Chapter 6 พอเถอะ
เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่มีคนเข็นแม่เข้าไปข้างใน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมานั่งรอคนที่ฉันรักและรู้จักที่หน้าห้องแห่งนี้ โดยเฉพาะเเม่ แม่ของตัวฉันเอง ในหัวของฉันตอนนี้มันกลัวไปหมด กลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไป ถ้าเเม่เป็นอะไรแล้วฉันจะทำยังไง จะอยู่ยังไง ฉันมีแม่คนเดียว คนในครอบครัวเพียงคนเดียวนั่นก็คือแม่ กลัว กลัวไปหมด ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนหัวใจของฉันมันกำลังค่อยๆ บีบตัว เหมือนน้ำตามันกำลังจะไหลออกมา
ครืดดด ครืดดดดดดด~ เสียงโทรศัพท์สั่น ฉันไม่มีกระจิตกระใจเเม้เเต่จะพูดคุยกับใครทั้งนั้น ยกเว้นหมอ พยาบาลหรือใครก็ได้ที่อยู่ข้างในนั้น
ครื๊ดดดด ครื๊ดดดดดด~ ฉันปล่อยไว้แบบนั้นโดยที่ไม่สนใจมันอีกเลย
พลักก!! ประตูเปิดออก
ฉันรีบพุ่งตัวไปหาคนที่ออกมาทันที
“แม่หนูปลอดภัยดีใช่ไหมคะ ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ”
“เดี๋ยวน้องรอให้คุณหมอท่านออกมาบอกน่าจะดีกว่าค่ะ”
ผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดสีขาวๆ คาดว่าน่าจะเป็นพยาบาล พอพูดจบก็ค่อยๆ เดินเข้ามาหาฉันจับมือทั้งสองข้างของฉันมาประกบกันพร้อมกับกุมมือฉันไว้เเน่น ก่อนที่จะเดินจากไป
อะไรกัน ฉันไม่อยากทนอยู่กับความคิดของตัวเองแบบนี้เลย ฉันกลัว กลัวว่าเเม่จะเป็นอะไร ฉันไม่อยากรอเเล้ว
“รินทร์!!!”
ฉันหันไปหาต้นเสียงที่ฉันเคยได้ยินบ่อยๆ
“ป้าโทรมาหาหนูตั้งหลายสาย ทำไมไม่รับสายป้า เเล้วนี่เเม่เป็นยังไงบ้างลูก”
นั่นเสียงของป้าแก้ว ป้าแก้วถามฉันพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ ที่มีไว้สำหรับนั่งรอ ที่เหมือนว่าบริเวณนี้จะมีเเค่ฉันกับป้าแก้วอยู่กันแค่สองคน
“หมอยังไม่ออกมาเลยค่ะป้า ต้องรอหมอออกมาก่อน ว่าเเต่ป้าแก้วรู้ได้ยังคะ ว่าเเม่อยู่ที่นี่”
ฉันถามพร้อมกับนั่งลงเก้าอี้ข้างๆ ที่ติดกับป้าแก้ว
“วันนี้ป้าไปหาแม่รินทร์ที่ร้านแหละ ปกติป้าก็รู้ว่ายายรัตน์แกออกจะขยัน ฝนตกแดดออกก็ไปขายข้าวแกงทุกวัน วันนี้ป้าก็เเวะไปหาที่ร้านปกติพอไม่เห็นก็เลยไปหาที่บ้าน แล้วไอ้จ๋อยข้างบ้านก็บอกป้ามาว่าอยู่ที่โรงพยาบาล มีรถมารับไป แล้วก็ถามๆ กับพวกเจ้าหน้าที่เค้าก็บอกว่าอยู่นี่เลยตามมาถูกแหละ รินทร์เอ้ย”
ครืดดด ครื๊ดดดด~ โทรศัพท์ยังสั่นต่อไม่หยุด
“ใครโทรมาล่ะ รับสิลูก เผื่อเค้ามีธุระสำคัญ”
คงไม่ใช่ป้าแก้วคนเดียวสินะ ที่โทรมา
“อืมม ค่ะป้าแก้ว”
จริงๆ ฉันก็เริ่มที่จะรำคาญเสียงนี้แล้วเหมือนกัน เป็นเบอร์ที่ไม่มีชื่อ แต่ทำไมเบอร์มันคุ้นตาหรือฉันคิดไปเอง ฉันกดรับยังไม่ทันได้พูดอะไรปลายสายก็สวนกลับมาทันที
“รินทร์แกจะมางานบ้านฉันปะ นี่ก็กว่าจะรับสายฉันสักทีนะ นึกว่าเป็นอะไร ฉันโทรไปจนคิดว่าจะไปตามแกที่บ้านละ แล้วนี่แกอยู่ไหนเนี่ย เพื่อนๆ มาบ้านฉันกันเกือบครบเเล้วนะย๊ะ นี่ขาดแกกับนับดาว”
