ดารินทร์ ดาริน ตอนที่ 7

Chapter 6 พอเถอะ

       เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่มีคนเข็นแม่เข้าไปข้างใน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมานั่งรอคนที่ฉันรักและรู้จักที่หน้าห้องแห่งนี้ โดยเฉพาะเเม่ แม่ของตัวฉันเอง ในหัวของฉันตอนนี้มันกลัวไปหมด กลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไป ถ้าเเม่เป็นอะไรแล้วฉันจะทำยังไง จะอยู่ยังไง ฉันมีแม่คนเดียว คนในครอบครัวเพียงคนเดียวนั่นก็คือแม่ กลัว กลัวไปหมด ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนหัวใจของฉันมันกำลังค่อยๆ บีบตัว เหมือนน้ำตามันกำลังจะไหลออกมา
      ครืดดด ครืดดดดดดด~ เสียงโทรศัพท์สั่น ฉันไม่มีกระจิตกระใจเเม้เเต่จะพูดคุยกับใครทั้งนั้น ยกเว้นหมอ พยาบาลหรือใครก็ได้ที่อยู่ข้างในนั้น
      ครื๊ดดดด ครื๊ดดดดดด~ ฉันปล่อยไว้แบบนั้นโดยที่ไม่สนใจมันอีกเลย  

      พลักก!! ประตูเปิดออก
      ฉันรีบพุ่งตัวไปหาคนที่ออกมาทันที
     “แม่หนูปลอดภัยดีใช่ไหมคะ ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ”

     “เดี๋ยวน้องรอให้คุณหมอท่านออกมาบอกน่าจะดีกว่าค่ะ”
      
        ผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดสีขาวๆ คาดว่าน่าจะเป็นพยาบาล พอพูดจบก็ค่อยๆ เดินเข้ามาหาฉันจับมือทั้งสองข้างของฉันมาประกบกันพร้อมกับกุมมือฉันไว้เเน่น ก่อนที่จะเดินจากไป

         อะไรกัน ฉันไม่อยากทนอยู่กับความคิดของตัวเองแบบนี้เลย ฉันกลัว กลัวว่าเเม่จะเป็นอะไร ฉันไม่อยากรอเเล้ว

         “รินทร์!!!”
         
          ฉันหันไปหาต้นเสียงที่ฉันเคยได้ยินบ่อยๆ

         “ป้าโทรมาหาหนูตั้งหลายสาย ทำไมไม่รับสายป้า เเล้วนี่เเม่เป็นยังไงบ้างลูก”

          นั่นเสียงของป้าแก้ว ป้าแก้วถามฉันพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ ที่มีไว้สำหรับนั่งรอ ที่เหมือนว่าบริเวณนี้จะมีเเค่ฉันกับป้าแก้วอยู่กันแค่สองคน

          “หมอยังไม่ออกมาเลยค่ะป้า ต้องรอหมอออกมาก่อน ว่าเเต่ป้าแก้วรู้ได้ยังคะ ว่าเเม่อยู่ที่นี่”

           ฉันถามพร้อมกับนั่งลงเก้าอี้ข้างๆ ที่ติดกับป้าแก้ว

         “วันนี้ป้าไปหาแม่รินทร์ที่ร้านแหละ ปกติป้าก็รู้ว่ายายรัตน์แกออกจะขยัน ฝนตกแดดออกก็ไปขายข้าวแกงทุกวัน วันนี้ป้าก็เเวะไปหาที่ร้านปกติพอไม่เห็นก็เลยไปหาที่บ้าน แล้วไอ้จ๋อยข้างบ้านก็บอกป้ามาว่าอยู่ที่โรงพยาบาล มีรถมารับไป แล้วก็ถามๆ กับพวกเจ้าหน้าที่เค้าก็บอกว่าอยู่นี่เลยตามมาถูกแหละ รินทร์เอ้ย”

          ครืดดด ครื๊ดดดด~ โทรศัพท์ยังสั่นต่อไม่หยุด

         “ใครโทรมาล่ะ รับสิลูก เผื่อเค้ามีธุระสำคัญ”

