บทที่ 3...เจ้าสาวในชุดไทย
นามปากกา...บุญรอด
พ่อเฒ่าเหมที่เดินตามอยู่ด้านหลัง สาวเท้าเข้ามาใกล้และสะกิดบอกว่า “พ่อนาย บ่าวขอรออยู่หน้าประตูเรือนนะขอรับ ถ้าพ่อนายมีอะไรเรียกใช้บ่าวได้เลยนะขอรับ”
นางบ่าวหญิงลำดวน ได้เดินล่วงหน้าเข้าไปในห้องแล้ว แสนฤทธิ์จึงรีบผลักบานประตูห้องตามเข้าไป
เรือนไทยหลังนี้เป็นเรือนไทยทรงปั้นหยาใต้ถุนสูง มี 4 เรือนเล็กๆประกอบกัน เรือนด้านนอก 2 เรือนนั้นเป็นส่วนของเรือนบ่าวหญิงและบ่าวชาย แยกกันอยู่คนละด้านของเรือน ส่วนอีก 2 เรือนถัดไปด้านในนั้นเป็นส่วนของห้องหอ และห้องพระกับห้องตำราอีกที
แสนฤทธิ์ค่อยๆเดินเข้าไปในห้องหอ เห็นการจัดวางตกแต่งภายในห้องแลดูมีความสวยงาม สะอาดเรียบร้อย นึกเปรียบเทียบกับสภาพห้องพักของนักเรียนแพทย์แล้วช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ซึ่งสภาพห้องพักของเขาและเพื่อนนักเรียนแพทย์ในคณะแต่ละคนล้วนมีสภาพรกรุงรัง ระเกะระกะ คราคลั่งไปด้วยหนังสือและตำราแพทย์
ภายในห้องหอนี้ยังมีกลิ่นไอหอมกรุ่ม ละมุนละไมของดอกไม่สดต่างๆที่นำมาจัดประดับตกแต่งห้อง และกลิ่นของเครื่องอบกำยาน ชวนให้ผ่อนคลายสบายอารมณ์ เขาเดินมาถึงที่ข้างเตียง มองไปยังข้างเตียงอีกฝั่งเห็นมีหญิงสาวนั่งอยู่ที่ข้างเตียง นั่งหันหลังนิ่งเฉยไม่ไหวติง มองเห็นแวบแรกแทบจะนึกว่าเป็นรูปปั้นของนางอัปสร
หญิงสาวผู้นี้สวมชุดไทยห่มสไบปักดิ้นทองอย่างวิจิตรบรรจง แค่ได้มองนางจากด้านหลังก็ชวนให้หลงไหลจินตนาการปานนางเอกในละครพีเรียดก็ไม่ปาน มองจากรูปร่างแล้วทรวดทรงองเอวของนางดูบอบบางชวนให้น่าทะนุถนอม
แสนฤทธิ์ เกือบจะหลุดอาการกลั้นหัวเราะออกมาไม่ได้ ด้วยโชคชะตาที่พลิกผันพิลึกพิลั่นของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าหลังจากตนเองต้องเดินทางย้อนกาลเวลามาเป็นระยะทางและเวลาแสนยาวไกล เรื่องแรกที่พบเจอกับตนเองก็คือได้เข้ามาสู่เรือนหอ ความลิงโลดดีใจที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ถึงกับทำให้ความตื่นตระหนกตกใจและกังวลใจต่อเรื่องประหลาดอัศจรรย์ใจทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นกับเขามาหมาดๆ แทบจะหายไปหมดสิ้น
บ่าวสาวใช้ลำดวนเดินมาถึงข้างกายของเจ้าสาวที่นั่งนิ่ง ก็ค้อมตัวลงกระซิบกระซาบอยู่หลายประโยค เจ้าสาวนางนั้นร้อง “ฮึ” ออกมาทีหนึ่ง เสียงถึงแม้จะแผ่วเบาแต่กลับสดใสกังวานดั่งเสียงขิมคละเคล้าเสียงสายน้ำจากลำธารตามธรรมชาติ
ลำดวนพลันยืดร่างขึ้น หันมากล่าวเสียงเย็นชาว่า “ท่านจะยื่นทื่ออยู่ตรงนั้นทะอะไรอยู่เล่า? ยังไม่รีบเข้ามานั่งเคียงข้างเจ้าสาวในวันมงคลเช่นนี้อีกเหรอ!”
