ฟ้าลิขิต (Intern แห่งสยามประเทศ)...Ep.7 ร่วมห้องร่วมหอ

บทที่ 7 ร่วมห้องร่วมหอ

นามปากกา บุญรอด

ช่วงเวลาชุลมุนนั้น แสนฤทธิ์กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่อาจกล่าวโทษปานเดือนแต่เพียงผู้เดียวได้ ทั้งหมดเป็นความคิดของลำดวน”
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ…” ลำดวนเผลอแก้ตัวไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าไม่อาจแก้ตัวเช่นนี้ได้ ถึงแม้ความจริงแล้วจะเป็นความคิดแม่หญิงปานเดือนก็จริง ตนเพียงแค่ทำตามคำสั่งนาย อย่างไรเสียตนก็คงจะโยนความผิดให้ผู้เป็นนายไม่ได้ นอกเสียจากว่าตนคิดคดทรยศไม่อยากอยู่ในคุ้มเรือนแห่งนี้ต่อไปอีกแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่หมอบก้มกราบร้องห่มร้องไห้ออกมาว่า “เรื่องนี้เป็น…เป็นความคิดของบ่าวเองเจ้าคะ ไม่เกี่ยวกับแม่หญิงปานเดือน”

ปานเดือนก็ได้เลือดพ่อมาไม่น้อย นางจึงเป็นคนที่ยึดถือคุณธรรมและน้ำใจเป็นที่ตั้ง ยืดอกเชิดหน้าลุกขึ้นกล่าวว่า “เจ้าคุณพ่อ เรื่องนี้เป็นความคิดของลูกเองทั้งหมด ลำดวนเพียงแค่ทำตามคำสั่งของลูกเท่านั้นเจ้าคะ”
ท่านขุนเรืองทรัพย์ตวาดว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว ความผิดมันสำเร็จไปแล้ว ข้าจะลงโทษพวกเจ้าทั้งสองคน ข้าจะโบยนางบ่าวที่ไม่รู้จักที่ตำที่สูงก่อน จากนั้นค่อยโบยเฆี่ยนทำโทษเจ้า!”  สิ้นคำก็ยกแส้หวายหมายจะสะบัดฟาดลงไปกลางหลังลำดวน

แสนฤทธิ์ รีบร้องทัดทานว่า “หยุดก่อน! ท่านพ่อตา โปรดหยุดก่อนเถิดขอรับ”
อันที่จริงท่านขุนก็กำลังรอฟังคำพูดประโยคนี้จากแสนฤทธิ์ พอได้ยินเขาเอ่ยปากเรียกตนว่า พ่อตา อย่างเต็มปากก็แอบกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ คิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ถึงแม้จะอับด้อยสติปัญญาและไหวพริบ แต่ก็ยังพอมีน้ำใจอยู่บ้างแสดงว่าเขายังยอมรับในการแต่งงานครั้งนี้ อารมณ์จึงชะงัก จิตใจถึงเย็นสงบลงไปมาก แต่ก็แสร้งพูดออกมาว่า “พ่อลูกเขย เจ้าไม่ต้องมาขอความเมตตาให้กับพวกนางหรอก พวกนางทำเรื่องที่ขัดต่อจารีตประเพณีเสียขนาดนี้ ถ้าข้าไม่อบรมสั่งสอนบ้าง ภายภาคหน้าพวกนางยิ่งจะได้ใจกับไปใหญ่”

แสนฤทธิ์เห็นสองสาวร่ำไห้หวาดกลัวตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัวแล้วจึงหายโกรธ แอบคิดในใจว่า หญิงงามปานดวงจันทร์เช่นนี้ หากต้องถูกโบยเฆี่ยนตีจนเนื้อตัวแตกฟกช้ำคงไม่งามตาแน่ๆ หญิงงามเช่นนี้ควรมีไว้ทะนุถนอม ไม่ได้มีไว้สำหรับเฆี่ยนตี

