ฟ้าลิขิต (Intern แห่งสยามประเทศ)…Ep. 6 สุภาษิตสอนหญิง

ฟ้าลิขิต (Intern แห่งสยามประเทศ)…บทที่ 6 สุภาษิตสอนหญิง
นามปากกา บุญรอด

“อีลำดวนมันทำอะไรพ่อรึ?” แม่นายหญิงอุ่นเรือนโพล่งถามแสนฤทธิ์
“มันผลักหลานล้มหัวคะมำ ศีรษะเกือบแตกนะขอรับ!” แสนฤทธิ์ร่ายยาวด้นสด แถมใส่สีตีไข่ลงไปเพิ่มดีกรีความดราม่าให้แซ่บยิ่งขึ้นอีก “ต่อมาก็จับหลานโยนออกจากห้องหอแถมทั้งผลักทั้งถีบ เรื่องนี้พ่อเฒ่าเหมก็เห็นกับตาด้วยนะขอรับ ถ้าท่านลุงกับท่านป้าไม่เชื่อ ก็ถามพ่อเฒ่าเหมดูได้!”
ท่านขุนร้อง “ฮึ!” ออกมาหนักหน่วงทีหนึ่ง หน้านิ่วคิ้วขมวดบึ้งตึง
แสนฤทธิ์เบือนหลบหน้าไปเล็กน้อย แอบหัวเราะอย่างผู้มีชัย ดำเนินการแต่งเติมเพิ่มผงชูรสให้ดีกรีความดราม่าทวีคูณขึ้นกว่าเดิมอีก

“หลานสำนึกถึงความรักความเอ็นดู และความมุ่งหวังปรารถนาดีของท่านลุง หลานเลยระงับอารมณ์ขุ่นเคืองที่จะไม่โต้ตอบ แล้วตัดสินใจหลบมายังห้องหนังสือ หันหน้ามามุมานะอ่านหนังสือ ด้วยความมุ่งหวังของท่านลุงที่อยากให้หลานมีงานการทำที่มั่นคงและประสบความสำเร็จ หลานเลยหลบมามั่งมั่นเพื่อจะสานฝันให้ท่านลุงท่านป้าได้ชื่นใจ  หลังจากถูกไล่ตะเพิดออกจากห้องหอแม้จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาของตนเองอยู่บ้าง แต่พอนึกถึงพระคุณของท่าลุงท่านป้า หลานก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ ตำราต่างๆในห้องหนังสือ แต่พออ่านไปได้สักพักท้องไส้ก็ร้องดังจ๊อกๆ ด้วยความหิวเล็กน้อย”  พูดไปพร้อมตีสีหน้าหงอยๆ มือหนึ่งก็ลูบท้องตัวเองไปพลางๆเป็นการประกอบฉากการแสดงให้สมจริงถึงพริกถึงขิง ยังไม่พอเท่านั้น เขายังเพิ่มดีกรีความร้อนระอุของฉากดราม่านี้ให้ร้อนแรงเช่นการสาดน้ำมันเข้าไปในกองเชื้อเพลิง ไปอีกว่า “เห็นว่าค่ำมืดดึกดื่นแล้ว พ่อเฒ่าเหมก็แก่จนตาฝ้าฟาง เดินเห็นในที่มืดก็คงจะไม่สะดวก หลานจึงขอให้ลำดวนไปที่ห้องครัวนำอาหารมาเติมท้องสักเล็กน้อยจะได้หายหิวลงบ้าง คิดไม่ถึงว่านางบอกว่า นางเป็นเพียงบ่าวของแม่หญิงปานเดือน หาใช่บ่าวของกระผม ถ้าหากอยากรับประทานก็ให้คลานไปที่ห้องครัว หากับข้าวเหลือจากบ่าวไพร่และข้าวติดกินหม้อรับประทานเอง!”
บัดนี้ท่านขุนทนฟังต่อไปไม่ไหว ตบโต๊ะไปฉาดหนึ่ง “สารเลว”