เสียงยัยแก้วตาที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี และคงจะเป็นเบอร์ใหม่ที่เปลี่ยนเเค่เลขสองตัวท้ายจากเบอร์เดิม
“อืมม ขอโทษทีนะแก พอดีเเม่ฉันเข้าโรงพยาบาลอ่ะ”
“อ้าว!! แล้วป้ารัตน์แม่แกเป็นไงบ้าง”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ขอโทษนะแกฉันคงไปงานเลี้ยงที่บ้านแกไม่ได้แล้วจริงๆ อ่ะ”
“แหม๋ แก!! ฉันเข้าใจ เเล้วนี่อยู่กับใคร เอ้อนี่นับดาวมาพอดีเดี๋ยวฉันชวนนับไปหาแกดีกว่า”
“แกๆ ไม่เป็นไร ฉันอยู่กับป้าแก้วอ่ะ แถวนี้คนก็เยอะเเยะเต็มไปหมด แกมาเดี๋ยวจะลำบากเปล่าๆ อีกอย่างแกเป็นเจ้าของบ้านถ้าแกมาแล้วเดี๋ยวเพื่อนคนอื่นๆ จะไม่สนุกเอา”
“งั้น เดี๋ยวฉันบอกนับดาวให้ไปอยู่เป็นเพื่อนแกแล้วกัน”
“ไม่ต้องๆ ฉันอยู่ได้ แล้วไม่ต้องบอกใครเรื่องเเม่ฉันนะ โดยเฉพาะนับดาว บอกว่าฉันติดธุระสำคัญต้องไปกับเเม่ เข้าใจไหมยัยตา”
ถึงฉันจะพูดออกไปแบบนั้นก็จริง แต่คำพูดกับความต้องการของฉันตอนนี้มันกำลังตรงข้ามกัน เพราะเวลาที่ฉันมีเรื่องไม่สบายใจ จะมีนับดาวคอยรับฟังเสมอ
“เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ใช่ไหมรินทร์”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อย เพราะนี่เป็นเสียงของนับดาวที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี มันทำให้ฉันพูดอะไรไม่ออก ฉันควรที่จะไม่รู้สึกอะไรใช่ไหม เเต่ทำไมฉันถึงรู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงนี้
“เงียบทำไม แล้วทำไมถึงพูดออกมาว่าให้บอกคนอื่นๆ แบบนั้นด้วยล่ะ แล้วเรื่องวันนี้ทำไมต้องเดินหนีเราด้วย เราเสียใจมากนะรินทร์ ถ้าไม่ได้รู้สึกเกินเลยอะไรกับเราจริงๆ เรากลับมาเป็นเพื่อนเหมือนเดิมก็ได้นะ เราอยากมีแกเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในเรื่องราวของชีวิต ได้มั้ยรินทร์”
ตุบบ!! ฉันทำโทรศัพท์ล่วงหล่นไปที่พื้น “ทำไมมือไม้ถึงได้อ่อนขนาดนี้นะรินทร์ เหมือนใจก็จะอ่อนด้วย” ฉันบ่นกับตัวเองเเละรีบหยิบขึ้นมาดู หน้าจอก็ดำสนิท ฉันเลยต้องขยับแบตเตอรี่ด้านหลังเครื่องเเละเปิดเครื่องใหม่ถึงจะใช้งานได้ตามปกติ ฉันไม่รู้ว่าจะโทรกลับดีไหม หรือจะปล่อยไว้เเบบนั้นก่อนดี เเต่เดี๋ยวยัยแก้วตาก็คงจะบอกเรื่องที่เเม่ฉันเข้าโรงพยาบาลให้นับดาวรู้แหละมั้ง หรือว่าจะไม่บอกนะ หรือๆๆๆ เฮ้อ~ ทำไมฉันเป็นคนคิดเยอะเเบบนี้นะ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นไบโพล่าขึ้นมาทุกทีละ
ฉันตัดสินใจโทรกลับไปโดยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ถ้าได้คุยกับนับดาว จะตอบรับการเป็นเพื่อนดีไหมนะ แล้วนับดาวจะตัดใจจากเราได้จริงๆ หรือเปล่า
ตื๊ดดด ตื๊ดดดด ตื๊ดดดดดดดด~
“เออรินทร์ ไม่ต้องห่วงฉันยังไม่ได้บอกใครนะ เรื่องเเม่แกอ่ะ นับดาวก็ยังไม่ได้บอก อืมมแกฉันรู้เรื่องนับดาวกับแกแล้วนะ...”