“อ้า ได้เลยๆ” แสนฤทธิ์แทบจะวิ่งแกมกระโจนเข้าไป พอมาถึงข้างตัวเจ้าสาวก็ถูกกลิ่นหอมเบาบางจากเคื่องประทินแป้งร่ำสูดเข้าจมูกแบบเต็มๆ จิตใจถึงกับสดชื่นผ่อนคลายได้สูดกลิ่นทิพย์จากทิพย์วิมาน
แสนทิพย์เงยหน้าปิดตาสูดลมหายใจยาวเข้าปอดทีหนึ่ง อุทานออกมาว่า “ฮื้อ! หอมจังเลย” เขาค่อยๆลืมตาที่เคลิบเคลิ้มในกลิ่นหอนอบอวล ค่อยๆมองเห็นภาพใบหน้าของเจ้าสาวนางนั้นอย่างถนัดชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เขาจ้องมองเจ้าสาวที่สวยงามสะคราญโฉมจนเกินจะพรรณนาได้ คงทำได้แต่นั่งอึ้งอ้าปากหวอ เหมือนโดนต้องมนต์สะกดเขาไว้ให้ ณ จังงัง
ถ้าจะบอกว่าลำดวน นั้นเป้นสาวงามสะคราญโฉมที่หาได้ยากแล้ว พอได้มาเจอโฉมหน้าเจ้าสาวนางนี้ก็เท่ากับนางฟ้านางสวรรค์ลงมาจุติก็ไม่ปาน ความงามของนางคงจะยากที่ชั่ง ตวง วัด เป้นเชิงปริมาณออกมาไม่ได้ ต่อให้เอา 10 นางงามจักรวาลและ 10 นางนางโลกในยุคปัจจุบันมาแลกก็ไม่ยอม
แต่ทว่าแววตาของเจ้าสาวที่สวยงามสะคราญโฉมเกินจะพรรณนานั้นช่างดูเย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์ยินดี กลับมีแต่แววตาที่ยินร้าย จนทำให้ผู้คนที่ได้เสพเนตรด้วยรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างเมื่อถูกนางปรายตามอง
เสียงตะเบ็งแข็งกระด้างของลำดวนเอ่ยออกมาแบบเร่งเร้าจากด้านหลัง “อึ อื้อ! ส่งตัวเข้าห้องหอแล้ว ประกบเจ้าสาวแล้ว ก็เป็นอันเสร็จภารกิจตามที่ตกลงกันไว้เท่านี้นะเจ้าค่ะ ยังไม่รีบออกไปอีก!”
“ออกไป? ออกไปไหน?” แสนฤทธิ์ รู้สึกว่าตัวเองยังไม่เข้าใจในต้นสายปลายเหตุ และ ดูโง่งมอยู่บ้าง
ลำดวนถึงตาใส่ พูดเสียงกระด้างว่า “ท่านจะออกไปที่ไหนก็ไปที่นั้นแหละเจ้าคะ เมื่อครู่นี้ท่านยังแอบไประเริงรักกับอีปีบอยู่ที่สวนดอกไม้มิใช่หรอกหรือ ก็ไปหานางต่อสิ ถ้าใอย่างนั้นก็ไปหาเตล็ดเตร่สำราญตามตลาดกลางเมืองเกี้ยวพาราสีแม่หญิงตามตลาดร้านเมืองนั่นสิ”
แสนฤทธิ์ พอจะเริ่มรู้และเข้าใจบ้างแล้วว่า นายท่านคนนี้ที่เขาสวมร่างอยู่นี้จะต้องเป้นหนุ่มเจ้าสำราญอย่างแน่นอน ซ้ำยัก่อเรื่องให้เจ้าสาวและบ่าวไพร่ในเรือนไม่พอใจเป็นแน่แท้ เห้นทีจะต้องง้องอนแก้ตัวสักหน่อยแล้ว ว่าแล้วจึงรีบก้มตัวหมายจะอธิบาย
“เมื่อครู่นี้ข้า…”
พออ้าปากพูดก็นึกขึ้นได้ว่า จากคำพูดของบ่าวสาวใช้นางนี้ดูเหมือนว่าก่อนหน้าที่เขาจะย้อนอดีตมาสวมร่าง นายท่านผู้นี้กำลังทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงอยู่ในสวนดอกไม้กับบ่าวหญิงในเรือนที่ชื่อ อีปีบ แถมสภาพเนื้อตัวเสื้อผ้าที่หลุดหลุ่ยภายหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาล้วนเป้นประจักษ์พยานแบบคาหนังคาเขา จบสิ้นกัน เรืองแบบนี้จะอธิบายแก้ต่างได้อย่างไร
ไม่รอให้แสนฤทธิ์หาคำแก้ตัว เจ้าสาวก็พูดตัดเยื่อใยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เอาละ พอความกันเท่านี้ ท่านไม่ต้องพูกแล้ว ท่านจะทำอะไร ข้ายุ่งเกี่ยวไม่ได้ และก็ไม่คิดจะยุ่งด้วย พวกเราสองคนตกลงกันเป้นหมั่นเป้นเหมาะแล้วว่า เราเข้าตบแต่งกันเข้าห้องหอเป็นสามีภรรยาเพียงหลอกๆกันหนึ่งปี ตอนนี้หมดภารกิจของท่านแล้ว ท่านออกไปได้!”