แสนฤทธิ์ ยกมือขึ้นปรามท่านขุนแล้วกล่าวว่า “ขอท่านพ่อตาโปรดเห็นแก่ลูกเขยผู้นี้ ขอความเมตตาได้โปรดยกโทษแต่พวกนางด้วยเถิดขอรับ”
แม่นายหญิงอุ่นเรือนได้ยินแสนฤทธิ์กล่าวออกมาเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจแกมตื้นตันใจ เพราะขนาดตนเองยังไม่สามารถร้องขอทัดทานได้ แต่ลูกเขยคนนี้ที่ตนไม่ค่อยจะชอบน้ำหน้าสักเท่าไร รีบกล่าวเสริมว่า “พี่ขุน ลูกเขยก็เอ่ยปากขอแล้ว พี่ขุนได้โปรดยกโทษให้พวกนางทั้งสองเถิด”

ท่านขุนได้ทีช่วงเวลาขณะนี้หาที่ลงเอยของเรื่องชุลมุนครั้งนี้ได้ โยนแส้หวายทิ้งกับพื้น ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง “เฮ้อ! ไม่คิดว่าข้าจะได้ให้กำเนิดบุตรีที่ประพฤติตัวได้งามเมืองงามหน้าเยี่ยงนี้ได้อย่างไร!” จากนั้นก็ค่อยๆหย่อนตัวลงนั่ง พูดกับปานเดือนว่า “แม่เดือน พ่อเห็นแก่เจ้าทำผิดเป็นครั้งแรก แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าไม่เคยทำผิดจนต้องให้พ่อถือโทษลงทัณฑ์เจ้ามาก่อน ต่อไปถ้าเจ้าทำอะไรที่ผิดต่อจารีตอันดีงามที่ศรีเรือนพึงควรมี หากรังรังแกพ่อแสนให้ได้รับความอับอายอีก พ่อก็คงต้องลงโทษเจ้า!  เจ้าเข้าใจนะ”
ปานเดือนหมอบก้มกราบพร้อมร่ำไห้อย่างกล้ำกลืน สะอึกสะอื้น พยักหน้าตอบรับว่า “ลูก…ลูกทราบแก่ใจแล้วเจ้าคะ”

ท่านขุนยกมือชี้ไปทางลำดวน “อีนางลำดวน วันหลังถ้าหากข้ารับรู้ว่าเจ้าปฏิบัติต่อผู้เป็นนายด้วยความไม่เคารพ ข้าจะโบยเจ้าในหลังลาย! ได้ยินชัดไหม?”
ลำดวนตอบรับด้วยเสียงสั่นเทาว่า “เรียนท่านเจ้าคุณ บ่าว…บ่าวได้ยินชัดแล้วเจ้าคะ”
“อย่างนั้นก็ดี!” ท่านขุนปรายตามองแสนฤทธิ์ทีหนึ่ง เห็นเขามองไปยังปานเดือนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสงสาร ก็โล่งใจ คิดในใจว่าลูกเขยคนนี้ถึงแม้บุคลิกนิสัยจะไม่ค่อยดีเท่าไร แต่พอได้เห็นแววตาที่เปี่ยมด้วยความเอื้ออาทรสงสารเห็นอกเห็นใจต่อผู้เป็นเมีย ก็นับว่าเขายังเป็นเด็กที่พอจะอบรมขัดเกลาได้ พยักหน้าเบาๆไปหนึ่งทีแล้วกล่าวว่า “เอาละ พวกเจ้าทั้งหมดลุกขึ้นได้ ดึกมากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนนอนหลับเถอะ”

ลำดวนรีบลุกขึ้นขึ้นไปประคองปานเดือนขึ้นมา  ปานเดือนล้วงผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บได้เข็มขัดคาดเอวออกมาแตะซับน้ำตา ก้มหน้าพูดกับแสนฤทธิ์ด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า “พี่แสนฤทธิ์ กลับเข้าห้องนอนกันเถอะ”
แสนฤทธิ์ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจยิ่ง พยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม พร้อมเบี่ยงตัวหลีกทางให้อย่างสุภาพบุรุษ “เชิญจ๊ะ เชิญเมียจ๋า!”
ปานเดือนรีบกล่าวว่า “พี่แสนฤทธิ์ เชิญท่านเดินนำทางก่อน”
แสนฤทธิ์เข้าใจดีว่าต่อหน้าพ่อของนาง ปานเดือนคงไม่กล้าออกเดินนำหน้าเขาผู้เป็นสามี จึงหันไปไหว้ลาท่านขุนและแม่นาย “ท่านพ่อตา ท่านแม่นาย กระผมขอตัวนะขอรับ”
ท่านขุนผงกศีรษะ กล่าวว่า “พ่อแสนฤทธิ์ พรุ่งนี้เช้าให้เจ้าไปที่ห้องหนังสือนะ พ่อมีเรื่องจะปรึกษาด้วย”