          คงไม่ใช่ป้าแก้วคนเดียวสินะ ที่โทรมา

         “อืมม ค่ะป้าแก้ว”

         จริงๆ ฉันก็เริ่มที่จะรำคาญเสียงนี้แล้วเหมือนกัน  เป็นเบอร์ที่ไม่มีชื่อ แต่ทำไมเบอร์มันคุ้นตาหรือฉันคิดไปเอง  ฉันกดรับยังไม่ทันได้พูดอะไรปลายสายก็สวนกลับมาทันที

         “รินทร์แกจะมางานบ้านฉันปะ นี่ก็กว่าจะรับสายฉันสักทีนะ นึกว่าเป็นอะไร ฉันโทรไปจนคิดว่าจะไปตามแกที่บ้านละ แล้วนี่แกอยู่ไหนเนี่ย เพื่อนๆ มาบ้านฉันกันเกือบครบเเล้วนะย๊ะ นี่ขาดแกกับนับดาว”

          เสียงยัยแก้วตาที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี และคงจะเป็นเบอร์ใหม่ที่เปลี่ยนเเค่เลขสองตัวท้ายจากเบอร์เดิม

          “อืมม ขอโทษทีนะแก พอดีเเม่ฉันเข้าโรงพยาบาลอ่ะ”

          “อ้าว!! แล้วป้ารัตน์แม่แกเป็นไงบ้าง”

          “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ขอโทษนะแกฉันคงไปงานเลี้ยงที่บ้านแกไม่ได้แล้วจริงๆ อ่ะ”

          “แหม๋ แก!! ฉันเข้าใจ เเล้วนี่อยู่กับใคร  เอ้อนี่นับดาวมาพอดีเดี๋ยวฉันชวนนับไปหาแกดีกว่า”

          “แกๆ ไม่เป็นไร ฉันอยู่กับป้าแก้วอ่ะ แถวนี้คนก็เยอะเเยะเต็มไปหมด แกมาเดี๋ยวจะลำบากเปล่าๆ อีกอย่างแกเป็นเจ้าของบ้านถ้าแกมาแล้วเดี๋ยวเพื่อนคนอื่นๆ จะไม่สนุกเอา”

          “งั้น เดี๋ยวฉันบอกนับดาวให้ไปอยู่เป็นเพื่อนแกแล้วกัน”  

          “ไม่ต้องๆ ฉันอยู่ได้ แล้วไม่ต้องบอกใครเรื่องเเม่ฉันนะ โดยเฉพาะนับดาว บอกว่าฉันติดธุระสำคัญต้องไปกับเเม่ เข้าใจไหมยัยตา”

          ถึงฉันจะพูดออกไปแบบนั้นก็จริง แต่คำพูดกับความต้องการของฉันตอนนี้มันกำลังตรงข้ามกัน เพราะเวลาที่ฉันมีเรื่องไม่สบายใจ จะมีนับดาวคอยรับฟังเสมอ
           
         “เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ใช่ไหมรินทร์”

          ฉันสะดุ้งเล็กน้อย เพราะนี่เป็นเสียงของนับดาวที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี มันทำให้ฉันพูดอะไรไม่ออก ฉันควรที่จะไม่รู้สึกอะไรใช่ไหม เเต่ทำไมฉันถึงรู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงนี้

         “เงียบทำไม แล้วทำไมถึงพูดออกมาว่าให้บอกคนอื่นๆ แบบนั้นด้วยล่ะ แล้วเรื่องวันนี้ทำไมต้องเดินหนีเราด้วย เราเสียใจมากนะรินทร์ ถ้าไม่ได้รู้สึกเกินเลยอะไรกับเราจริงๆ เรากลับมาเป็นเพื่อนเหมือนเดิมก็ได้นะ เราอยากมีแกเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในเรื่องราวของชีวิต ได้มั้ยรินทร์”
    
