ฟ้าลิขิต (Intern…แห่งสยามประเทศ)...นามปากกา "บุญรอด"
บทที่ 1 บัดสีบัดเถลิง
แสงตะเกียงหลาหลายดวงจากคุ้มเรือนในยามราตรีกำลังส่องแสงดั่งกลุ่มดาวลูกไก่เทื่อมองจากระยะไกล ดวงดาวเปล่งประกายระยิบระยับขับแสงแวววาวทั่วท้องฟ้า อากาศในยามปลายฤดูหนาวเข้าสู่ต้นฤดูร้อน ซึ่งบัดเดี๋ยวหนาวเย็น บัดเดี๋ยวร้อน ท้องฟ้าเปิดโล่งส่งให้เห็นดวงดาวทั่วท่องฟ้าได้ชัดถนัดตามากขึ้น
ณ ลานหญ้าในสวนดอกไม้ด้านหลังเรือนใหญ่ของคุ้มเรือนของท่านขุนเรืองทรัพย์ หรือที่ชาวบ้านทั่วเขตแคว้นเมืองนครศรีธรรมราช เรียกขานว่า ท่านขุนเจ้าสัว ที่พุ่มดอกพุดซ้อนกลางสวนดอกไม้ ได้มีเสียงกระซิบกระซาบของชายหนุ่มและหญิงสาวลอยมา
เสียงผู้หญิงกระซิบกระซาบอย่างผะว้าผะวังเบาๆว่า “พ่อนาย คืนนี้เป็นคืนส่งตัวเข้าเรือนหอของท่าน ท่านจะ...กับบ่าว...แม่หญิง...เอ่อไม่ใช่...ภรรยาของท่านรู้เข้าคงจะไม่พอใจนะเข้าค่ะ” แต่เสียงของชายหน่มกลับแหบพร่ากระเส่าเร่งเร้าว่า “อย่าได้สนใจเจ้าหล่อน! แม่ปีบคนดีของข้า ข้ารอเจ้าไม่ไหวแล้ว!” ตามด้วยเสียงฉีกกระชากผ้าถุงผ้าแถบให้ดังแคว่กคว่ากพร้อมกับเสียงร้องอุทานแผ่วเบาด้วยความตกใจของนางบ่าวหญิง หลังจากนั้นก็มีเสียงเนื้อตัวเวียดสีกันในพุ่มดอกไม้ตามมา
ทันใดนั้นท้องฟ้าท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยหมู่ดวงดาวเต็มท้องฟ้ากลับถูกครอบคลุมไปด้วยเมฆดำทะมึนขึ้นเรื่อยๆ ลมกรรโชกเรื่อยๆเอิ่อยๆแต่เสียงกระเส้ากระสิกของชายหญิงในพุ่มดอกไม้หาได้ใส่ใจต่อลม ฟ้า อากาศ แต่อย่างไรไม่ แวบชั่วขณะหนึ่งก็พลันเกิดแสงเจิดจ้าฟาดลงมาทิ่มนัยน์ตาสว่างวาบหนึ่ง
จู่ๆร่างของชายหนุ่มที่ถูกเรียกขานว่า “พ่อนาย” ที่กำลังลุกขึ้นยืนย่างสามขุมหมายจะกระโจนตะปบร่างของนางบ่าวหญิงที่นอนแผ่หลาในพุ่มดอกไม้ ดุจเสือโคร่งที่กำลังเยื้องย่างรุกฆาตหมายจับเหยื่อให้อยู่คาหมัดคามือ ร่างของชายหนุ่มก็หยุดชะงักแข็งทื่อ มือขวายกขึ้นเกาะกุมหน้าอกที่มีอาการเจ็บแปลบๆขึ้นมาทันที เขาเปล่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด ทิ้งตัวนั่งคุกเข่า ก้มศีรษะบิดไปมาอยู่หลายที จากนั้นก็ฟุบฮวบนอนคว่ำแน่นิ่งลงไปข้างๆร่างเปลทอยเปล่าของหญิงสาว ขณะนั้นเองท่ามกลางความมืดสลัวของท้องฟ้ายามราตรีก็ปรากฏสายฟ้าแลบปลาบฟาดพุ่งลงใส่ร่างของเขาอยู่วาบหนึ่ง แสงสาดสว่างไปทั่วทุกสารทิศเปรียบประหนึ่งเหล่าทวยเทพเสด็จลงมาจุติยังโลกภูมิ