แสนฤทธิ์ยกมือขึ้นมาเช็ดเบ้าตาที่แห้งผากปราศจากน้ำตาทั้งสองข้าง สูดจมูกบีบเสียงให้สั่นเครือ กล่าวว่า “ท่านลุงท่านป้า หลาน…หลานรู้ตัวดีว่าชาตินี้คงไร้วาสนาไม่คู่ควรกับน้องหญิงปานเดือน วันนี้…วันนี้หลานได้รับความอัปยศอดสู น่าอับอายเป็นยิ่งนัก ต่อไปคงไม่มีหน้าจะอยู่ที่นี่อีกต่อไปได้แล้ว หลานจึงมาขอกราบแทบเท้าท่านลุงท่านป้าขอลาจากไป หลานซาบซึ้งในพระคุณของพวกท่านมาโดยตลอด…หลานไปละ!”
ลีลาเสแสร้งแกล้งถอยเพื่อรอจังหวะรุกฆาตของแสนฤทธิ์ ดูช่างร้ายกาจ สมจริงตีบทแตกกระจุยกระจาย ชนิดที่เรียกได้ว่า นักแสดงยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์มาประชันบทกับเขายังต้องชิดซ้าย โดนกลบโดนแย่งซีนเป็นแน่

ท่านขุนเรืองทรัพย์ รู้ดีว่าถ้าหากแสนฤทธิ์อำลาจากไปในคืนวันส่งตัวเข้าห้องหอ ทั้งยังเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในคุ้มเรือนนี้ออกไปโพนทะนาออกไป ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สู้จะดีงามต่อคุ้มเรือนและหน้าตาทางสังคมของท่านขุนนัก ยิ่งไปกว่านั้นเกรงว่าแม้แต่เรื่องของบุตรสาวของตนก็จะต้องถูกครหาตราหน้าโจษจันยันลูกหลาน ประวัติศาสตร์อาจจะจารึกว่าเป็นแบบอย่างของแม่หญิงที่ทำเรื่องงามหน้า กระด้างกระเดื่องต่อสามี ไล่ตะเพิดจนสามีต้องระเห็ดระเหหนีออกจากห้องหอในคืนแรกของวันวิวาห์

ขุนเรืองทรัพย์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ยึดถือสัจจะและคุณธรรมเหนือสิ่งอื่นใด เขายกบุตรสาวให้ตบแต่งกับหนุ่มเจ้าสำราญแมนฤทธิ์ก็เพื่อคำว่าสัจจะ คอยประคับประคองช่วยเหลือบุตรชายของสหายเก่าที่ได้ร่วมสาบานกันเป็นพี่น้องมาตั้งแต่ครั้งตกทุกข์ได้ยากมาด้วยกันนั่นก็เพื่อคำว่าคุณธรรม แล้วยังจะให้บุตรสาวของตนเองมาทำลายสิ่งที่ยึดมั่นทั้งสองสิ่งนี้มาตลอดให้มลายหายสิ้นลงไปได้อย่างไร

ตอนนี้พอเขาได้ฟังแสนฤทธิ์เรียกขานสรรพนามตนและภรรยาว่า ท่านลุงท่านป้า เรียกขานตัวเองว่า หลาน ย่อมเห็นได้ชัดว่าเขาคิดจะไม่ยอมรับในการแต่งงานครั้งนี้แล้ว ท่านขุนคิดเช่นนั้นถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว ทั้งละอายและร้อนใจ ตบโต๊ะอย่างแรงไปฉาดหนึ่งเสียงดัง “ปัง” จนถ้วยน้ำชาชุดเบญจรงค์ และสำรับเชี่ยนหมากพลูบนโต๊ะกระเด้งกระดอนไปด้วย  ท่านขุนตะเบ็งเสียงเรียงบ่าวไพร่ออกมาว่า “บ่าวไพร่ผู้ใด ที่อยู่ข้างนอก เข้ามานี่เดี่ยวนี้!”

บ่าวรับใช้สองนายที่อยู่นอกประตูรีบสิ่งเข้ามา นั่งก้มน้อมกราบด้วยความเคารพแกมเกรงกลัว
“ไป! ไปตามแม่หญิงปานเดือนกับอีลำดวน มายังเรือนข้า! ถ้าพวกนางกล้าที่จะขัดคำสั่งข้า...พวกเจ้าก็จงจับมัดมาให้ข้าได้ทันที!” ท่านขันตบโต๊ะตวาดเสียงลั่นอีกครั้ง  บ่าวทั้งสองรับคำสั่งแล้วต่างก็รีบวิ่งออกไปจากเรือนใหญ่

แม่นายหญิงอุ่นเรือน เห็นสีหน้าเคร่งเครียดด้วยบันดาลโทสะของสามี ก็นึกเป็นห่วงแทนบุตรสาว พยายามฉีกยิ้มแล้วกล่าวว่า “พี่ขุน ใจเย็นๆก็ได้จะเจ้าคะ มีอะไรค่อยๆพูดค่อยๆเจรจากัน อย่าบันดาลโทสะใส่ลูกเลยนะเจ้าคะพี่ขุน”