แสนฤทธิ์ยังไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาขบคิดว่าเป็นเรื่องราวอะไรที่พ่อตาเรียกนัดหมายไปปรึกษาด้วย ตอนนี้ในสมองของเขาหมายมั่นคิดแต่จะรีบร่วมหออย่างเดียว ฮ่าๆ แอบกระหยิ่มในใจปรายตามองปานเดือนที่สวยหยาดฟ้ามาดิน นึกถึงว่าอีกสักเดี๋ยวก็จะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับนางแล้ว อารมณ์เช่นนี้ไม่ต่างกับปลากระดี่ได้น้ำ อดที่จะเบิกบานใจไม่ได้ เขายื่นมือออกไปดึงมือปานเดือน หมายจะเกี่ยวก้อยกุมมือเดินเคียงข้างกัน พูดชวนอย่างเบิกบานใจว่า “เมียจ๋า พวกเราไปกันเถอะ”

มือเรียวงามบอบบาง อ่อนนุ่มของปานเดือนถูกมือของแสนฤทธิ์เกาะกุมไว้แน่นถึงกับสั่นเล็กน้อย แต่นางก็ไม่สามารถจะสะบัดทิ้งไม่ได้ เพราะยังคงอยู่ในสายตาของผู้เป็นพ่อ จึงได้แต่ปล่อยให้เขาฉวยโอกาสไว้เช่นนี้ ก้มหน้าเดินตามออกนอกประตูโดยมีลำดวนเดินตามอยู่ด้านหลัง

พ่อเฒ่าเหมที่ยืนถือตะเกียงเฝ้าคอยรับใช้อยู่หน้าประตูอยู่ตลอดเวลา คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นพ่อนายของตนเดินจูงมือภรรยาออกมาอย่างสนิทสนมกระทบไหล่ น้ำตาบ่าวเฒ่าแทบจะพรั่งพรูออกมาด้วยความปลื้มปริ่มดีใจ รีบยกชูตะเกียงไฟเดินนำส่องทางอยู่ด้านข้าง
ระหว่างทางแสนฤทธิ์พูดเอ่ยขึ้นว่า “เมียจ๋า ที่จริงแล้วเข้าเข้าใจข้าผิดนะ จริงๆแล้วข้าไม่ใช่คนอย่างนั้นเลยนะ ข้าจะทุ่มเททุกอย่างให้เจ้า จะรักเดียวใจเดียว จะปฏิบัติต่อเจ้า…”
“ไม่จำเป็น! ท่านเป็นคนเช่นไร ท่านกับข้าต่างรู้ดีแก่ใจ” ปานเดือนปรายหางตามองแสนฤทธิ์ พร้อมออกแรงสะบัดมือของตนเองออกจากมือของเขา พูดอย่างน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าคาดไม่ถึงเลยจริงๆว่า ท่านจะมีความกล้าวิ่งไปฟ้องข้าต่อหน้าพ่อ เห็นทีข้าจะประเมินท่านต่ำเกินไป”
แสนฤทธิ์ยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “เมียจ๋า ที่เจ้าประเมินข้าว่าต่ำเกินไปนั้น ยังมีอีกหลายเรื่อง เดี๋ยววันหน้าเจ้าจะค่อยๆรู้เอง”
“อ้อ! วันนี้ท่านร้ายกาจยังไม่พออีกใช่ไหม ขนาดเกือบทำให้พวกข้าถูกโบยตี นี่ท่านยังไม่สาแก่ใจอีกหรือ? ยังมีพิษสงอะไรร้ายกาจอีก ก็สำแดงออกมาให้เต็มที่เลยนะ”
“ข้าเลวร้ายอย่างนั้นที่ไหน…”
ปานเดือนพูดขัดขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “ใช่แล้ว ท่านไม่เลวร้ายอันใดเลย คนที่เลวร้ายยังต้องพอมีความรู้ความสามารถอยู่บ้าง แต่ท่านมันจัดเป็นคนประเภท คนขี้ขลาดตาขาวไร้ความสามารถเท่านั้น”
แสนฤทธิ์ยิ้มอย่างชื่นชม เห็นทีพ่อนายที่เขาสวมร่างแทนอยู่นี้ ในสายตาของปานเดือนคงเลวทรามหาชิ้นดีไม่ได้ ถ้าจะคิดจะปรับทัศนคติของนางที่มีต่อเขา คงต้องพยายามอย่างหนักและต่อเนื่องอย่างไม่ลดละแน่ๆ ระหว่างที่โต้ตอบกันอยู่นั้นก็เดินมาถึงหน้าเรือนหอ