นางบ่าวหญิงที่เอาแต่ปิดตาหอบหายใจอยู่นั้น พลันรู้สึกว่าพ่อนายนอนคว่ำหน้าหยุดนิ่งอยู่ข้างๆตนไม่ขยับเขยื้อน นางก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ตลอดเวลานางได้แต่เอามือปิดตา จึงมองไม่เห็นสีหน้าช่วงที่ชายหนุ่มแสดงอาการเจ็บปวดมือกุมหน้าอกแน่นกดทับหัวใจเมื่อครู่นี้ นางหลับตารออยู่พักหนึ่งก็ยังไม่มีการเคลื่นไหวใดๆ และแล้วนางก็รู้สึกว่ามีของหนักๆหล่นฟุบลงมาอยู่ข้างตัว จึงรีบเบิ่งตามองดูทันเห็นลำแสงดุจดังฟ้าแลบฟ้าผ่าลงบนร่างอันเปลือยเปล่าของชายหนุ่ม
ฟ้าแลบปลาบสายรี้รวดเร็วไร้สุ้มเสียง ถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียงอัสนีบาตรฟาดเปรี้ยง แต่ความตื่นตระหนกของนางในตอนนี้ไม่ด้อยไปกว่าถูกฟ้าฟาดแต่อย่างใด นางค่อยๆยื่นมืออันสั่นเทาไปแตะหยั่งลมหายใจที่จมูกของพ่อนาย เมื่อพบว่าไม่มีลมหายใจแม้แต่น้อยนิด นางก็กรีดร้องเสียงแหลมออกมาอย่างเสียขวัญดังสะท้านไปทั่วคุ้มเรือน
บ่าวหญิงผู้น่าสงสารพยายามตะเกียดตะกายลุกขึ้นจากใต้ร่างอันอ่อนปวกเปียกของชายหนุ่ม นางรีบร้อนจัดแจงสวมเสื้อผ้าด้วยอาการมือไม้สั่นแล้ววิ่งเตลิดออกไปด้วยสติที่กระเจิดกระเจิง นางวิ่งไปจนถึงหน้าบันไดทางขึ้นเรือนใหญ่ ชายชราหนวดเคราสีดอกเลาคนหนึ่งก็ยื่นมือออกมาคว้าจับนางไว้ที่หน้าบันได พลางถามอย่างแปลกใจว่า “อีปีบ ข้าบอกให้เจ้าไปรับพ่อนายที่เรือนสวนดอกไม้หลังเรือนใหญ่มิใช่รึ? ทำไมวิ่งเตลิดออกมาเยี่ยงนี่? แล้วพ่อนายเล่า? เกิดเหตุอันใดขึ้นอีปีบ? ทำไมเจ้าจึงวิ่งหน้าตาตื่นกระหืดกระหอบมาเยี่ยงนี้?” อีปีบละล่ำละลักตอบอย่างหวาดกลัวสุดขีดว่า “พ่อเฒ่าเหม แย่แล้วเจ้าค่ะ...เมื่อกี้...มีฟ้าแลบปลาบหนึ่ง...ฟาดผ่า...พ่อนายตายเสียแล้วเจ้าค่ะ!” พูดจบนางก็ร่ำไห้โฮออกมาทันที
“อะไรนะ?” พ่อเฒ่าเหม หัวหน้าบ่าวไพร่และทาสในเรือน ถึงกับตาถลึง “เร็ว รีบไปแจ้งความต่อท่านขุนและแม่หญิงนาย” สิ้นเสียงพ่อเฒ่าเหมก็รีบวิ่งไปทางสวนดอกไม้ทันที พ่อเฒ่าเหมวิ่งอย่างเร่งรีบ พอมาถึง ณ จัดเกิดเหตุก็เห็นพ่อนายของตนเองนอนเปลือยเปล่าล่อนจ้อน สองตาเหลือกขาว ปากฟูมฟองน้ำลาย เขายื่นมือไปอังที่จมูกก็พบว่าคนได้หมดลมหายใจตายไปแล้ว เขาถึงกับร่ำไห้ออกมาดังๆทันที
สักครู่ท่านขุนเรืองทรัพย์ก็เดินมาพร้อมแม่นายหญิงอุ่นเรือนกับบรรดาบ่าวไพร่ในเรือน วิ่งหน้าตาตื่นตามมาถึงสวนดอกไม้ ณ จุดเกิดเหตุ ทันทีที่เห็นสภาพอันน่าสลดสังเวชใจของชายหนุ่ม ก็ตื่นตระหนกโพล่งถามออกมาว่า “พ่อแสนเป็นอะไรไป?”