“อืมม ขอบใจมากยัยตา ส่วนเรื่องนับดาวกับฉัน...”
พลักกก!! ประตูเปิดออก
“ยัยตาเดี๋ยวเเค่นี้ก่อนนะ”
ประตูที่ก่อนหน้านี้ฉันรอให้คุณหมอออกมา ฉันกับป้าแก้วรีบเข้าไปหาอย่างดูออกว่าคนนี้คงจะเป็นหมอแน่ๆ
“หมอคะ แม่หนูเป็นยังไงบ้างคะ”
“เพื่อนฉันเป็นไงบ้างหมอ”
ป้าแก้วถามเสริม
“คนไข้หมดสติไปเกิดจากมีน้ำตาลในเลือดสูงและมีความดันต่ำ ส่วนใหญ่จะพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน แต่ในกรณีของคนไข้ยังไม่เคยมีประวัติการรักษาเกี่ยวกับโรคนี้มาก่อน หรือแม้แต่ประวัติการตรวจสุขภาพประจำปี ยังไงอาทิตย์หน้าก็อย่าลืมพาคนไข้มาตรวจสุขภาพให้ละเอียดอีกทีนะคะ คืนนี้ให้คนไข้พักผ่อนดูอาการอยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวอีกสักพักจะมีคนเข็นคนไข้พาไปที่ห้องพักรวมอีกทีค่ะ ถ้าไม่มีอะไรพรุ่งนี้เช้าก็กลับบ้านได้เลยค่ะ แต่อย่าลืมพาคนไข้มาหาหมออีกทีนะคะ”
คุณหมอคาดว่าน่าจะวัยกลางคนพูดจบก็ยิ้มให้ฉันกับป้าแก้วอย่างเป็นมารยาท ก่อนจะขอตัวเดินจากไป
ฉันนั่งรออยู่ข้างนอกกับป้าแก้วอีกสักพักก็มีคนเข็นแม่ออกมาและพาไปยังห้องพักรวม ฉันกับป้าแก้วก็เดินตามไปติดๆ อย่างไม่พูดอะไรมาก
พออะไรเข้าที่เข้าทาง ฉันก็เห็นแม่หลับตาปริบๆ เหมือนแม่กำลังจะพูดอะไรออกมา
ก่อนหน้านี้ฉันมีเรื่องสงสัยอยู่เหมือนกัน อยากจะถามว่าทำไมแม่ไม่มาหาหมอเลย อยากจะพูดว่า ถ้าแม่ไม่อยู่แล้วฉันจะอยู่ยังไง แต่ตอนนี้ฉันอยากให้แม่นอนพักผ่อน กลับไปบ้านแล้วค่อยพูดคุยกันดีกว่า
“แม่อย่าเพิ่งพูดอะไรมากนะ พักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวหมอเค้าอนุญาตให้แม่กลับบ้านได้พรุ่งนี้เช้า”
พอฉันพูดจบป้าแก้วที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัวฉันคนนึงก็บอกกับฉันว่า
“รินทร์กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะลูก เดี๋ยวทางนี้ป้าดูแลเอง ตอนมามากับรถของโรงพยาบาลใช่ไหม เดี๋ยวรินทร์ขับรถป้ากลับบ้านแบ้วกัน มันค่ำมืดแล้วอันตราย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าแก้วลำบากป้าเปล่าๆ”
“เอาเถอะบ้านป้าก็อยู่ใกล้นิดเดียว เดี๋ยวถ้ามีอะไรป้าโทรบอกให้ตาปิ๊บผัวป้ามาหาเอง ไปๆ เดี๋ยวมันจะไม่ได้กลับกันพอดี ค่ำกว่านี้จะอันตราย”
“ขอบคุณมากค่ะป้าแก้ว”
หลังจากฉันพูดคุยกับป้าแก้วเสร็จ แม่ฉันก็พยักหน้าประมาณว่าให้ฉันกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ฉันจึงบอกกับแม่และป้าแก้วว่า
