพระอริยเจ้า เป็น อริยบุคคล ๗
พระอริยเจ้าที่แบ่งตามอินทรีย์ที่แก่กล้าเป็นตัวนำในการปฏิบัติและสัมพันธ์กับวิโมกข์ ๘
เรื่องอินทรีย์ ก็อินทรีย์ ๕ ไม่ขอกล่าวรายละเอียด
ความไม่สม่ำเสมอของอินทรีย์ของพระอริยเจ้าขณะเข้าถึงมรรคผล เป็นสิ่งที่แบ่งประเภทพระอริยเจ้า
ที่เด่นชัดในเรื่องนี้คือ สัทธินทรีย์ (ศรัทธา) สมาธินทรีย์ (สมาธิ) และปัญญินทรีย์ (ปัญญา)
ต่อมาวิโมกข์ ๘ เป็นเรื่องของสมาธิระดับฌานสมาบัติ มีกสิณกับอรูปฌานเป็นพระเอก
วิโมกข์ทั้ง ๘ ขอกล่าวสั้นๆว่า วิโมกข์ ๑-๓ เป็นเรื่องของรูปสมาบัติ
ส่วนวิโมกข์ ๔-๘ เป็นเรื่องของอรูปสมาบัติ-สัญญาเวทยิตนิโรธ
(รายละเอียดหาอ่านได้ไม่ยากนี่)
นักปฏิบัตินั้นเมื่อเริ่มปฏิบัติ จะเริ่มด้วย ศรัทธา หรือปัญญาก็ตามแต่ จากนั้นเจริญสมถภาวนาหรือสมาธิ
จนได้รูปฌานสมาบัติหรือวิโมกข์ ข้อ ๑-๓ แล้วไม่ไปต่อที่อรูปสมาบัติ (แปลว่าไม่ได้วิโมกข์)
กับนักปฏิบัติที่เรียนต่อจนจบอรูปสมาบัติหรือได้วิโมกข์ข้อที่เหลือ
สังเกตว่า เริ่มจากสอง คือ ศรัทธา หรือปัญญา
จากนั้นเจริญกรรมฐานต่อ จนได้วิโมกข์ หรือไม่ได้วิโมกข์ จนได้มรรคผลขั้นต้น พระเสขะ หรือ สอุปาทิเสสบุคคล
เรียกตามลักษณะต่างๆได้ดังนี้
๑ สัทธานุสารี ขณะบรรลุโสดาปัตติผล มีสัทธินทรีย์แรงกล้า อบรมอริยมรรคโดยมีศรัทธาเป็นตัวนำ
๒ ธัมมานุสารี ขณะบรรลุโสดาปัตติผล มีปัญญินทรีย์แรงกล้า อบรมอริยมรรคโดยมีปัญญาเป็นตัวนำ
๓ สัทธาวิมุตติ หลุดพ้นด้วยศรัทธา พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันปัตติผลจนถึงพระอรหันต์ที่ปฏิบัติโดยมีสัทธินทรีย์แรงกล้า
๔ ทิฏฐิปปัตตะ ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันปัตติผลจนถึงพระอรหันต์ที่ปฏิบัติโดยมีปัญญินทรีย์แรงกล้า
๕ กายสิกขี ผู้ที่ได้วิโมกข์ ๘ พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันปัตติผลจนถึงพระอรหันต์ที่ปฏิบัติโดยมีสมาธินทรีย์แรงกล้า
๖ ปัญญาวิมุตติ ผู้ที่ไม่ได้วิโมกข์ ๘ ปฏิบัติจนบรรลุอรหัตผลด้วยปัญญา
๗ อุภโตภาควิมุตติ ผู้ที่ได้วิโมกข์ ๘ ปฏิบัติจนบรรลุอรหัตผลด้วยปัญญา
ขอให้สังเกตว่า การแบ่งทั้ง ๗ อย่างนี้ เป็นการแบ่งโดยพิจารณาอินทรีย์และวิโมกข์ประกอบ
ข้อ ๑-๒ แบ่งตามการบรรลุพระโสดาบัน โดยมีความแรงกล้าทางอินทรีย์แบ่งเป็นสองอย่างคือ ศรัทธา กับ ปัญญา
ข้อ ๓-๔ แบ่งตามอินทรีย์ที่แรงกล้าหลังจากบรรลุพระโสดาบัน ปฏิบัติจนบรรลุพระอรหันต์โดยมีความแรงกล้าทางอินทรีย์
แบ่งเป็นสองอย่างคือ ศรัทธา กับ ปัญญา
ข้อ ๕ แบ่งตามอินทรีย์ที่แรงกล้าหลังจากบรรลุพระโสดาบัน
ปฏิบัติจนบรรลุพระอรหันต์โดยมีความแรงกล้าทางอินทรีย์ คือ สมาธิ
ข้อ ๖-๗ แบ่งพระอรหันต์เป็นสองอย่าง โดยใช้ได้กับไม่ได้วิโมกข์ ๘ เป็นสิ่งที่ใช้แบ่ง