แต่งงานกันหลอกๆหนึ่งปี? แสนฤทธิ์รู้สึกหน้าชา ตาพร่าลายขึ้นมาทันที พึมพำกับตัวเองว่า “ที่แท้เรื่องราวเป็นเช่นนี้กันเองหรือนี่!”
“เรื่องราวอะไรงั้นรึ?” เจ้าสาวแสนสวยชำเลืองมองมาที่เขาด้วยแววตาเย็นชาอีกครา “ท่าอย่าลืมไป ข้าแต่งกับท่าน เพียงเพราะไม่ต้องการให้พ่อของข้าต้องกลายเป็นคนไร้สัจจะไร้คุณธรรม ในเมื่อพวกเราถูกหมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก ต่อให้พ่อแม่ของท่านจะลาโลกไปก่อน แต่ตระกูลพวกเราก็ไม่ใช่คนที่ไม่รักษาสัจจะวาจาหาเชื่อถือไม่ได้ ดังนั้น ข้าจึงต้องยอมตบแต่งกับท่าน แต่ว่าการแต่งงานครั้งนี้ก็แค่แต่งเพื่อให้ผู้อื่นได้รับร็เท่านั้น จะหาสรณะอันใดไม่ได้ ต่อไปท่านอย่าได้หวังก้าวเหยียบเข้ามาในห้องของข้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว เรื่องที่ข้าอยากจะพูดก็มีเพียงเท่านี้ ไม่มีความอันใดต้องพูดกันอีก เชิญท่านออกไปได้!”
ได้ฟังความจบ แสนฤทธิ์ ก็แทบจะร้องอ๋อ ที่แท้เจ้าสาวนางนี้ไม่คิดจะตบแต่งออกเรือนกับเขา เพียงแต่เพราะนี่คือการแต่งงานกำมะลอ ที่ต้องทำตามเพื่อรักษาสัจจะวาจาที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายกำหนดหมั้นหมายไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
แสนฤทธิ์ ครุ่นคิดในใจว่า ถ้าพ่อนายที่เขาสวมร่างอยู่นั้นกล้าประพฤติตัวเหลวไหลกับหญิงอื่นในคืนเข้าห้องหอ ก็แสดงว่าพ่อนายคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีอะไรเลย แสนฤทธิ์คิดอย่างคับข้องใจว่า ลิขิตฟ้าช่างเล่นตลกไร้ความเป็นธรรม ตัวเขาเองไม่ได้เป็นเช่นนั้นสักหน่อย ก่อนย้อนอดีตผ่านกาลเวลามานั้นตั้งแต่เด็กจนเรียนจบแพทย์ ถึงเขาจะไม่เคยได้รางวัลนักเรียนความประพฤติดีเด่นมาแต่ไหนแต่ไร แต่เราก็ไม่เคยประพฤติเสียหาย อยู่ในครรลองคลองธรรมมาตลอด แถมพึ่งเรียนสำเร็จจากคณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมีอยู่อันดับต้นๆของเมืองไทย มีทั้งเกียรติมีทั้งศักดิ์ศรี เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ถ้าจะตกล่องปล่องชิ้นกับเจ้าหล่อนก็คงไม่ทำให้เจ้าหล่อนต้องเสื่อมเสียเกียรติแต่อย่างไร แต่ทว่าเรื่องแบบนี้จนใจที่จะพูดออกมาได้ในช่วงเวลาเช่นนี้
แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา หญิงสาวที่เขาพบพาลมาส่วนใหญ่มักจะชอบให้คนง้องอนเอาอกเอาใจ พูดจาให้น่าฟังเข้าไว้ ปลอบนิดปลอบหน่อยก็ดีเอง แสนฤทธิ์ครานี้ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม ใช้ใบหน้าไร้ยางอายของตนที่เมื่อกาลก่อนมักจะใช้ไล่จีบสาวๆที่หมาวิทยาลัยและมักจะได้ผลทุกครั้ง กล่าวออกมาอย่างจิงใจว่า “ข้า ข้าขอปรับปรุงตัวเองก็ไม่ได้หรือ?”
คำพูดนี้พูดออกมาได้อย่างสัตย์ซื่อจริงใจที่สุดเท่าที่เคยง้อสาวๆมา กระทั้งแสนฤทธิ์เองก็ยังซาบซึ้งใจในคำพูดของตัวเองไม่น้อย แต่ทว่าเจ้าสาวกลับตัดรอนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเฉียบขาดว่า “อย่าเลย ท่านกับข้าต่างคนต่างเดินเถอะ เราสองคนตกลงกันไว้อย่างดีแล้วว่าจะเป็นสามีภรรยากันแต่ในนามแค่หนึ่งปี หนึ่งปีให้หลังท่านกับข้าก็ตกลงปลงใจกันเขียน *หนังสือบอกหย่า* ต่อหน้าเจ้ากรมมหาดไทยหรือเจ้าพระยาพ่อเมืองให้เสร็จสรรพ จากนั้นเราทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”
หนังสือบอกหย่า? คำนี้ฟังดูคุ้นๆหูไม่น้อย ในยุคปัจจุบันของเขาคงจะเรียกว่า ใบหย่า นั่นเอง ว่าแต่ในสมัยอดีตโบราณแบบนี้ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าได้มีธรรมเนียมปฏิบัติในเรื่องการหย่าร้างมาก่อนเลยนะเนี่ย ว่าแล้วเขาก็สงสัยในตัวเองว่าเขาได้ย้อนอดีตมาในยุคใดสมัยใดกันละนี่?”