แสนฤทธิ์ชิงก้าวขึ้นบันไดเรือนไปก่อน พอเดินมาถึงหน้าประตูห้องหอก็พันกลับมายิ้มกะหลีกกะหลอ ถามว่า “เมียจ๋า!  ครั้งนี้ข้าเข้าไปในห้องหอได้ไหม?”
ปานเดือนร้อง “ฮึ!” ออกมาทีหนึ่ง ผลักบานประตูก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปข้างใน ลำดวนก็เดินตามเข้าไปด้วย แต่นางบ่าวก็อดไม่ได้ที่จะตอกกลับออกไปทีหนึ่งว่า “ท่านเข้ามาก็เท่านั้น อย่าได้คิดหวังอย่างอื่นไป!”

เมื่อครู่นี้พึ่งถูกท่านขุนปรามเตือน แต่ลับหลังไม่ทันไรนางบ่าวคนนี้ก็ยังกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับเขาอีก นางช่างกล้าหาญชาญชัยเหลือเกิน แสดงให้เห็นได้ชัดว่านายบ่าวสองนางนี้ดูถูกหยามหมิ่นแสนฤทธิ์คนเดิมถึงขนาดไหน
ขอเพียงแต่นางบ่าวลำดวนไม่ทำอะไรเกินเลยไป แสนฤทธิ์ก็หาได้ใส่ใจ ไม่คิดจะไปฟ้องอะไรอีก เพราะการที่ผู้ชายชอบเอ่ยปากขี้ฟ้องนั้นเป็นการกระทำที่แสดงถึงการไร้ความสารถและมิใช่สุภาพบุรุษ ต่อไปคงคิดเพียงแค่หยอกล้อหยอกเอินแม่หญิงและนางบ่าวเพื่อความบันเทิงแก้เซ็งก็พอแล้ว ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องหอ เขาจึงตัดสินใจโยกย้ายก้นมานั่งลงบนเตียงวิวาห์ พลางสั่งปนหัวร่อออกมา “ลำดวน รีบไปยกเอาผ้าและถาดน้ำเย็นๆมาให้ข้าล้างหน้าบ้วนปาก ข้าจะนอนร่วมหอกับเมียจ๋าของข้า ฮ่าๆ เสร็จธุระแล้วเจ้าก็ออกไปนอนในเรือนบ่าวโน้นเลยนะ”

ลำดวนถลึงตาใส่แสนฤทธิ์อย่างเคืองแค้นใจพลางกัดฟันกรอดๆ ครั้งนี้ไม่กล้าที่จะโต้แย้งใดๆ จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตากำลังจะเดินออกไปยกถาดน้ำมาให้เขา แต่ปานเดือนร้องห้ามไว้ “ไม่ต้องลำดวน เจ้าไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าก็นอนเป็นเพื่อนข้ามาตลอด วันนี้เจ้าก็ต้องนอนเป็นเพื่อนข้าเช่นเคย ไม่ต้องปลีกออกไปไหนทั้งนั้น” ลำดวน จึงรีบเดินมาหลบอยู่ด้านหลังแม่นายหญิงของนาง โดยหาได้ใส่ใจต่อคำสั่งของแสนฤทธิ์แต่อย่างไร

แสนฤทธิ์กวักมือเรียกปานเดือนให้มานั่งข้างๆตน พร้อมตบเบาๆที่ริมเตียงเชิงเป็นหารเชิญชวนว่า “เมียจ๋า เจ้ารีบเข้ามานั่งพักเถอะ อย่ายืนอยู่อย่างนั้นเลย มาเช็ดหน้าเช็ดตาเถอะ ดูซิร้องไห้ตาบวมหมดแล้วนะ”
ปานเดือนมีสีหน้าที่ราบเรียบเย็นชา กล่าวว่า “พี่แสนฤทธิ์ ขอบอกท่านไว้เลยนะ เพื่อเห็นแก่สัจจะและคุณธรรมของเจ้าคุณพ่อ ไม่ให้ท่านต้องลำบากใจ ข้ายอมอาศัยอยู่ในชายคาเดียวกับท่านได้ แต่อย่าหมายที่จะคิดที่จะนอนร่วมเรียงเคียงหมอนกับข้าไปได้เลย หากท่านกล้าแตะนิดต้องน้อยในตัวข้าแม้เพียงครั้งเดียว อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”