และขออย่าได้คิดว่า ใช้อินทรีย์แค่อินทรีย์เดียวในการบรรลุมรรคผลนะจ๊ะ
เรื่องของพระปัญญาวิมุตติ มีการอธิบายเพิ่มอีกว่า นับผู้ปฏิบัติได้ฌานทั้งหมด ตั้งแต่ ๑-๔ เพียงแต่ไม่ได้อรูปฌานเท่านั้น
ส่วนอุภโตภาควิมุตติ นั้นแน่นอนว่าต้องได้อรูปสมาบัติด้วย
ทีนี้ก็มีการแบ่งตามคุณวิเศษอีก... คือเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน
๑ พระปัญญาวิมุต คือพระอรหันต์มุ่งเน้นวิปัสสนา โดยอาศัยกำลังสมถะเท่าที่จำเป็น คือ ฌาน ๑-๔
ไม่มีความสามารถพิเศษ เช่น อภิญญา ๕ หรือ เข้านิโรธสมาบัติไม่ได้เป็นต้น
แยกย่อยไปได้อีก คือ
๑.๑ พระสุกขวิปัสสก คือ ผู้ที่เจริญวิปัสสนาล้วน ได้สมาธิถึงฌานตอนที่บรรลุมรรคผล
๑.๒ พระปัญญาวิมุต คือ ผู้ที่ได้ฌาน ๑-๔ แล้วเจริญวิปัสสนาต่อจนบรรลุมรรคผล
๑.๓ พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ คือ ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔
๒ พระอุภโตภาควิมุตติ คือ พระอรหันต์ที่หลุดพ้นสองส่วน คือ หลุดพ้นรูปกายด้วยอรูปสมาบัติ
และหลุดพ้นจากนามกาย ด้วยอริยมรรค ก็แบ่งตามคุณวิเศษ
๒.๑ พระอุภโตภาควิมุต คือ พระอรหันต์ที่ได้ อรูปสมาบัติอย่างน้อยหนึ่งขั้น แต่ไม่ได้โลกียวิชชา โลกียอภิญญา
๒.๒ พระเตวิชชะ คือ พระอรหันต์ที่ได้วิชชา ๓ คือ ระลึกชาติได้ รู้การจุติและอุบัติของสัตว์ และอาสวักขยญาณ
๒.๓ พระฉฬภิญโญ คือ พระอรหันต์ที่ได้ อภิญญา ๖
๒.๔ พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ คือ ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔
รวมเป็นชุดเข้าด้วยกันได้ ๖ อย่าง
๑ พระสุกขวิปัสสก
๒ พระปัญญาวิมุต
๓ พระอุภโตภาควิมุต
๔ พระเตวิชชะ
๕ พระฉฬภิญโญ
๖ พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ
ยังมีการจัดเรียงแยกแยะที่ต่างออกไปอีก แต่คงไม่ค้นมาให้แล้ว เพราะคิดว่าเพียงเท่านี้ก็พอมองเห็นภาพแล้ว
ใครสนใจจะหันหัวเรือไปเป็นพระอริยเจ้าแบบไหนยังไง ก็แล้วแต่อัชฌาศัย ความประสงค์ ฉันทะของแต่ละคน
ฉันคงไม่สามารถจะไปแนะนำได้ว่าควรหรือไม่ควรอย่างไร
ใครต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ ก็ลองอ่านหนังสือ พุทธธรรมฉบับปรับขยายดูแล้วกันนะจ๊ะ (หาโหลดได้เยอะแยะตาแป๊ะไก่)
มีภาพประกอบให้เห็นชัดเจนมากกว่าที่ฉันเขียนมากนัก
ใครได้มรรคผลอะไรยังไงก็มาเล่าให้ฟังบ้างว่าจัดตัวเองอยู่ในซีรี่ส์ไหน
ปล.มีผิดพลาดตกหล่นไปบ้าง ขออภัยนะจ๊ะ
ผิดตรงไหนก็แก้ไขให้ด้วย หรือมีอะไรจะเสริมก็ยินดี เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องความรู้รอบตัว
อริยบุคคล ๗ อินทรีย์ ๕ และวิโมกข์ ๘
ยังมีการแบ่งพระอริยเจ้าโดยการพิจารณาการเข้าถึงมรรคผล การปฏิบัติธรรมอีก