ลำดวนที่อยู่ยืนอยู่ด้านข้างผลักแสนฤทธิ์อย่างแรงทีหนึ่ง “นี่ ท่านไม่ได้ยินคำพูดของแม่หญิงหรือไร? ยังไม่ออกไปอีก!”
แสนฤทธิ์ไม่ทันระวังตัวถูกผลักจนร่างซวนเซก็พลอยให้นึกโมโหขึ้นมา ในใจคิดว่าต่อให้เขาจะทำตัวเหลวแหลกเพียงใด แต่ก็ยังหยิ่งในศักดิ์ศรี ในเมื่อไม่ตั้งใจจริงที่แต่งงานกับเขา การแต่งครั้งนี้ถือเป็นเพียงแค่เล่นละครกำมะลอฉากหนึ่ง แล้วทำไมเขาต้องวางตัวจำยอมพินอบพิเทาตามติดก้นผู้อื่นด้วย ถือเสียว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความฝันชั่วขณะหนึ่งก็แล้วกัน
แต่ไหนแต่ไรมาก็ใช่ว่าชีวิตจะสิ้นไร้ไม้ตอก ช่วงชีวิตในที่ผ่านมาในรั้วมหาวิทยาลัย ชีวิตเขาก็จัดอยู่ในกลุ่มหนุ่มฮ๊อต ยอด popular vote แรงดีไม่มีตก มีสาวๆทั้งในและต่างคณะแวะเวียนมาด้อมๆมองๆเขาไม่ได้ขาดสาย ถึงแม้เขาจะเคยคบหาพัวพันกับนักศึกษาหญิงสวยๆมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยคบซ้อนหรือคบเผื่อเลือก ขอเพียงแต่ให้รู้ว่าคบหากันด้วยความจริงใจไม่มีการเสแสร้งแกล้งเล่นละครแต่อย่างไร แต่ทั้งหมดของหญิงสาวที่เข้าในชีวิตชายหนุ่มในรั้วมหาวิทยาลัยของเขาล้วนต้องถอยร่นตีตัวออกจากไป ด้วยความที่วิถีชีวิตของการเป็นนักเรียนแพทย์นั้นแทบจะไม่มีเวลาเป้นของตัวเองและไม่มีเวลาให้กับเรื่องความรักของวัยหนุ่มวัยสาว เพราะทุกเสี่ยววินาทีคือการอุทิศตนเพื่อการเรียนและการปฏิบัติงานในโรงพยาบาล ถึงจะมีการตีตนจากไปแต่เขาก็สามารถทำใจได้ ที่ผ่านมาไม่เคยตีอกชกตัวร่ำไห้เพราะอกหักมาก่อน
แสนฤทธิ์ปักหลักยืนเชิดหน้าอย่างมั่นคง ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “ขอโทษเจ้าด้วย หากข้าขืนยืนกรานกระต่ายขาเดียว หรือ ปรบมือข้างเดียวก็คงไร้ประโยชน์อันใด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็เคารพในข้อตกลงของพวกเราทั้งสองฝ่ายก็แล้วกัน ขอตัวแล้ว!” สองเท้าถอยร่นออกมาจากนั้นก็ถอยหลังหมุนตัวกลับ ก้าวยาวๆเดินออกมาอย่างผ่าเผย
ลีลาลวดลายเช่นนี้ไม่เลวจริงๆ แสนฤทธิ์ นึกในใจอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องต่อท่าทางของตัวเองจนไม่ระมัดระวัง เท้าข้างหนึ่งสะดุดกับธรณีประตูเข้าจังๆ แข้งขาขัดพันกันจนร่างถลาร่อนไปข้างหน้าเกือบจะหัวหกคะมำ โชคดีที่ปฎิกิริยาตอบสนองของระบบประสาทส่วนกลาง หรือที่เรีนกว่า reflex ยังคล่องแคล่วว่องไว กระโดดกระย่องกระแย่งออกไปหลายก้าว จนในที่สุดพ่อเฒ่าเหมที่นั่งเฝ้ารอที่หน้าประตูรีบถลาเข้ามาช่วยประคองรับร่างของเขา สักครู่ก็ได้ยินเสียงดัง “ปัง” มาจากทางด้านหลัง บ้านประตูใหญ่ของห้องหอถูกกระแทกปิดลง