เมื่อครู่นี้หลังจากที่พ่อเฒ่าเหมรีบร้อนจัดแจงใส่เสื้อผ้าให้พ่อนายอย่างลวกๆ พ่อเฒ่าเหมก็ได้แต่ฟุบร่ำไห้สะอึกสะอื้นด้วยความรันทดอยู่บนร่างที่นอนแน่นิ่ง พอได้ยินท่านขุนไตร่ถามก็ตอบไปว่า “อีปีบมันบอกว่า...ตอนที่พ่อนายเดินตามมันมาตามลำพังสองคนเพื่อมายังเรือนใหญ่ จู่ๆพ่อนาย...พ่อนายก็ถูกฟ้าผ่าลงมาตรงร่าง ทำให้ลมหายใจขาดห้วงไป! โธ่ โธ่ แล้วนี่ข้าจะมีหน้าไปพบกับดวงวิญญาณของพ่อของพ่อนายได้อย่างๆรกัน” ระหว่างที่พูดน้ำตาของพ่อเฒ่าก็ไหลพรากๆอย่างต่อเนื่อง
แม่นายหญิงอุ่นเรือนที่ยืนอยู่ด้านข้างท่านขุน สีหน้าปรากฏแววโล่งใจขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ก็กลับเสแสร้งทำเป็นเสียใจร่ำไห้สะอึกสะอื้นออกมา ท่ามกลางบรรดาบ่าวไพร่ที่มาล้อมรอบมุงดูอยู่ด้านหลัง บ่าวหญิงนางหนึ่งดวงตากลมโตหน้าตาสะสวยหมดจด ปรายตามองแวบหนึ่งไปยังอีปีบที่ยืนหลบมุมตัวสั่นงันงกด้วยความตกใจ จากนั้นนางก็เบือนหน้ามองไปยังร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหญ้า เสท้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย ก่อนจะส่งเสียง “
” ออกมาเบาๆ พูดกับตัวเองว่า “ตายได้ก็ดี! วันมงคลเยี่ยงนี้ยังมีหน้ามาทำเรื่องบัดสีบัดเถลิง
ถึงเพียงนี้ สมควรแล้วที่ถูกฟ้าผ่า ฮึ! สมน้ำหน้า”
“ลำดวน ห้ามพูดจาเสียมารยาท!” แม่นายหญิงอุ่นเรือนหันกลับมาถลึงตาใส่บ่าวหญิงนางนั้น บ่าวหญิงลำดวนรับก้มพยักหน้ารับคำ ไม่กล้าปริปากออกมาอีก
ยามนั้นท่านขุนเรืองทรัพย์ ยืนกระแทกไม้ตะพดที่ถืออยู่ในอุ้งมือ ร่ำร้องออกมาว่า “ข้าไม่ได้ดูแลพ่อแสนฤทธิ์ให้ดี ตายไปจะมีหน้าไปพบหน้าพ่อกับแม่ของเขาได้อย่างไรเล่า!”
ที่แท้ชายหนุ่มที่นอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจอยู่นั้นมีชื่อว่า แสนฤทธิ์ พ่อของเขากับขุนเรืองทรัพย์ ล้วนเป็นขุนนางในระดับยศเป็น ขุน เดิมทีทั้งสองคนเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพย้ายมาปักหลักทำมาค้าขายบนผืนแผ่นดินไทยมาตั้งแต่ครั้งรัชสมัยขุนหลวงตาก แห่งกรุงธนบุรี (เป็นพระนามของสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช ที่ชาวบ้านเรียกขานกันง่ายๆ) จนถึงสมัยพระบามสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวฯ ด้วยความที่ทั้งสองคนมีความรู้ความสามารถในการติดต่อค้าขาย ผ่านทางการเดินเรือสำเภาทะเลติดต่อค้าขายกับ จีน ญวน มลายู สิงคโปร์ จนสามารถตั้งตัวสร้างฐานะและทุนทรัพย์ มั่งคั่ง ร่ำรวยได้ตั้งแต่ในวัยหนุ่มแน่น แถมทั้งสองความรู้ความชำนาญในการต่อเรือสำเภาหลวงให้แก่ทางการ และแต่งเรือเพ่อขนส่งสินค้าออกไปค้าขายกับต่างแดน กอปรกับมีความสัมพันธ์อันดีกับเหล่าเจ้านายและขุนนางในกรมท่า จึงได้รับการโปรดเกล้าฯให้ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาษีนายอากรช่วยงานเสนาบดีกรมท่า และยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานให้ทั้งสองแต่งานออกเรือนกับคุณข้าหลวง เป็นสามีภรรยากันตั้งแต่นั้นมา