จะขออนุญาตสรุปจากหนังสือพุทธธรรม (ปอ.ปยุตโต) ซึ่งเรียบเรียงมาดีแล้ว
แต่ฉันคัดลอกมาลำบากมาก เลยขอเล่าลัดๆให้อ่านแล้วกัน
การแบ่งพระอริยเจ้า เป็น อริยบุคคล ๗
พระอริยเจ้าที่แบ่งตามอินทรีย์ที่แก่กล้าเป็นตัวนำในการปฏิบัติและสัมพันธ์กับวิโมกข์ ๘
เรื่องอินทรีย์ ก็อินทรีย์ ๕ ไม่ขอกล่าวรายละเอียด
ความไม่สม่ำเสมอของอินทรีย์ของพระอริยเจ้าขณะเข้าถึงมรรคผล เป็นสิ่งที่แบ่งประเภทพระอริยเจ้า
ที่เด่นชัดในเรื่องนี้คือ สัทธินทรีย์ (ศรัทธา) สมาธินทรีย์ (สมาธิ) และปัญญินทรีย์ (ปัญญา)
ต่อมาวิโมกข์ ๘ เป็นเรื่องของสมาธิระดับฌานสมาบัติ มีกสิณกับอรูปฌานเป็นพระเอก
วิโมกข์ทั้ง ๘ ขอกล่าวสั้นๆว่า วิโมกข์ ๑-๓ เป็นเรื่องของรูปสมาบัติ
ส่วนวิโมกข์ ๔-๘ เป็นเรื่องของอรูปสมาบัติ-สัญญาเวทยิตนิโรธ
(รายละเอียดหาอ่านได้ไม่ยากนี่)
นักปฏิบัตินั้นเมื่อเริ่มปฏิบัติ จะเริ่มด้วย ศรัทธา หรือปัญญาก็ตามแต่ จากนั้นเจริญสมถภาวนาหรือสมาธิ
จนได้รูปฌานสมาบัติหรือวิโมกข์ ข้อ ๑-๓ แล้วไม่ไปต่อที่อรูปสมาบัติ (แปลว่าไม่ได้วิโมกข์)
กับนักปฏิบัติที่เรียนต่อจนจบอรูปสมาบัติหรือได้วิโมกข์ข้อที่เหลือ
สังเกตว่า เริ่มจากสอง คือ ศรัทธา หรือปัญญา
จากนั้นเจริญกรรมฐานต่อ จนได้วิโมกข์ หรือไม่ได้วิโมกข์ จนได้มรรคผลขั้นต้น พระเสขะ หรือ สอุปาทิเสสบุคคล
เรียกตามลักษณะต่างๆได้ดังนี้
๑ สัทธานุสารี ขณะบรรลุโสดาปัตติผล มีสัทธินทรีย์แรงกล้า อบรมอริยมรรคโดยมีศรัทธาเป็นตัวนำ
๒ ธัมมานุสารี ขณะบรรลุโสดาปัตติผล มีปัญญินทรีย์แรงกล้า อบรมอริยมรรคโดยมีปัญญาเป็นตัวนำ
๓ สัทธาวิมุตติ หลุดพ้นด้วยศรัทธา พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันปัตติผลจนถึงพระอรหันต์ที่ปฏิบัติโดยมีสัทธินทรีย์แรงกล้า
๔ ทิฏฐิปปัตตะ ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันปัตติผลจนถึงพระอรหันต์ที่ปฏิบัติโดยมีปัญญินทรีย์แรงกล้า
๕ กายสิกขี ผู้ที่ได้วิโมกข์ ๘ พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันปัตติผลจนถึงพระอรหันต์ที่ปฏิบัติโดยมีสมาธินทรีย์แรงกล้า
๖ ปัญญาวิมุตติ ผู้ที่ไม่ได้วิโมกข์ ๘ ปฏิบัติจนบรรลุอรหัตผลด้วยปัญญา
๗ อุภโตภาควิมุตติ ผู้ที่ได้วิโมกข์ ๘ ปฏิบัติจนบรรลุอรหัตผลด้วยปัญญา
ขอให้สังเกตว่า การแบ่งทั้ง ๗ อย่างนี้ เป็นการแบ่งโดยพิจารณาอินทรีย์และวิโมกข์ประกอบ
ข้อ ๑-๒ แบ่งตามการบรรลุพระโสดาบัน โดยมีความแรงกล้าทางอินทรีย์แบ่งเป็นสองอย่างคือ ศรัทธา กับ ปัญญา
ข้อ ๓-๔ แบ่งตามอินทรีย์ที่แรงกล้าหลังจากบรรลุพระโสดาบัน ปฏิบัติจนบรรลุพระอรหันต์โดยมีความแรงกล้าทางอินทรีย์
แบ่งเป็นสองอย่างคือ ศรัทธา กับ ปัญญา
ข้อ ๕ แบ่งตามอินทรีย์ที่แรงกล้าหลังจากบรรลุพระโสดาบัน