“งั้นรินทร์ไปแล้วนะคะ พรุ่งนี้จะรีบมาหาแต่เช้า”
พอฉันกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบจะสี่ทุ่มได้ กว่าจะเก็บข้าวของที่แม่เตรียมจะเอาไปขายแต่ไม่ได้ขายเสร็จ ก็ล่วงเวลาไปจนห้าทุ่มครึ่ง ฉันกำลังคิดว่าจะทำยังไงกับข้าวแกงบางอย่างที่แม่ทำเสร็จแล้วดี เพราะแม่ไม่เคยอุ่นกับข้าวที่เหลือหรือแกงที่เหลือไปขายข้ามวันเลย เพราะแม่จะบอกเสมอว่า “คนที่เค้ามาซื้อกับข้าวกับเราเค้าเสียเงินมาซื้อเค้าก็อยากได้ของใหม่ๆ ในมุมมองคนซื้อบางคนไม่รู้หรอกว่าเราเอาอะไรไปขายให้เขา ไม่รู้ว่าของเก่าหรือใหม่ แต่มุมมองคนขายเรารู้ว่าเราทำอะไร เราต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า”
“เฮ้อ~ แม่ฉันนี่คนดีจริงๆ”
ฉันบ่นกับตัวเองคนเดียว อย่างคนที่ภูมิใจในตัวแม่ของตัวเอง แอบขำกับความคิดของตัวเองเหมือนกันแฮะ ฮ่ะฮ่า
พอจัดการอะไรเรียบร้อยก็ไปอาบน้ำให้รู้สึกผ่อนคลายเพราะเหนื่อยกับวันนี้มาพอสมควร พออาบน้ำเสร็จ ฉันก็แต่งตัวมันเสียในห้องน้ำตามปกติที่ฉันชอบทำเวลาอาบน้ำก่อนนอน พอฉันออกจากห้องน้ำ กำลังจะเดินไปปิดไฟชั้นล่าง เพื่อขึ้นไปนอนบนห้องของฉัน
ปิ๊งป่องง!!
ปิ๊งป่องง!!
“หืออ ดึกป่านนี้แล้วใครมากดออดหน้าบ้าน”
ฉันบ่นกับตัวเองและก็กำลังเดินออกไปดูที่หน้าบ้าน ฉันรู้สึกแปลกใจเพราะปกติดึกขนาดนี้ถ้ามีธุระอะไรก็น่าจะโทรมาบอก นี่มาถึงที่บ้านเลยแฮะ
ฉันมองดูคนที่อยู่หน้าบ้านฉันผ่านหน้าต่างก็เห็นรถคันนึงแล่นออกไป แต่ทิ้งใครคนนึงไว้ที่หน้าบ้านฉัน ฉันเพ่งมองออกไปให้ชัดๆ นั่นทำให้ฉันหัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้ตัวอีกทีฉันก็มาหยุดยืนที่หน้าบ้านตัวเอง ซึ่งมีรั้วกั้นระหว่างฉันกับใครอีกคนหนึ่ง
“นับดาว.. ดึกแล้วมาทำอะไรที่นี่”
“รินทร์ เราอยากเจอรินทร์ เราขอนอนด้วยได้มั้ย”
“นับมาที่นี่ได้ยังไง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
ฉันถามเพราะฉันสงสัยทำไมอยู่ดีๆ รถที่บ้านนับดาวก็ขับออกไป
“รินทร์จะไม่ยอมให้เราเข้าไปคุยกันข้างในบ้านหรอ ข้างนอกยุงกัดมากเลยอ่ะ นี่เราโดนยุงกัดหมดแล้วดูสิ แขนแดงหมดเลย ดูสิๆ”
นับดาวพูดพร้อมกับยื่นแขนมาให้ดู ซึ่งฉันก็มองไม่ค่อยเห็นชัดเท่าไหร่แต่ก็ยอมเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามา
พอนับดาวเข้ามาในบ้านก็หยิบจับนั่นนี่อย่างเคยชินเพราะมาที่บ้านฉันบ่อยๆ และนับดาวเริ่มเป็นฝ่ายพูดก่อน