ขุนเรืองทรัพย์ และ ขุนแสนญา พ่อของแสนฤทธิ์ เป็นเพื่อนรัก เพื่อนเล่น เพื่อนเรียน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่ยังเยาว์ สนิทสนิมกันเหมือนเป็นพี่น้องร่วมอุธร ทั้งสองจึงได้สาบานเป็นพี่น้องร่วมสาบาน และความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองตระกูลนี้เอง ภายหลังเมื่อต่างฝ่ายต่างได้ให้กำเนิดบุตรชายหนึ่ง และบุตรหญิงหนึ่ง จึงได้หมั้นหมายบุตรของตนเองให้กับอีกฝ่ายตั้งแต่ยังเล็ก แต่ไม่ทันไร ขุนแสนญา ก็ต้องมาเสียชีวิตในระหว่างออกปฏิบัติงานนำพาเรือสำเภาหลวงขนส่งสินค้าและเครื่องบรรณาการที่ได้ส่งไป *จิ้มก้อง* ทางเมืองจีน (จิ้มก้อง หมายถึง ทรงเจริญพระราชไมตรีด้วยการถวายเครื่องราชบรรณาการ ภาษาจีน จิ้ม แปลว่า ให้ , ก้อง แปลว่า ของกำนัล ในการทำการค้า การเจริญญพระราชไมตรีกับจีนสมัยโบราณ มักจะเอาของกำนัลไปให้ทางจีนเพื่อความสะดวกในการค้า และพระเจ้ากรุงจีนก็ยังตอบแทนด้วยของกำนัลอีกด้วย แต่จีนมักถือว่า ผู้ที่มาจิ้มก้องด้วยนั้น เป็นผู้ที่มาขอสวามิภักดิ์ขอเป็นเมืองขึ้น) ขากลับผ่านน่านน้ำของอ่าวไทย เรือสำเภอประสบกับพายุโหมกระหน่ำแรง เป็นเหตุให้เรืออับปางจมลงกลางทะเล ขุนแสนญาและคณะลูกเรือได้เสียชีวิตลงในเหตุการณ์ครั้งนั้น หลังจากนั้นมาแม่ของแสนฤทธิ์ ก็ได้แต่โศกเศร้าเสียใจต่อการจากไปของผู้เป็นสามี ถึงกับได้เจ็บได้ไข้ ล้มหมอนนอนเสื่อ และสิ้นลมลาจากโลกไปในที่สุด
ท่านขุนเรืองทรัพย์ เป็นคนที่มากด้วยคุณธรรมและน้ำใจ สิ่งที่เขายึดมั่นเป็นที่สุดคือ การนับถือและยึดมั่นรักษาสัจจะต่อพี่น้องร่วมสาบาน เขาจึงต้องรับเลี้ยงดูและให้ความรักและเมตตาต่อ เด็กชายแสนฤทธิ์ เป็นบุตรบุญธรรม ให้ความรักความเอ็นดูเสมอบุตรของตน
แต่แรกรุ่นเมื่อแสนฤทธิ์เริ่มเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่ม ขุนเรืองทรัพย์ก็คอยกระตุ้นเตือน อบรมสั่งสอนวิชาการด้านการค้าการขายและการต่อเรือ เขาพยายามถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆทั้งจากบันทึก ตำรา และประสบการณ์ชีวิตของเขา เท่าที่จะให้เขาได้มากที่สุด ด้วยคาดหวังว่าอยากให้ชายหนุ่มมีเกียรติยศ ชื่อเสียง และฐานะที่มั่นคงเฉกเช่นเขาและพ่อของเขา แล้วจึงค่อยให้ตบแต่งกับบุตรีของตน แต่คิดไม่ถึงว่า แสนฤทธิ์ ในวัยแรกหนุ่มหาได้มีความมุมานะบากบั่นไม่ หยิบสี่ตำราห้าคัมภีร์ขึ้นมาคราใดเป็นต้องง่วงงาวหาวนอนขึ้นมาทุกที ชอบเที่ยวเตร่เสเพล เจ้าชู้ประตูดิน เกี้ยวพาราสีเหล่าหญิงสาวไปทั่วเมือง เรื่องไม่ถูกทำนองคลองธรรมกลับเชี่ยวชาญ ทั้งสุรา การพนันขันต่อทุกรูปแบบ จะมีดีอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือ หน้าตาที่หล่อเหลาเป็นเอกหาได้เป็นรองใคร ทำเอาท่านขุนเรืองทรัพย์คับอกคับใจจนแทบจะกระอักเลือด
สุดท้ายแล้วท่านขุนเห๋นว่าแสนฤทธิ์อายุก็ล่วงมาจนถึงยี่สิบกว่าปีไม่นานก็จะเข้าสู่เบญจเพสแล้ว บุตรสาวของตนก็ถึงวัยที่ต้องออกเรือนแล้ว หากยังไม่ตบแต่งออกเรือนไปชาวบ้านร้านช่องคงต้องแอบหัวเราะเยาะเย้ย จึงจำใจเลือกเอาฤกษ์งามยามดีในวันนี้จัดงานแต่งให้กับทั้งสองคน กาลข้างหน้าค่อยคิดหาทางให้แสนฤทธิ์เดินทางเข้ากรุงเทพมหานครศรีอยุธยา เพื่อถวายตัวเป้นข้าหลวงมหาดเล็กรับใช้ราชการในโอกาสต่อไป
คิดไม่ถึงว่าในคืนเข้าพิธีมงคลสมรส รดน้ำสังข์แล้ว ยังไม่ทันส่งตัวเข้าห้องหอ แสนฤทธิ์ผู้นี้กลับไม่ได้เสพสุขอยู่ในเรือนหอ แต่กลับมาโลดแล่นระเริงรักที่สวนดอกไม้กับบ่าวหญิงคนรับใช้ มิหนำซ้ำบ่าวหญิงนางนั้นยังรายงานว่าถูกถูกฟ้าผ่าตายอีก ท่านขุนแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ที่ขณะนั้นกลับมาปลอดโปร่ง พร่างพราวไปด้วยดวงดาวเต็มท้องฟ้า ตะคอกเสียงดังใส่พ่อเฒ่าเหมว่า “เหลวไหล! มฆดำก็ไม่มีสักก้อน หยาดฝนก็ไม่มีสักหยด ลมก็สงบนิ่ง แล้วมันจะมีฟ้าผ่าลงมาได้เยี่ยงไรกัน?”