         ตุบบ!! ฉันทำโทรศัพท์ล่วงหล่นไปที่พื้น “ทำไมมือไม้ถึงได้อ่อนขนาดนี้นะรินทร์ เหมือนใจก็จะอ่อนด้วย” ฉันบ่นกับตัวเองเเละรีบหยิบขึ้นมาดู หน้าจอก็ดำสนิท ฉันเลยต้องขยับแบตเตอรี่ด้านหลังเครื่องเเละเปิดเครื่องใหม่ถึงจะใช้งานได้ตามปกติ ฉันไม่รู้ว่าจะโทรกลับดีไหม หรือจะปล่อยไว้เเบบนั้นก่อนดี เเต่เดี๋ยวยัยแก้วตาก็คงจะบอกเรื่องที่เเม่ฉันเข้าโรงพยาบาลให้นับดาวรู้แหละมั้ง หรือว่าจะไม่บอกนะ หรือๆๆๆ เฮ้อ~ ทำไมฉันเป็นคนคิดเยอะเเบบนี้นะ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นไบโพล่าขึ้นมาทุกทีละ

         ฉันตัดสินใจโทรกลับไปโดยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ถ้าได้คุยกับนับดาว จะตอบรับการเป็นเพื่อนดีไหมนะ แล้วนับดาวจะตัดใจจากเราได้จริงๆ หรือเปล่า

         ตื๊ดดด ตื๊ดดดด ตื๊ดดดดดดดด~

        “เออรินทร์ ไม่ต้องห่วงฉันยังไม่ได้บอกใครนะ เรื่องเเม่แกอ่ะ นับดาวก็ยังไม่ได้บอก อืมมแกฉันรู้เรื่องนับดาวกับแกแล้วนะ...”

        “อืมม ขอบใจมากยัยตา ส่วนเรื่องนับดาวกับฉัน...”  
       
        พลักกก!! ประตูเปิดออก
  
       “ยัยตาเดี๋ยวเเค่นี้ก่อนนะ”

        ประตูที่ก่อนหน้านี้ฉันรอให้คุณหมอออกมา ฉันกับป้าแก้วรีบเข้าไปหาอย่างดูออกว่าคนนี้คงจะเป็นหมอแน่ๆ  

          “หมอคะ แม่หนูเป็นยังไงบ้างคะ”

          “เพื่อนฉันเป็นไงบ้างหมอ”

           ป้าแก้วถามเสริม

           “คนไข้หมดสติไปเกิดจากมีน้ำตาลในเลือดสูงและมีความดันต่ำ ส่วนใหญ่จะพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน แต่ในกรณีของคนไข้ยังไม่เคยมีประวัติการรักษาเกี่ยวกับโรคนี้มาก่อน หรือแม้แต่ประวัติการตรวจสุขภาพประจำปี ยังไงอาทิตย์หน้าก็อย่าลืมพาคนไข้มาตรวจสุขภาพให้ละเอียดอีกทีนะคะ คืนนี้ให้คนไข้พักผ่อนดูอาการอยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวอีกสักพักจะมีคนเข็นคนไข้พาไปที่ห้องพักรวมอีกทีค่ะ ถ้าไม่มีอะไรพรุ่งนี้เช้าก็กลับบ้านได้เลยค่ะ แต่อย่าลืมพาคนไข้มาหาหมออีกทีนะคะ”

           คุณหมอคาดว่าน่าจะวัยกลางคนพูดจบก็ยิ้มให้ฉันกับป้าแก้วอย่างเป็นมารยาท ก่อนจะขอตัวเดินจากไป

         ฉันนั่งรออยู่ข้างนอกกับป้าแก้วอีกสักพักก็มีคนเข็นแม่ออกมาและพาไปยังห้องพักรวม ฉันกับป้าแก้วก็เดินตามไปติดๆ อย่างไม่พูดอะไรมาก    
         พออะไรเข้าที่เข้าทาง ฉันก็เห็นแม่หลับตาปริบๆ เหมือนแม่กำลังจะพูดอะไรออกมา

          ก่อนหน้านี้ฉันมีเรื่องสงสัยอยู่เหมือนกัน อยากจะถามว่าทำไมแม่ไม่มาหาหมอเลย อยากจะพูดว่า ถ้าแม่ไม่อยู่แล้วฉันจะอยู่ยังไง แต่ตอนนี้ฉันอยากให้แม่นอนพักผ่อน กลับไปบ้านแล้วค่อยพูดคุยกันดีกว่า