ฟ้าลิขิต...(Intern แห่งสยามประเทศ)...Ep.3 เจ้าสาวในชุดไทยโบราณ
นามปากกา...บุญรอด
พ่อเฒ่าเหมที่เดินตามอยู่ด้านหลัง สาวเท้าเข้ามาใกล้และสะกิดบอกว่า “พ่อนาย บ่าวขอรออยู่หน้าประตูเรือนนะขอรับ ถ้าพ่อนายมีอะไรเรียกใช้บ่าวได้เลยนะขอรับ”
นางบ่าวหญิงลำดวน ได้เดินล่วงหน้าเข้าไปในห้องแล้ว แสนฤทธิ์จึงรีบผลักบานประตูห้องตามเข้าไป
เรือนไทยหลังนี้เป็นเรือนไทยทรงปั้นหยาใต้ถุนสูง มี 4 เรือนเล็กๆประกอบกัน เรือนด้านนอก 2 เรือนนั้นเป็นส่วนของเรือนบ่าวหญิงและบ่าวชาย แยกกันอยู่คนละด้านของเรือน ส่วนอีก 2 เรือนถัดไปด้านในนั้นเป็นส่วนของห้องหอ และห้องพระกับห้องตำราอีกที
แสนฤทธิ์ค่อยๆเดินเข้าไปในห้องหอ เห็นการจัดวางตกแต่งภายในห้องแลดูมีความสวยงาม สะอาดเรียบร้อย นึกเปรียบเทียบกับสภาพห้องพักของนักเรียนแพทย์แล้วช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ซึ่งสภาพห้องพักของเขาและเพื่อนนักเรียนแพทย์ในคณะแต่ละคนล้วนมีสภาพรกรุงรัง ระเกะระกะ คราคลั่งไปด้วยหนังสือและตำราแพทย์
ภายในห้องหอนี้ยังมีกลิ่นไอหอมกรุ่ม ละมุนละไมของดอกไม่สดต่างๆที่นำมาจัดประดับตกแต่งห้อง และกลิ่นของเครื่องอบกำยาน ชวนให้ผ่อนคลายสบายอารมณ์ เขาเดินมาถึงที่ข้างเตียง มองไปยังข้างเตียงอีกฝั่งเห็นมีหญิงสาวนั่งอยู่ที่ข้างเตียง นั่งหันหลังนิ่งเฉยไม่ไหวติง มองเห็นแวบแรกแทบจะนึกว่าเป็นรูปปั้นของนางอัปสร
หญิงสาวผู้นี้สวมชุดไทยห่มสไบปักดิ้นทองอย่างวิจิตรบรรจง แค่ได้มองนางจากด้านหลังก็ชวนให้หลงไหลจินตนาการปานนางเอกในละครพีเรียดก็ไม่ปาน มองจากรูปร่างแล้วทรวดทรงองเอวของนางดูบอบบางชวนให้น่าทะนุถนอม
แสนฤทธิ์ เกือบจะหลุดอาการกลั้นหัวเราะออกมาไม่ได้ ด้วยโชคชะตาที่พลิกผันพิลึกพิลั่นของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าหลังจากตนเองต้องเดินทางย้อนกาลเวลามาเป็นระยะทางและเวลาแสนยาวไกล เรื่องแรกที่พบเจอกับตนเองก็คือได้เข้ามาสู่เรือนหอ ความลิงโลดดีใจที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ถึงกับทำให้ความตื่นตระหนกตกใจและกังวลใจต่อเรื่องประหลาดอัศจรรย์ใจทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นกับเขามาหมาดๆ แทบจะหายไปหมดสิ้น
บ่าวสาวใช้ลำดวนเดินมาถึงข้างกายของเจ้าสาวที่นั่งนิ่ง ก็ค้อมตัวลงกระซิบกระซาบอยู่หลายประโยค เจ้าสาวนางนั้นร้อง “ฮึ” ออกมาทีหนึ่ง เสียงถึงแม้จะแผ่วเบาแต่กลับสดใสกังวานดั่งเสียงขิมคละเคล้าเสียงสายน้ำจากลำธารตามธรรมชาติ
ลำดวนพลันยืดร่างขึ้น หันมากล่าวเสียงเย็นชาว่า “ท่านจะยื่นทื่ออยู่ตรงนั้นทะอะไรอยู่เล่า? ยังไม่รีบเข้ามานั่งเคียงข้างเจ้าสาวในวันมงคลเช่นนี้อีกเหรอ!”