ฟ้าลิขิต...(Intern…แห่งสยามประเทศ)...Ep. 1 บัดสีบัดเถลิง
บทที่ 1 บัดสีบัดเถลิง
แสงตะเกียงหลาหลายดวงจากคุ้มเรือนในยามราตรีกำลังส่องแสงดั่งกลุ่มดาวลูกไก่เทื่อมองจากระยะไกล ดวงดาวเปล่งประกายระยิบระยับขับแสงแวววาวทั่วท้องฟ้า อากาศในยามปลายฤดูหนาวเข้าสู่ต้นฤดูร้อน ซึ่งบัดเดี๋ยวหนาวเย็น บัดเดี๋ยวร้อน ท้องฟ้าเปิดโล่งส่งให้เห็นดวงดาวทั่วท่องฟ้าได้ชัดถนัดตามากขึ้น
ณ ลานหญ้าในสวนดอกไม้ด้านหลังเรือนใหญ่ของคุ้มเรือนของท่านขุนเรืองทรัพย์ หรือที่ชาวบ้านทั่วเขตแคว้นเมืองนครศรีธรรมราช เรียกขานว่า ท่านขุนเจ้าสัว ที่พุ่มดอกพุดซ้อนกลางสวนดอกไม้ ได้มีเสียงกระซิบกระซาบของชายหนุ่มและหญิงสาวลอยมา
เสียงผู้หญิงกระซิบกระซาบอย่างผะว้าผะวังเบาๆว่า “พ่อนาย คืนนี้เป็นคืนส่งตัวเข้าเรือนหอของท่าน ท่านจะ...กับบ่าว...แม่หญิง...เอ่อไม่ใช่...ภรรยาของท่านรู้เข้าคงจะไม่พอใจนะเข้าค่ะ” แต่เสียงของชายหน่มกลับแหบพร่ากระเส่าเร่งเร้าว่า “อย่าได้สนใจเจ้าหล่อน! แม่ปีบคนดีของข้า ข้ารอเจ้าไม่ไหวแล้ว!” ตามด้วยเสียงฉีกกระชากผ้าถุงผ้าแถบให้ดังแคว่กคว่ากพร้อมกับเสียงร้องอุทานแผ่วเบาด้วยความตกใจของนางบ่าวหญิง หลังจากนั้นก็มีเสียงเนื้อตัวเวียดสีกันในพุ่มดอกไม้ตามมา
ทันใดนั้นท้องฟ้าท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยหมู่ดวงดาวเต็มท้องฟ้ากลับถูกครอบคลุมไปด้วยเมฆดำทะมึนขึ้นเรื่อยๆ ลมกรรโชกเรื่อยๆเอิ่อยๆแต่เสียงกระเส้ากระสิกของชายหญิงในพุ่มดอกไม้หาได้ใส่ใจต่อลม ฟ้า อากาศ แต่อย่างไรไม่ แวบชั่วขณะหนึ่งก็พลันเกิดแสงเจิดจ้าฟาดลงมาทิ่มนัยน์ตาสว่างวาบหนึ่ง
จู่ๆร่างของชายหนุ่มที่ถูกเรียกขานว่า “พ่อนาย” ที่กำลังลุกขึ้นยืนย่างสามขุมหมายจะกระโจนตะปบร่างของนางบ่าวหญิงที่นอนแผ่หลาในพุ่มดอกไม้ ดุจเสือโคร่งที่กำลังเยื้องย่างรุกฆาตหมายจับเหยื่อให้อยู่คาหมัดคามือ ร่างของชายหนุ่มก็หยุดชะงักแข็งทื่อ มือขวายกขึ้นเกาะกุมหน้าอกที่มีอาการเจ็บแปลบๆขึ้นมาทันที เขาเปล่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด ทิ้งตัวนั่งคุกเข่า ก้มศีรษะบิดไปมาอยู่หลายที จากนั้นก็ฟุบฮวบนอนคว่ำแน่นิ่งลงไปข้างๆร่างเปลทอยเปล่าของหญิงสาว ขณะนั้นเองท่ามกลางความมืดสลัวของท้องฟ้ายามราตรีก็ปรากฏสายฟ้าแลบปลาบฟาดพุ่งลงใส่ร่างของเขาอยู่วาบหนึ่ง แสงสาดสว่างไปทั่วทุกสารทิศเปรียบประหนึ่งเหล่าทวยเทพเสด็จลงมาจุติยังโลกภูมิ