         “แม่อย่าเพิ่งพูดอะไรมากนะ พักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวหมอเค้าอนุญาตให้แม่กลับบ้านได้พรุ่งนี้เช้า”  

          พอฉันพูดจบป้าแก้วที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัวฉันคนนึงก็บอกกับฉันว่า
           
         “รินทร์กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะลูก เดี๋ยวทางนี้ป้าดูแลเอง ตอนมามากับรถของโรงพยาบาลใช่ไหม เดี๋ยวรินทร์ขับรถป้ากลับบ้านแบ้วกัน มันค่ำมืดแล้วอันตราย”
       
          “ไม่เป็นไรค่ะ ป้าแก้วลำบากป้าเปล่าๆ”

          “เอาเถอะบ้านป้าก็อยู่ใกล้นิดเดียว เดี๋ยวถ้ามีอะไรป้าโทรบอกให้ตาปิ๊บผัวป้ามาหาเอง ไปๆ เดี๋ยวมันจะไม่ได้กลับกันพอดี ค่ำกว่านี้จะอันตราย”

           “ขอบคุณมากค่ะป้าแก้ว”

            หลังจากฉันพูดคุยกับป้าแก้วเสร็จ แม่ฉันก็พยักหน้าประมาณว่าให้ฉันกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ฉันจึงบอกกับแม่และป้าแก้วว่า

          “งั้นรินทร์ไปแล้วนะคะ พรุ่งนี้จะรีบมาหาแต่เช้า”

          พอฉันกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบจะสี่ทุ่มได้  กว่าจะเก็บข้าวของที่แม่เตรียมจะเอาไปขายแต่ไม่ได้ขายเสร็จ ก็ล่วงเวลาไปจนห้าทุ่มครึ่ง  ฉันกำลังคิดว่าจะทำยังไงกับข้าวแกงบางอย่างที่แม่ทำเสร็จแล้วดี เพราะแม่ไม่เคยอุ่นกับข้าวที่เหลือหรือแกงที่เหลือไปขายข้ามวันเลย เพราะแม่จะบอกเสมอว่า “คนที่เค้ามาซื้อกับข้าวกับเราเค้าเสียเงินมาซื้อเค้าก็อยากได้ของใหม่ๆ ในมุมมองคนซื้อบางคนไม่รู้หรอกว่าเราเอาอะไรไปขายให้เขา ไม่รู้ว่าของเก่าหรือใหม่ แต่มุมมองคนขายเรารู้ว่าเราทำอะไร เราต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า”

      “เฮ้อ~ แม่ฉันนี่คนดีจริงๆ”
       ฉันบ่นกับตัวเองคนเดียว อย่างคนที่ภูมิใจในตัวแม่ของตัวเอง แอบขำกับความคิดของตัวเองเหมือนกันแฮะ ฮ่ะฮ่า

        พอจัดการอะไรเรียบร้อยก็ไปอาบน้ำให้รู้สึกผ่อนคลายเพราะเหนื่อยกับวันนี้มาพอสมควร พออาบน้ำเสร็จ ฉันก็แต่งตัวมันเสียในห้องน้ำตามปกติที่ฉันชอบทำเวลาอาบน้ำก่อนนอน พอฉันออกจากห้องน้ำ กำลังจะเดินไปปิดไฟชั้นล่าง เพื่อขึ้นไปนอนบนห้องของฉัน
         
       ปิ๊งป่องง!!
       
       ปิ๊งป่องง!!