“อ้า ได้เลยๆ” แสนฤทธิ์แทบจะวิ่งแกมกระโจนเข้าไป พอมาถึงข้างตัวเจ้าสาวก็ถูกกลิ่นหอมเบาบางจากเคื่องประทินแป้งร่ำสูดเข้าจมูกแบบเต็มๆ จิตใจถึงกับสดชื่นผ่อนคลายได้สูดกลิ่นทิพย์จากทิพย์วิมาน
แสนทิพย์เงยหน้าปิดตาสูดลมหายใจยาวเข้าปอดทีหนึ่ง อุทานออกมาว่า “ฮื้อ! หอมจังเลย” เขาค่อยๆลืมตาที่เคลิบเคลิ้มในกลิ่นหอนอบอวล ค่อยๆมองเห็นภาพใบหน้าของเจ้าสาวนางนั้นอย่างถนัดชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เขาจ้องมองเจ้าสาวที่สวยงามสะคราญโฉมจนเกินจะพรรณนาได้ คงทำได้แต่นั่งอึ้งอ้าปากหวอ เหมือนโดนต้องมนต์สะกดเขาไว้ให้ ณ จังงัง
ถ้าจะบอกว่าลำดวน นั้นเป้นสาวงามสะคราญโฉมที่หาได้ยากแล้ว พอได้มาเจอโฉมหน้าเจ้าสาวนางนี้ก็เท่ากับนางฟ้านางสวรรค์ลงมาจุติก็ไม่ปาน ความงามของนางคงจะยากที่ชั่ง ตวง วัด เป้นเชิงปริมาณออกมาไม่ได้ ต่อให้เอา 10 นางงามจักรวาลและ 10 นางนางโลกในยุคปัจจุบันมาแลกก็ไม่ยอม
แต่ทว่าแววตาของเจ้าสาวที่สวยงามสะคราญโฉมเกินจะพรรณนานั้นช่างดูเย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์ยินดี กลับมีแต่แววตาที่ยินร้าย จนทำให้ผู้คนที่ได้เสพเนตรด้วยรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างเมื่อถูกนางปรายตามอง
เสียงตะเบ็งแข็งกระด้างของลำดวนเอ่ยออกมาแบบเร่งเร้าจากด้านหลัง “อึ อื้อ! ส่งตัวเข้าห้องหอแล้ว ประกบเจ้าสาวแล้ว ก็เป็นอันเสร็จภารกิจตามที่ตกลงกันไว้เท่านี้นะเจ้าค่ะ ยังไม่รีบออกไปอีก!”
“ออกไป? ออกไปไหน?” แสนฤทธิ์ รู้สึกว่าตัวเองยังไม่เข้าใจในต้นสายปลายเหตุ และ ดูโง่งมอยู่บ้าง
ลำดวนถึงตาใส่ พูดเสียงกระด้างว่า “ท่านจะออกไปที่ไหนก็ไปที่นั้นแหละเจ้าคะ เมื่อครู่นี้ท่านยังแอบไประเริงรักกับอีปีบอยู่ที่สวนดอกไม้มิใช่หรอกหรือ ก็ไปหานางต่อสิ ถ้าใอย่างนั้นก็ไปหาเตล็ดเตร่สำราญตามตลาดกลางเมืองเกี้ยวพาราสีแม่หญิงตามตลาดร้านเมืองนั่นสิ”
แสนฤทธิ์ พอจะเริ่มรู้และเข้าใจบ้างแล้วว่า นายท่านคนนี้ที่เขาสวมร่างอยู่นี้จะต้องเป้นหนุ่มเจ้าสำราญอย่างแน่นอน ซ้ำยัก่อเรื่องให้เจ้าสาวและบ่าวไพร่ในเรือนไม่พอใจเป็นแน่แท้ เห้นทีจะต้องง้องอนแก้ตัวสักหน่อยแล้ว ว่าแล้วจึงรีบก้มตัวหมายจะอธิบาย
“เมื่อครู่นี้ข้า…”
พออ้าปากพูดก็นึกขึ้นได้ว่า จากคำพูดของบ่าวสาวใช้นางนี้ดูเหมือนว่าก่อนหน้าที่เขาจะย้อนอดีตมาสวมร่าง นายท่านผู้นี้กำลังทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงอยู่ในสวนดอกไม้กับบ่าวหญิงในเรือนที่ชื่อ อีปีบ แถมสภาพเนื้อตัวเสื้อผ้าที่หลุดหลุ่ยภายหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาล้วนเป้นประจักษ์พยานแบบคาหนังคาเขา จบสิ้นกัน เรืองแบบนี้จะอธิบายแก้ต่างได้อย่างไร
ไม่รอให้แสนฤทธิ์หาคำแก้ตัว เจ้าสาวก็พูดตัดเยื่อใยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เอาละ พอความกันเท่านี้ ท่านไม่ต้องพูกแล้ว ท่านจะทำอะไร ข้ายุ่งเกี่ยวไม่ได้ และก็ไม่คิดจะยุ่งด้วย พวกเราสองคนตกลงกันเป้นหมั่นเป้นเหมาะแล้วว่า เราเข้าตบแต่งกันเข้าห้องหอเป็นสามีภรรยาเพียงหลอกๆกันหนึ่งปี ตอนนี้หมดภารกิจของท่านแล้ว ท่านออกไปได้!”