นางบ่าวหญิงที่เอาแต่ปิดตาหอบหายใจอยู่นั้น พลันรู้สึกว่าพ่อนายนอนคว่ำหน้าหยุดนิ่งอยู่ข้างๆตนไม่ขยับเขยื้อน นางก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ตลอดเวลานางได้แต่เอามือปิดตา จึงมองไม่เห็นสีหน้าช่วงที่ชายหนุ่มแสดงอาการเจ็บปวดมือกุมหน้าอกแน่นกดทับหัวใจเมื่อครู่นี้ นางหลับตารออยู่พักหนึ่งก็ยังไม่มีการเคลื่นไหวใดๆ และแล้วนางก็รู้สึกว่ามีของหนักๆหล่นฟุบลงมาอยู่ข้างตัว จึงรีบเบิ่งตามองดูทันเห็นลำแสงดุจดังฟ้าแลบฟ้าผ่าลงบนร่างอันเปลือยเปล่าของชายหนุ่ม
ฟ้าแลบปลาบสายรี้รวดเร็วไร้สุ้มเสียง ถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียงอัสนีบาตรฟาดเปรี้ยง แต่ความตื่นตระหนกของนางในตอนนี้ไม่ด้อยไปกว่าถูกฟ้าฟาดแต่อย่างใด นางค่อยๆยื่นมืออันสั่นเทาไปแตะหยั่งลมหายใจที่จมูกของพ่อนาย เมื่อพบว่าไม่มีลมหายใจแม้แต่น้อยนิด นางก็กรีดร้องเสียงแหลมออกมาอย่างเสียขวัญดังสะท้านไปทั่วคุ้มเรือน
บ่าวหญิงผู้น่าสงสารพยายามตะเกียดตะกายลุกขึ้นจากใต้ร่างอันอ่อนปวกเปียกของชายหนุ่ม นางรีบร้อนจัดแจงสวมเสื้อผ้าด้วยอาการมือไม้สั่นแล้ววิ่งเตลิดออกไปด้วยสติที่กระเจิดกระเจิง นางวิ่งไปจนถึงหน้าบันไดทางขึ้นเรือนใหญ่ ชายชราหนวดเคราสีดอกเลาคนหนึ่งก็ยื่นมือออกมาคว้าจับนางไว้ที่หน้าบันได พลางถามอย่างแปลกใจว่า “อีปีบ ข้าบอกให้เจ้าไปรับพ่อนายที่เรือนสวนดอกไม้หลังเรือนใหญ่มิใช่รึ? ทำไมวิ่งเตลิดออกมาเยี่ยงนี่? แล้วพ่อนายเล่า? เกิดเหตุอันใดขึ้นอีปีบ? ทำไมเจ้าจึงวิ่งหน้าตาตื่นกระหืดกระหอบมาเยี่ยงนี้?” อีปีบละล่ำละลักตอบอย่างหวาดกลัวสุดขีดว่า “พ่อเฒ่าเหม แย่แล้วเจ้าค่ะ...เมื่อกี้...มีฟ้าแลบปลาบหนึ่ง...ฟาดผ่า...พ่อนายตายเสียแล้วเจ้าค่ะ!” พูดจบนางก็ร่ำไห้โฮออกมาทันที
“อะไรนะ?” พ่อเฒ่าเหม หัวหน้าบ่าวไพร่และทาสในเรือน ถึงกับตาถลึง “เร็ว รีบไปแจ้งความต่อท่านขุนและแม่หญิงนาย” สิ้นเสียงพ่อเฒ่าเหมก็รีบวิ่งไปทางสวนดอกไม้ทันที พ่อเฒ่าเหมวิ่งอย่างเร่งรีบ พอมาถึง ณ จัดเกิดเหตุก็เห็นพ่อนายของตนเองนอนเปลือยเปล่าล่อนจ้อน สองตาเหลือกขาว ปากฟูมฟองน้ำลาย เขายื่นมือไปอังที่จมูกก็พบว่าคนได้หมดลมหายใจตายไปแล้ว เขาถึงกับร่ำไห้ออกมาดังๆทันที
สักครู่ท่านขุนเรืองทรัพย์ก็เดินมาพร้อมแม่นายหญิงอุ่นเรือนกับบรรดาบ่าวไพร่ในเรือน วิ่งหน้าตาตื่นตามมาถึงสวนดอกไม้ ณ จุดเกิดเหตุ ทันทีที่เห็นสภาพอันน่าสลดสังเวชใจของชายหนุ่ม ก็ตื่นตระหนกโพล่งถามออกมาว่า “พ่อแสนเป็นอะไรไป?”