ปฏิบัติจนบรรลุพระอรหันต์โดยมีความแรงกล้าทางอินทรีย์ คือ สมาธิ
ข้อ ๖-๗ แบ่งพระอรหันต์เป็นสองอย่าง โดยใช้ได้กับไม่ได้วิโมกข์ ๘ เป็นสิ่งที่ใช้แบ่ง
และขออย่าได้คิดว่า ใช้อินทรีย์แค่อินทรีย์เดียวในการบรรลุมรรคผลนะจ๊ะ
เรื่องของพระปัญญาวิมุตติ มีการอธิบายเพิ่มอีกว่า นับผู้ปฏิบัติได้ฌานทั้งหมด ตั้งแต่ ๑-๔ เพียงแต่ไม่ได้อรูปฌานเท่านั้น
ส่วนอุภโตภาควิมุตติ นั้นแน่นอนว่าต้องได้อรูปสมาบัติด้วย
ทีนี้ก็มีการแบ่งตามคุณวิเศษอีก... คือเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน
๑ พระปัญญาวิมุต คือพระอรหันต์มุ่งเน้นวิปัสสนา โดยอาศัยกำลังสมถะเท่าที่จำเป็น คือ ฌาน ๑-๔
ไม่มีความสามารถพิเศษ เช่น อภิญญา ๕ หรือ เข้านิโรธสมาบัติไม่ได้เป็นต้น
แยกย่อยไปได้อีก คือ
๑.๑ พระสุกขวิปัสสก คือ ผู้ที่เจริญวิปัสสนาล้วน ได้สมาธิถึงฌานตอนที่บรรลุมรรคผล
๑.๒ พระปัญญาวิมุต คือ ผู้ที่ได้ฌาน ๑-๔ แล้วเจริญวิปัสสนาต่อจนบรรลุมรรคผล
๑.๓ พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ คือ ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔
๒ พระอุภโตภาควิมุตติ คือ พระอรหันต์ที่หลุดพ้นสองส่วน คือ หลุดพ้นรูปกายด้วยอรูปสมาบัติ
และหลุดพ้นจากนามกาย ด้วยอริยมรรค ก็แบ่งตามคุณวิเศษ
๒.๑ พระอุภโตภาควิมุต คือ พระอรหันต์ที่ได้ อรูปสมาบัติอย่างน้อยหนึ่งขั้น แต่ไม่ได้โลกียวิชชา โลกียอภิญญา
๒.๒ พระเตวิชชะ คือ พระอรหันต์ที่ได้วิชชา ๓ คือ ระลึกชาติได้ รู้การจุติและอุบัติของสัตว์ และอาสวักขยญาณ
๒.๓ พระฉฬภิญโญ คือ พระอรหันต์ที่ได้ อภิญญา ๖
๒.๔ พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ คือ ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔
รวมเป็นชุดเข้าด้วยกันได้ ๖ อย่าง
๑ พระสุกขวิปัสสก
๒ พระปัญญาวิมุต
๓ พระอุภโตภาควิมุต
๔ พระเตวิชชะ
๕ พระฉฬภิญโญ
๖ พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ
ยังมีการจัดเรียงแยกแยะที่ต่างออกไปอีก แต่คงไม่ค้นมาให้แล้ว เพราะคิดว่าเพียงเท่านี้ก็พอมองเห็นภาพแล้ว
ใครสนใจจะหันหัวเรือไปเป็นพระอริยเจ้าแบบไหนยังไง ก็แล้วแต่อัชฌาศัย ความประสงค์ ฉันทะของแต่ละคน
ฉันคงไม่สามารถจะไปแนะนำได้ว่าควรหรือไม่ควรอย่างไร
ใครต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ ก็ลองอ่านหนังสือ พุทธธรรมฉบับปรับขยายดูแล้วกันนะจ๊ะ (หาโหลดได้เยอะแยะตาแป๊ะไก่)
มีภาพประกอบให้เห็นชัดเจนมากกว่าที่ฉันเขียนมากนัก
ใครได้มรรคผลอะไรยังไงก็มาเล่าให้ฟังบ้างว่าจัดตัวเองอยู่ในซีรี่ส์ไหน
ปล.มีผิดพลาดตกหล่นไปบ้าง ขออภัยนะจ๊ะ
ผิดตรงไหนก็แก้ไขให้ด้วย หรือมีอะไรจะเสริมก็ยินดี เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องความรู้รอบตัว