แต่งงานกันหลอกๆหนึ่งปี? แสนฤทธิ์รู้สึกหน้าชา ตาพร่าลายขึ้นมาทันที พึมพำกับตัวเองว่า “ที่แท้เรื่องราวเป็นเช่นนี้กันเองหรือนี่!”
“เรื่องราวอะไรงั้นรึ?” เจ้าสาวแสนสวยชำเลืองมองมาที่เขาด้วยแววตาเย็นชาอีกครา “ท่าอย่าลืมไป ข้าแต่งกับท่าน เพียงเพราะไม่ต้องการให้พ่อของข้าต้องกลายเป็นคนไร้สัจจะไร้คุณธรรม ในเมื่อพวกเราถูกหมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก ต่อให้พ่อแม่ของท่านจะลาโลกไปก่อน แต่ตระกูลพวกเราก็ไม่ใช่คนที่ไม่รักษาสัจจะวาจาหาเชื่อถือไม่ได้ ดังนั้น ข้าจึงต้องยอมตบแต่งกับท่าน แต่ว่าการแต่งงานครั้งนี้ก็แค่แต่งเพื่อให้ผู้อื่นได้รับร็เท่านั้น จะหาสรณะอันใดไม่ได้ ต่อไปท่านอย่าได้หวังก้าวเหยียบเข้ามาในห้องของข้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว เรื่องที่ข้าอยากจะพูดก็มีเพียงเท่านี้ ไม่มีความอันใดต้องพูดกันอีก เชิญท่านออกไปได้!”
ได้ฟังความจบ แสนฤทธิ์ ก็แทบจะร้องอ๋อ ที่แท้เจ้าสาวนางนี้ไม่คิดจะตบแต่งออกเรือนกับเขา เพียงแต่เพราะนี่คือการแต่งงานกำมะลอ ที่ต้องทำตามเพื่อรักษาสัจจะวาจาที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายกำหนดหมั้นหมายไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
แสนฤทธิ์ ครุ่นคิดในใจว่า ถ้าพ่อนายที่เขาสวมร่างอยู่นั้นกล้าประพฤติตัวเหลวไหลกับหญิงอื่นในคืนเข้าห้องหอ ก็แสดงว่าพ่อนายคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีอะไรเลย แสนฤทธิ์คิดอย่างคับข้องใจว่า ลิขิตฟ้าช่างเล่นตลกไร้ความเป็นธรรม ตัวเขาเองไม่ได้เป็นเช่นนั้นสักหน่อย ก่อนย้อนอดีตผ่านกาลเวลามานั้นตั้งแต่เด็กจนเรียนจบแพทย์ ถึงเขาจะไม่เคยได้รางวัลนักเรียนความประพฤติดีเด่นมาแต่ไหนแต่ไร แต่เราก็ไม่เคยประพฤติเสียหาย อยู่ในครรลองคลองธรรมมาตลอด แถมพึ่งเรียนสำเร็จจากคณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมีอยู่อันดับต้นๆของเมืองไทย มีทั้งเกียรติมีทั้งศักดิ์ศรี เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ถ้าจะตกล่องปล่องชิ้นกับเจ้าหล่อนก็คงไม่ทำให้เจ้าหล่อนต้องเสื่อมเสียเกียรติแต่อย่างไร แต่ทว่าเรื่องแบบนี้จนใจที่จะพูดออกมาได้ในช่วงเวลาเช่นนี้
แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา หญิงสาวที่เขาพบพาลมาส่วนใหญ่มักจะชอบให้คนง้องอนเอาอกเอาใจ พูดจาให้น่าฟังเข้าไว้ ปลอบนิดปลอบหน่อยก็ดีเอง แสนฤทธิ์ครานี้ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม ใช้ใบหน้าไร้ยางอายของตนที่เมื่อกาลก่อนมักจะใช้ไล่จีบสาวๆที่หมาวิทยาลัยและมักจะได้ผลทุกครั้ง กล่าวออกมาอย่างจิงใจว่า “ข้า ข้าขอปรับปรุงตัวเองก็ไม่ได้หรือ?”
คำพูดนี้พูดออกมาได้อย่างสัตย์ซื่อจริงใจที่สุดเท่าที่เคยง้อสาวๆมา กระทั้งแสนฤทธิ์เองก็ยังซาบซึ้งใจในคำพูดของตัวเองไม่น้อย แต่ทว่าเจ้าสาวกลับตัดรอนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเฉียบขาดว่า “อย่าเลย ท่านกับข้าต่างคนต่างเดินเถอะ เราสองคนตกลงกันไว้อย่างดีแล้วว่าจะเป็นสามีภรรยากันแต่ในนามแค่หนึ่งปี หนึ่งปีให้หลังท่านกับข้าก็ตกลงปลงใจกันเขียน *หนังสือบอกหย่า* ต่อหน้าเจ้ากรมมหาดไทยหรือเจ้าพระยาพ่อเมืองให้เสร็จสรรพ จากนั้นเราทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”
หนังสือบอกหย่า? คำนี้ฟังดูคุ้นๆหูไม่น้อย ในยุคปัจจุบันของเขาคงจะเรียกว่า ใบหย่า นั่นเอง ว่าแต่ในสมัยอดีตโบราณแบบนี้ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าได้มีธรรมเนียมปฏิบัติในเรื่องการหย่าร้างมาก่อนเลยนะเนี่ย ว่าแล้วเขาก็สงสัยในตัวเองว่าเขาได้ย้อนอดีตมาในยุคใดสมัยใดกันละนี่?”