เมื่อครู่นี้หลังจากที่พ่อเฒ่าเหมรีบร้อนจัดแจงใส่เสื้อผ้าให้พ่อนายอย่างลวกๆ พ่อเฒ่าเหมก็ได้แต่ฟุบร่ำไห้สะอึกสะอื้นด้วยความรันทดอยู่บนร่างที่นอนแน่นิ่ง พอได้ยินท่านขุนไตร่ถามก็ตอบไปว่า “อีปีบมันบอกว่า...ตอนที่พ่อนายเดินตามมันมาตามลำพังสองคนเพื่อมายังเรือนใหญ่ จู่ๆพ่อนาย...พ่อนายก็ถูกฟ้าผ่าลงมาตรงร่าง ทำให้ลมหายใจขาดห้วงไป! โธ่ โธ่ แล้วนี่ข้าจะมีหน้าไปพบกับดวงวิญญาณของพ่อของพ่อนายได้อย่างๆรกัน” ระหว่างที่พูดน้ำตาของพ่อเฒ่าก็ไหลพรากๆอย่างต่อเนื่อง
แม่นายหญิงอุ่นเรือนที่ยืนอยู่ด้านข้างท่านขุน สีหน้าปรากฏแววโล่งใจขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ก็กลับเสแสร้งทำเป็นเสียใจร่ำไห้สะอึกสะอื้นออกมา ท่ามกลางบรรดาบ่าวไพร่ที่มาล้อมรอบมุงดูอยู่ด้านหลัง บ่าวหญิงนางหนึ่งดวงตากลมโตหน้าตาสะสวยหมดจด ปรายตามองแวบหนึ่งไปยังอีปีบที่ยืนหลบมุมตัวสั่นงันงกด้วยความตกใจ จากนั้นนางก็เบือนหน้ามองไปยังร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหญ้า เสท้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย ก่อนจะส่งเสียง “” ออกมาเบาๆ พูดกับตัวเองว่า “ตายได้ก็ดี! วันมงคลเยี่ยงนี้ยังมีหน้ามาทำเรื่องบัดสีบัดเถลิง ถึงเพียงนี้ สมควรแล้วที่ถูกฟ้าผ่า ฮึ! สมน้ำหน้า”
“ลำดวน ห้ามพูดจาเสียมารยาท!” แม่นายหญิงอุ่นเรือนหันกลับมาถลึงตาใส่บ่าวหญิงนางนั้น บ่าวหญิงลำดวนรับก้มพยักหน้ารับคำ ไม่กล้าปริปากออกมาอีก
ยามนั้นท่านขุนเรืองทรัพย์ ยืนกระแทกไม้ตะพดที่ถืออยู่ในอุ้งมือ ร่ำร้องออกมาว่า “ข้าไม่ได้ดูแลพ่อแสนฤทธิ์ให้ดี ตายไปจะมีหน้าไปพบหน้าพ่อกับแม่ของเขาได้อย่างไรเล่า!”
ที่แท้ชายหนุ่มที่นอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจอยู่นั้นมีชื่อว่า แสนฤทธิ์ พ่อของเขากับขุนเรืองทรัพย์ ล้วนเป็นขุนนางในระดับยศเป็น ขุน เดิมทีทั้งสองคนเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพย้ายมาปักหลักทำมาค้าขายบนผืนแผ่นดินไทยมาตั้งแต่ครั้งรัชสมัยขุนหลวงตาก แห่งกรุงธนบุรี (เป็นพระนามของสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช ที่ชาวบ้านเรียกขานกันง่ายๆ) จนถึงสมัยพระบามสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวฯ ด้วยความที่ทั้งสองคนมีความรู้ความสามารถในการติดต่อค้าขาย ผ่านทางการเดินเรือสำเภาทะเลติดต่อค้าขายกับ จีน ญวน มลายู สิงคโปร์ จนสามารถตั้งตัวสร้างฐานะและทุนทรัพย์ มั่งคั่ง ร่ำรวยได้ตั้งแต่ในวัยหนุ่มแน่น แถมทั้งสองความรู้ความชำนาญในการต่อเรือสำเภาหลวงให้แก่ทางการ และแต่งเรือเพ่อขนส่งสินค้าออกไปค้าขายกับต่างแดน กอปรกับมีความสัมพันธ์อันดีกับเหล่าเจ้านายและขุนนางในกรมท่า จึงได้รับการโปรดเกล้าฯให้ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาษีนายอากรช่วยงานเสนาบดีกรมท่า และยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานให้ทั้งสองแต่งานออกเรือนกับคุณข้าหลวง เป็นสามีภรรยากันตั้งแต่นั้นมา