“ฮึ! ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะแม่อุ่นเรือนที่คอยให้ท้ายนั่นแหละ ถ้ามิใช่เพราะแม่อุ่นเรือนคอยหนุนหลังนังเด็กสองคนนี้ ใยพวกนางจะอาจหาญชาญชัยถึงขนาดนี้?” ท่านขุนยิ่งพูดยิ่งโมโห ลุกพรวดขึ้นยืนแล้วเดินวนไปวนมาสองสามรอบ แล้วตะเบ็งเสียงบอกบ่าวไพร่ว่า “เร็ว พวกเจ้าไปหยิบแส้หวายมา! ลูกสาวอกตัญญูเยี่ยงนี้ข้าต้องลงหวายให้เข็ดหลาบ”

บ่าวรับใช้ที่อยู่หน้าประตูเรือน รีบรับคำแล้ววิ่งออกไป เพราะรู้ว่าท่านขุนกำลังโกรธจัดเป็นฟืนเป็นไฟไม่กล้าที่จะปฏิเสธหรือกล่าวทัดทานขอร้องใดๆได้

แม่นายหญิงเองก็กลัวจนสีหน้าถอดสี จะปลอบก็ไม่กล้าปลอบ จะปรามก็ไม่กล้าปราม จะขวางก็ไม่กล้าขวาง เพราะนางก็ไม่เคยเห็นท่านขุนโกรธจัดขนาดนี้มาก่อน
สักครู่ก็พูดแทรกขึ้นมาเพื่อพลิกผันสถานการณ์ที่กำลังตึงเครียดไปด้วยโทสะของท่านขุน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆเย็นๆว่า “ท่านลุงได้โปรดระงับโทสะลงเถิดขอรับ ความผิดทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้เกิดแต่เพียงน้องหญิงปานเดือนแต่เพียงผู้เดียว หากแต่ต้นสายปลายเหตุมันเกิดจากตัวหลานเอง หลานไม่ดีเองที่ไม่เอาถ่านไม่ไหน ไม่สนใจกิจการงานการต่างๆที่ท่านลุงคอยสั่งสอนมาตลอด หนำซ้ำยังทำตัวเจ้าสำราญจนเป็นน่ารังเกียจแก่น้องหญิงปานเดือนและบ่าวไพร่ ถ้าท่านลุงจะลงโทษน้องปานเดือนก็จงได้โปรดลงโทษหลานผู้ไม่รักดีคนนี้ก่อนเสียเถิด”

ท่านขุน พอได้ยินเช่นนั้นก็เหมือนจะเรียกสติกลับมาได้ จริงๆต้นสายปลายเหตุก็ไม่ได้มาจากบุตรสาวของตนเสียทั้งหมด หากแต่ยังมรส่วนเกี่ยวข้องกับลูกเขยคนนี้อยู่ไม่น้อย ได้ยินเช่นนั้น เขาถึงกับถอนหายใจทีหนึ่ง แล้วหย่อนตัวนั่งลงเหมือนสติและอารมณ์ที่เริ่มจะสงบเย็นลงบ้าง
แม่นายหญิง ได้จังหวะที่เห็นสามีพอจะสงบเย็นลง จึงพูดเสริมขึ้นมาว่า “พี่ขุน จะดีจะชั่ว ยังไงๆลูกก็คือลูก ปานเดือนมันก็เป็นหญิง ถ้าพี่ขุนจะลงแส้ลงหวายอีชั้นก็เกรงว่าลูกสาวเราจะทนรับความเจ็บปวดไม่ได้ แล้วคนที่จะเจ็บไปกว่าลูกเรา ก็คงจะไม่แคล้วอีชั้นและพี่ขุนนะเจ้าคะ” ท่านขุนพยักหน้าเชิงตอบรับอย่างมีสติมากขึ้น

ไม่นานนักปานเดือนและลำดวน ก็ถูกนำตัวขึ้นมาบนเรือนใหญ่ พอก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาก็เห็นแสนฤทธิ์ นั่งเชิดหน้าอยู่ข้างๆแคร่ไม้สักของผู้เป็นพ่อและแม่ของตน มุมปากมีรอยยิ้มยะเยือกปรายตามายังตนเชิงบอกอย่างได้แต้ม ตนและลำดวนหันมองสบตากันพลันคิดในใจว่าแย่แล้ว ความซวยบรรลัยมาเยือนพวกเราแล้ว ยิ่งพอได้เห็นสีหน้าของผู้เป็นพ่อที่เกร็งเขม็งตึงเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยไฟแห่งโทสะที่กำลังคุกรุ่นอยู่ภายในใจ นางทั้งสองยิ่งประหวั่นพรั่นพรึง พอเห็นมาเห็นสีหน้าของผู้เป็นแม่ ยิ่งประจักษ์ชัดแจ้งแล้วว่าเต็มไปด้วยความกระวนกระวายเป็นห่วงหาอาวรณ์ในตนยิ่งทำให้จิตของไม่สู้ดี ไม่รู้ว่าแสนฤทธิ์ได้พูดกล่าวเรื่องไม่ดีไม่งามอะไรไว้บ้าง  ตนได้แต่เพียงสำรวมอากัปกิริยามานั่งพับเพียบตรงข้ามประจันหน้ากับแสนฤทธิ์