แสนฤทธิ์ตบไปที่หน้าอกตัวเองเบาๆ “โอโยะโย๋! น่ากลัวจังเลย” จากนั้นก็ยืนขึ้น เดินไปยืนหยุดประจัณหน้าภรรยาที่ทั้งเกลียดทั้งดูแคลนตน อ้าแขนทั้งสองออกกว้าง ยิ้มด้วยสีหน้าทะเล่นแป้นแล้น “พี่เป็นสามีของเจ้า พี่จะไม่ถูกเนื้อต้องตัวเจ้าแล้วจะให้ไปถูกเนื้อต้องตัวใครละ? มา! มาให้พี่กอดหน่อยนะ”

ปานเดือนใบหน้าบึ้งตึง ถอยหลังร่นไปหนึ่งก้าว คว้าจับได้โถแจกันบนโต๊ะขึ้นมาเงื้อขึ้นสูง หมายจะต่อสู้ป้องกันตัว ตะโกนว่า “ถ้าท่านยังกล้าเดินเข้ามาอีกก้าว ข้า…ข้าพร้อมจะแลกชีวิตกับท่าน”
แสนฤทธิ์ค่อยๆหดแขนสองข้างกลับมา ชำเรืองตามองสำรวจดูปานเดือนได้พักหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างเยือกเย็นพร้อมกับโยกศีรษะไปมาเบาๆ ยกมือไพล่หลังแล้วเดินกลับมานั่งลงบนเตียง ไม่พูดไม่จา อาศัยความนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว หันไปเหลือบมองปานเดือนที่ยังคงเงื้อโถแจกันค้างสูงอย่างเตรียมพร้อมเต็มที่ แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกว่า

“เจ้าคงจะเข้าใจว่า…ตัวเองสูงส่งเทียมหงส์กระมัง?  ยากที่ใครจะแตะต้องเจ้าได้นะรึ? เอาละ อย่าคิดว่าตัวเองเลิศเลอเทียมฟ้าไปเลยนะ ข้าก็เพียงแค่ทำเป็นแตะเนื้อต้องตัวเจ้าเพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นพวกเราสองคนสามีภรรยาเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าผู้อื่นก็เท่านั้น เจ้าวางใจเถอะ นอกเสียจากว่าเจ้าจะยอมพลีกายถวายตัว คุกเข่ามาอ้อนวอนต่อหน้า ไม่เช่นนั้นแล้วข้าก็ไม่มีทางแตะต้องเจ้าหรอก”

คำพูดประโยคนี้ทำเอาปานเดือนถึงกับควันออกหู สีหน้าโกรธบึ้งตึงเคืองแค้นใจยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งจากอิริยาบถยืนถ่อโถแจกันลายครามอยู่เช่นนั้น
แสนฤทธิ์เลยเลี่ยงการประทะคารมกับสองสาวนี้ มาจัดแจงที่หลับที่นอนบนเตียง “เอาละ! ข้าไม่อยากตอแยกับพวกเจ้าแล้ว ข้าจะนอนแล้วนะ ข้านอนบนเตียงวิวาห์นี้แหละ ส่วนเจ้าจะยืนทื่อถือแจกันเครื่องลายครามเป็นรูปปั้นต่อไปก็ตามใจนะ”
“นับว่าท่านแน่มาก” ปานเดือนวางโถแจกันลงบนโต๊ะที่เดิม หันกลับมาพูดกับลำดวนว่า “ไป…ลำดวนเจ้าเอาที่นอนหมอนฟูกมาปูนอนตรงมุมห้องเป็นเพื่อนข้าตรงนี้แหละ”
ลำดวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยพูกออกมาว่า “แต่ว่าแม่นายหญิง ปูฟูกนอนตรงมุมห้องนี้มันคับแคบ ข้าเกรงว่าท่านคงจะนอนไม่สะดวกสบายนะเจ้าคะ”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่