ขุนเรืองทรัพย์ และ ขุนแสนญา พ่อของแสนฤทธิ์ เป็นเพื่อนรัก เพื่อนเล่น เพื่อนเรียน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่ยังเยาว์ สนิทสนิมกันเหมือนเป็นพี่น้องร่วมอุธร ทั้งสองจึงได้สาบานเป็นพี่น้องร่วมสาบาน และความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองตระกูลนี้เอง ภายหลังเมื่อต่างฝ่ายต่างได้ให้กำเนิดบุตรชายหนึ่ง และบุตรหญิงหนึ่ง จึงได้หมั้นหมายบุตรของตนเองให้กับอีกฝ่ายตั้งแต่ยังเล็ก แต่ไม่ทันไร ขุนแสนญา ก็ต้องมาเสียชีวิตในระหว่างออกปฏิบัติงานนำพาเรือสำเภาหลวงขนส่งสินค้าและเครื่องบรรณาการที่ได้ส่งไป *จิ้มก้อง* ทางเมืองจีน (จิ้มก้อง หมายถึง ทรงเจริญพระราชไมตรีด้วยการถวายเครื่องราชบรรณาการ ภาษาจีน จิ้ม แปลว่า ให้ , ก้อง แปลว่า ของกำนัล ในการทำการค้า การเจริญญพระราชไมตรีกับจีนสมัยโบราณ มักจะเอาของกำนัลไปให้ทางจีนเพื่อความสะดวกในการค้า และพระเจ้ากรุงจีนก็ยังตอบแทนด้วยของกำนัลอีกด้วย แต่จีนมักถือว่า ผู้ที่มาจิ้มก้องด้วยนั้น เป็นผู้ที่มาขอสวามิภักดิ์ขอเป็นเมืองขึ้น) ขากลับผ่านน่านน้ำของอ่าวไทย เรือสำเภอประสบกับพายุโหมกระหน่ำแรง เป็นเหตุให้เรืออับปางจมลงกลางทะเล ขุนแสนญาและคณะลูกเรือได้เสียชีวิตลงในเหตุการณ์ครั้งนั้น หลังจากนั้นมาแม่ของแสนฤทธิ์ ก็ได้แต่โศกเศร้าเสียใจต่อการจากไปของผู้เป็นสามี ถึงกับได้เจ็บได้ไข้ ล้มหมอนนอนเสื่อ และสิ้นลมลาจากโลกไปในที่สุด
ท่านขุนเรืองทรัพย์ เป็นคนที่มากด้วยคุณธรรมและน้ำใจ สิ่งที่เขายึดมั่นเป็นที่สุดคือ การนับถือและยึดมั่นรักษาสัจจะต่อพี่น้องร่วมสาบาน เขาจึงต้องรับเลี้ยงดูและให้ความรักและเมตตาต่อ เด็กชายแสนฤทธิ์ เป็นบุตรบุญธรรม ให้ความรักความเอ็นดูเสมอบุตรของตน
แต่แรกรุ่นเมื่อแสนฤทธิ์เริ่มเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่ม ขุนเรืองทรัพย์ก็คอยกระตุ้นเตือน อบรมสั่งสอนวิชาการด้านการค้าการขายและการต่อเรือ เขาพยายามถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆทั้งจากบันทึก ตำรา และประสบการณ์ชีวิตของเขา เท่าที่จะให้เขาได้มากที่สุด ด้วยคาดหวังว่าอยากให้ชายหนุ่มมีเกียรติยศ ชื่อเสียง และฐานะที่มั่นคงเฉกเช่นเขาและพ่อของเขา แล้วจึงค่อยให้ตบแต่งกับบุตรีของตน แต่คิดไม่ถึงว่า แสนฤทธิ์ ในวัยแรกหนุ่มหาได้มีความมุมานะบากบั่นไม่ หยิบสี่ตำราห้าคัมภีร์ขึ้นมาคราใดเป็นต้องง่วงงาวหาวนอนขึ้นมาทุกที ชอบเที่ยวเตร่เสเพล เจ้าชู้ประตูดิน เกี้ยวพาราสีเหล่าหญิงสาวไปทั่วเมือง เรื่องไม่ถูกทำนองคลองธรรมกลับเชี่ยวชาญ ทั้งสุรา การพนันขันต่อทุกรูปแบบ จะมีดีอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือ หน้าตาที่หล่อเหลาเป็นเอกหาได้เป็นรองใคร ทำเอาท่านขุนเรืองทรัพย์คับอกคับใจจนแทบจะกระอักเลือด
สุดท้ายแล้วท่านขุนเห๋นว่าแสนฤทธิ์อายุก็ล่วงมาจนถึงยี่สิบกว่าปีไม่นานก็จะเข้าสู่เบญจเพสแล้ว บุตรสาวของตนก็ถึงวัยที่ต้องออกเรือนแล้ว หากยังไม่ตบแต่งออกเรือนไปชาวบ้านร้านช่องคงต้องแอบหัวเราะเยาะเย้ย จึงจำใจเลือกเอาฤกษ์งามยามดีในวันนี้จัดงานแต่งให้กับทั้งสองคน กาลข้างหน้าค่อยคิดหาทางให้แสนฤทธิ์เดินทางเข้ากรุงเทพมหานครศรีอยุธยา เพื่อถวายตัวเป้นข้าหลวงมหาดเล็กรับใช้ราชการในโอกาสต่อไป
คิดไม่ถึงว่าในคืนเข้าพิธีมงคลสมรส รดน้ำสังข์แล้ว ยังไม่ทันส่งตัวเข้าห้องหอ แสนฤทธิ์ผู้นี้กลับไม่ได้เสพสุขอยู่ในเรือนหอ แต่กลับมาโลดแล่นระเริงรักที่สวนดอกไม้กับบ่าวหญิงคนรับใช้ มิหนำซ้ำบ่าวหญิงนางนั้นยังรายงานว่าถูกถูกฟ้าผ่าตายอีก ท่านขุนแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ที่ขณะนั้นกลับมาปลอดโปร่ง พร่างพราวไปด้วยดวงดาวเต็มท้องฟ้า ตะคอกเสียงดังใส่พ่อเฒ่าเหมว่า “เหลวไหล! มฆดำก็ไม่มีสักก้อน หยาดฝนก็ไม่มีสักหยด ลมก็สงบนิ่ง แล้วมันจะมีฟ้าผ่าลงมาได้เยี่ยงไรกัน?”