เมื่อก่อนนี้แสนฤทธิ์รู้จักแต่เรื่องเที่ยวเตร่ สำเริงสำราญ หาแต่เรื่องกินสนุกสนานใส่ตัว เห็นปานเดือนครั้งใดก็เหมือนกับหนูเห็นแมว ต้องรีบลนลานหลีบหลีกไปให้ห่าง แต่วันนี้คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีความกล้าวิ่งนั่งเชิดหน้าชูคอฟ้องอะไรสักอย่างกับพ่อของตนเองเป็นแน่ๆ

ท่านขุนหันไปชำเรืองมองดูลูกสาว แล้วถามอย่างเสียงหนักว่า “ปานเดือน แต่ไหนแต่ไรมา พ่อเคยพร่ำสอนเจ้าถึงเรือนการออกเรือนเป็นแม่ศรีเรือนนั้น เจ้ายังพอจะจำเนื้อความของของโอวาท 10 ประมาณในการเป็นแม่ศรีเรือน ได้ขึ้นใจอยู่ไหม?”
“ทุกอย่างที่เจ้าคุณพ่อพร่ำสอนมานั้น ลูกจำได้ดีเจ้าคะ”
“เจ้าลองทบทวนถ้อยแถลง โอวาททั้ง 10 ข้อนั้นให้พ่อได้ฟังชัดๆอีกทีซิ”
“ ไฟในอย่านำออก , ไฟนอกอย่านำเข้า  , พึงให้แก่คนที่ให้ , พึงอย่าให้แก่คนที่ไม่ให้ , พึงให้แก่คนที่ให้และไม่ให้ , พึงนั่งให้เป็นสุข  , พึงนอนให้เป็นสุข , พึงกินให้เป็นสุข , พึงบูชาไฟ และพึงบูชาเทวดา”
“เจ้าเข้าใจใช่ไหม ว่าพึงบูชาไฟ คืออะไร พึงบูชาเทวดา คืออะไร?”
“บูชาไฟ หมายถึง การให้ความเคารพยำเกรงต่อสามี พ่อ แม่ ตลอดจนญาติผู้ใหญ่ ส่วนบูชาเทวดา ส่วนบูชาเทวดา นั้นหมายถึงการให้ความนับถือต่อสามี บิดา มารดาและบรรพบุรุษ เจ้าคะ”
“แล้วเจ้ารู้ใช่ไหม เหตุใดพ่อถึงต้องเรียกเจ้าขึ้นมาพบปะพร้อมกันบนเรือนใหญ่ในยามวิกาลเช่นนี้”
“ลูก...”
“เจ้าไล่พ่อแสนฤทธิ์ออกจากห้องหอไม่ให้เขาเข้าไปนอนในห้องใช่หรือไม่?”

ใบหน้าอันนวลเนียนของนางมีอันต้องซีดเผือกลงทันครันด้วยเรื่องนี้ยากที่จะปฏิเสธได้ แต่ก็ยังไมม่กล้าที่จะยอมรับ ด้วยเกรงตัวต่อบทลงโทษที่นางรู้ว่าจะได้รับผลเป็นเช่นไรนางรู้แก่ใจดีว่าผู้เป็นพ่อนั้นยึดมั่นในสัจจะและคุณธรรมยิ่งนัก ถ้ารู้ว่าตนเองยอมถูกคลุมถุงชนแต่งตามคำสั่งแต่พอลับหลังกลับทำกระด้างกระเดื่องบิดพลิ้ว พ่อต้องโมโหโกรธเกรี้ยวเป็นการใหญ่แน่ๆ