      “หืออ ดึกป่านนี้แล้วใครมากดออดหน้าบ้าน”

       ฉันบ่นกับตัวเองและก็กำลังเดินออกไปดูที่หน้าบ้าน ฉันรู้สึกแปลกใจเพราะปกติดึกขนาดนี้ถ้ามีธุระอะไรก็น่าจะโทรมาบอก นี่มาถึงที่บ้านเลยแฮะ

       ฉันมองดูคนที่อยู่หน้าบ้านฉันผ่านหน้าต่างก็เห็นรถคันนึงแล่นออกไป แต่ทิ้งใครคนนึงไว้ที่หน้าบ้านฉัน ฉันเพ่งมองออกไปให้ชัดๆ นั่นทำให้ฉันหัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้ตัวอีกทีฉันก็มาหยุดยืนที่หน้าบ้านตัวเอง ซึ่งมีรั้วกั้นระหว่างฉันกับใครอีกคนหนึ่ง

      “นับดาว.. ดึกแล้วมาทำอะไรที่นี่”  

      “รินทร์ เราอยากเจอรินทร์ เราขอนอนด้วยได้มั้ย”

      “นับมาที่นี่ได้ยังไง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
       
        ฉันถามเพราะฉันสงสัยทำไมอยู่ดีๆ รถที่บ้านนับดาวก็ขับออกไป  

        “รินทร์จะไม่ยอมให้เราเข้าไปคุยกันข้างในบ้านหรอ ข้างนอกยุงกัดมากเลยอ่ะ นี่เราโดนยุงกัดหมดแล้วดูสิ แขนแดงหมดเลย ดูสิๆ”

         นับดาวพูดพร้อมกับยื่นแขนมาให้ดู ซึ่งฉันก็มองไม่ค่อยเห็นชัดเท่าไหร่แต่ก็ยอมเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามา  
        พอนับดาวเข้ามาในบ้านก็หยิบจับนั่นนี่อย่างเคยชินเพราะมาที่บ้านฉันบ่อยๆ และนับดาวเริ่มเป็นฝ่ายพูดก่อน

        “เราให้คนขับรถที่บ้านกลับไปเองแหละ เรารู้เรื่องทั้งหมดจากแก้วตา เลยไปหาแม่รินทร์ที่โรงพยาบาลมาอ่ะ บอกว่ารินทร์อยู่ที่บ้านคนเดียว เราเลยอาสาจะมาอยู่เป็นเพื่อน ส่วนพ่อแม่เราสบายใจได้ เราขออนุญาตเรียบร้อย”

        “แล้วทำไมนับไม่โทรมาถามเราก่อนอ่ะ”

         นับดาวไม่ตอบคำถามแต่เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวของฉันที่แขวนตากอยู่ที่ ราวตากผ้าอันเล็กๆ ที่ไว้สำหรับตากผ้าเช็ดตัวแถวๆ ห้องน้ำที่อยู่ในตัวบ้าน ที่อยู่ชั้นหนึ่งของบ้านก่อนที่จะพูดออกมาว่า

         “หาเสื้อผ้าให้ใส่ด้วยนะคะ”

         นับดาวขยิบตาให้ฉันหนึ่งทีก่อนที่จะปิดประตูเข้าห้องอาบน้ำไป

          ทั้งๆ ที่ฉันถูกเมินคำถามแท้ๆ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้กับการกระทำที่นับดาวทำออกมาเมื่อกี้นี้ ฉันบ่นในใจ “ทำไมชอบทำให้รู้สึกใจมันกระตุกแบบนี้นะ”

          ฉันที่นั่งรอนับดาวก็เปิดทีวีดูอะไรเพลินๆ พอผ่านไปไม่ถึงยี่สิบนาที นับดาวก็ออกมาจากห้องน้ำ

          “รินทร์เตรียมชุดให้เราแล้วใช่ปะ”

          นับดาวยืนถามฉันอยู่ที่หน้าห้องน้ำ พร้อมกับพันตัวด้วยผ้าขนหนูผืนเดียว และยืนหอบเสื้อผ้าที่ใส่แล้ว ซึ่งหน้าห้องน้ำกับบริเวณที่ฉันดูทีวีมันห่างกันไม่มากเท่าไหร่
          ฉันลืมไปสนิทเลย เรื่องชุดนอน  
    
         “ลืมไปเลยอ่ะ โทษทีนะ นับไปดูที่ตู้เสื้อผ้าห้องเราเลยก็ได้ จะใส่ตัวไหนก็ใส่  เสื้อผ้าของนับที่ใส่แล้วก็ใส่ไว้ในตระกร้าบนห้องนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราเอาไปซักให้”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่