ลำดวนที่อยู่ยืนอยู่ด้านข้างผลักแสนฤทธิ์อย่างแรงทีหนึ่ง “นี่ ท่านไม่ได้ยินคำพูดของแม่หญิงหรือไร? ยังไม่ออกไปอีก!”
แสนฤทธิ์ไม่ทันระวังตัวถูกผลักจนร่างซวนเซก็พลอยให้นึกโมโหขึ้นมา ในใจคิดว่าต่อให้เขาจะทำตัวเหลวแหลกเพียงใด แต่ก็ยังหยิ่งในศักดิ์ศรี ในเมื่อไม่ตั้งใจจริงที่แต่งงานกับเขา การแต่งครั้งนี้ถือเป็นเพียงแค่เล่นละครกำมะลอฉากหนึ่ง แล้วทำไมเขาต้องวางตัวจำยอมพินอบพิเทาตามติดก้นผู้อื่นด้วย ถือเสียว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความฝันชั่วขณะหนึ่งก็แล้วกัน
แต่ไหนแต่ไรมาก็ใช่ว่าชีวิตจะสิ้นไร้ไม้ตอก ช่วงชีวิตในที่ผ่านมาในรั้วมหาวิทยาลัย ชีวิตเขาก็จัดอยู่ในกลุ่มหนุ่มฮ๊อต ยอด popular vote แรงดีไม่มีตก มีสาวๆทั้งในและต่างคณะแวะเวียนมาด้อมๆมองๆเขาไม่ได้ขาดสาย ถึงแม้เขาจะเคยคบหาพัวพันกับนักศึกษาหญิงสวยๆมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยคบซ้อนหรือคบเผื่อเลือก ขอเพียงแต่ให้รู้ว่าคบหากันด้วยความจริงใจไม่มีการเสแสร้งแกล้งเล่นละครแต่อย่างไร แต่ทั้งหมดของหญิงสาวที่เข้าในชีวิตชายหนุ่มในรั้วมหาวิทยาลัยของเขาล้วนต้องถอยร่นตีตัวออกจากไป ด้วยความที่วิถีชีวิตของการเป็นนักเรียนแพทย์นั้นแทบจะไม่มีเวลาเป้นของตัวเองและไม่มีเวลาให้กับเรื่องความรักของวัยหนุ่มวัยสาว เพราะทุกเสี่ยววินาทีคือการอุทิศตนเพื่อการเรียนและการปฏิบัติงานในโรงพยาบาล ถึงจะมีการตีตนจากไปแต่เขาก็สามารถทำใจได้ ที่ผ่านมาไม่เคยตีอกชกตัวร่ำไห้เพราะอกหักมาก่อน
แสนฤทธิ์ปักหลักยืนเชิดหน้าอย่างมั่นคง ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “ขอโทษเจ้าด้วย หากข้าขืนยืนกรานกระต่ายขาเดียว หรือ ปรบมือข้างเดียวก็คงไร้ประโยชน์อันใด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็เคารพในข้อตกลงของพวกเราทั้งสองฝ่ายก็แล้วกัน ขอตัวแล้ว!” สองเท้าถอยร่นออกมาจากนั้นก็ถอยหลังหมุนตัวกลับ ก้าวยาวๆเดินออกมาอย่างผ่าเผย
ลีลาลวดลายเช่นนี้ไม่เลวจริงๆ แสนฤทธิ์ นึกในใจอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องต่อท่าทางของตัวเองจนไม่ระมัดระวัง เท้าข้างหนึ่งสะดุดกับธรณีประตูเข้าจังๆ แข้งขาขัดพันกันจนร่างถลาร่อนไปข้างหน้าเกือบจะหัวหกคะมำ โชคดีที่ปฎิกิริยาตอบสนองของระบบประสาทส่วนกลาง หรือที่เรีนกว่า reflex ยังคล่องแคล่วว่องไว กระโดดกระย่องกระแย่งออกไปหลายก้าว จนในที่สุดพ่อเฒ่าเหมที่นั่งเฝ้ารอที่หน้าประตูรีบถลาเข้ามาช่วยประคองรับร่างของเขา สักครู่ก็ได้ยินเสียงดัง “ปัง” มาจากทางด้านหลัง บ้านประตูใหญ่ของห้องหอถูกกระแทกปิดลง