แม่นายหญิงอุ่นเรือนเห็นลูกสาวไม่พูดไม่จา เรื่องนี้ดูท่าจะเป็นความจริงอย่างมิต้องสงสัย จึงรีบกล่าวเตือนลูกสาวเสียงเบาๆว่า “แม่ปานเดือนลูกแม่ ผิดถูกอย่างไรก็ขอให้เจ้ากราบขอขมาพ่อและสามีของเจ้าเร็วเถิด”
ปานเดือนรู้สำนึกในความผิดของตน จึงนั่งพับเพียบก้มกราบต่อหน้าพ่อและสามีลงอย่างช้าๆ จะกล่าวคำขอโทษก็ระล่ำระลักไม่เอ่ยปากกล่าวออกมา ในสมองสับสนอยู่ไม่น้อย สิ่งที่พรั่งพรูออกมาในตอนนั้นคงมีเพียงแต่น้ำตาที่หลังไหลออกมานองสองแก้ม ลำดวนเป็นแม่นายน้อยหมอบก้มกราบลงนางก็รีบก้มกราบทำตามเช่นกัน

ท่านขุนเห็นลูกสาวไม่แก้ต่างใดๆ ทั้งยังไม่ยอมเอ่ยปากกล่าวคำขอขมาใดๆ ก็พูดเสียงหนักแข็งขึ้นมา
“จองหอง ยโสยิ่งหนัก แม่ลูกสาวคนนี้ ทำผิดแล้วยังปากแข็ง ไม่ยอมเอ่ยกล่าวอันใดออกมา พ่อไม่เคยสอนเจ้าเช่นนี้เลยนะ”
ท่านขุน หันหน้าไปสั่งบ่าวไพร่ “แส้ แส้หวายเล่า! ถ้ามันผู้ใดยังไม่เอาแส้มาอีก ข้าจะลงโทษให้หมดเสียทุกคน!”

บ่าวไพร่ที่ถูกเรียกให้ไปเอาแส้หวายมาเมื่อครู่นี้ ตลอดเวลาได้แต่ยืนถือแส้หวายอยู่ที่หน้าประตูเรือน ตัดสินใจไม่ตกว่าจะทำเช่นไรดี พอได้ยินเสียงคำสั่งที่ดุดันของท่านขุน ก็รู้ดีว่ายังไงๆก็ขัดคำสั่งไม่ได้ ถ้ายังขืนไม่เข้าไปอีกแม้กระทั่งตนเองก็คงต้องโดนเฆี่ยนโบยไปด้วย จึงรีบวิ่งเข้ามานั่งน้อมตัวยื่นมอบส่งแส้หวายให้ท่านขุน

ท่านขุนสะบัดแส้ให้เสียงดังแหวกกลางอากาศเสียงดังเฟี้ยวทีหนึ่งเหนือศีรษะของปานเดือนและลำดวนที่ได้แต่มอบก้มหน้าร่ำไห้ร่างสั่นเทาไปสรรพางค์กาย

“บัดนี้พ่อจักต้องทำโทษแก่เจ้า แต่หาใช่ด้วยความบันดาลโทสะ หากแต่ลงโทษเจ้าด้วยเหตุและผล พ่อเคยสอนเจ้ามาตลอด หลักของการครองเรือน การเป็นแม่ศรีเรือนที่ดี โวหารสุภาษิตสอนหญิง ของท่านสุนทรภู่ พ่อก็เคยพร่ำสอนให้เจ้าได้อ่าน ได้จำให้เข้าใจ แต่เจ้าหารักดีไม่”
ปานเดือน ร่ำไห้สะอึกสะอื้น เอ่ยกล่าวถ่อยคำวาจาจาก บทโวหารสุภาษิตสอนหญิง ท่อนหนึ่งที่ท่านขุนเคยพร่ำสอนให้นางท่องจดจำจนขึ้นใจ ว่า

“แม้นเขารักแล้วอย่าดื้อทำถือจิต เร่งเกรงผิดกลัวใจใหญ่มหันต์
คำนับนอบสามีทุกวี่วัน อย่าดุดันดื้อดึงตะบึงบอน
ยามสิ้นแสงสุริยาอย่าไปไหน จุดไต้ไฟเข้าไปส่องในห้องก่อน
ระวังดูปูปัดสลัดที่นอน ทั้งฟูกหมอนอย่าให้มีธุลีลง ฯลฯ”

“ในเมื่อเจ้าก็จำได้หมายรู้อยู่แก่ใจ แต่เจ้ายังไม่ประพฤติปฏิบัติตามคำบอกคำสอนอันดีงามควรจะทำ พ่อจำต้องลงแส้ทำโทษเจ้า พร้อมกับอีลำดวน พ่อหวังว่าเจ้าคงจะรับรู้และเข้าใจในเหตุผลนี้”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่