“เราให้คนขับรถที่บ้านกลับไปเองแหละ เรารู้เรื่องทั้งหมดจากแก้วตา เลยไปหาแม่รินทร์ที่โรงพยาบาลมาอ่ะ บอกว่ารินทร์อยู่ที่บ้านคนเดียว เราเลยอาสาจะมาอยู่เป็นเพื่อน ส่วนพ่อแม่เราสบายใจได้ เราขออนุญาตเรียบร้อย”
“แล้วทำไมนับไม่โทรมาถามเราก่อนอ่ะ”
นับดาวไม่ตอบคำถามแต่เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวของฉันที่แขวนตากอยู่ที่ ราวตากผ้าอันเล็กๆ ที่ไว้สำหรับตากผ้าเช็ดตัวแถวๆ ห้องน้ำที่อยู่ในตัวบ้าน ที่อยู่ชั้นหนึ่งของบ้านก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“หาเสื้อผ้าให้ใส่ด้วยนะคะ”
นับดาวขยิบตาให้ฉันหนึ่งทีก่อนที่จะปิดประตูเข้าห้องอาบน้ำไป
ทั้งๆ ที่ฉันถูกเมินคำถามแท้ๆ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้กับการกระทำที่นับดาวทำออกมาเมื่อกี้นี้ ฉันบ่นในใจ “ทำไมชอบทำให้รู้สึกใจมันกระตุกแบบนี้นะ”
ฉันที่นั่งรอนับดาวก็เปิดทีวีดูอะไรเพลินๆ พอผ่านไปไม่ถึงยี่สิบนาที นับดาวก็ออกมาจากห้องน้ำ
“รินทร์เตรียมชุดให้เราแล้วใช่ปะ”
นับดาวยืนถามฉันอยู่ที่หน้าห้องน้ำ พร้อมกับพันตัวด้วยผ้าขนหนูผืนเดียว และยืนหอบเสื้อผ้าที่ใส่แล้ว ซึ่งหน้าห้องน้ำกับบริเวณที่ฉันดูทีวีมันห่างกันไม่มากเท่าไหร่
ฉันลืมไปสนิทเลย เรื่องชุดนอน
“ลืมไปเลยอ่ะ โทษทีนะ นับไปดูที่ตู้เสื้อผ้าห้องเราเลยก็ได้ จะใส่ตัวไหนก็ใส่ เสื้อผ้าของนับที่ใส่แล้วก็ใส่ไว้ในตระกร้าบนห้องนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราเอาไปซักให้”
ดารินทร์ ดาริน ตอนที่ 7
เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่มีคนเข็นแม่เข้าไปข้างใน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมานั่งรอคนที่ฉันรักและรู้จักที่หน้าห้องแห่งนี้ โดยเฉพาะเเม่ แม่ของตัวฉันเอง ในหัวของฉันตอนนี้มันกลัวไปหมด กลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไป ถ้าเเม่เป็นอะไรแล้วฉันจะทำยังไง จะอยู่ยังไง ฉันมีแม่คนเดียว คนในครอบครัวเพียงคนเดียวนั่นก็คือแม่ กลัว กลัวไปหมด ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนหัวใจของฉันมันกำลังค่อยๆ บีบตัว เหมือนน้ำตามันกำลังจะไหลออกมา
ครืดดด ครืดดดดดดด~ เสียงโทรศัพท์สั่น ฉันไม่มีกระจิตกระใจเเม้เเต่จะพูดคุยกับใครทั้งนั้น ยกเว้นหมอ พยาบาลหรือใครก็ได้ที่อยู่ข้างในนั้น
ครื๊ดดดด ครื๊ดดดดดด~ ฉันปล่อยไว้แบบนั้นโดยที่ไม่สนใจมันอีกเลย
พลักก!! ประตูเปิดออก
ฉันรีบพุ่งตัวไปหาคนที่ออกมาทันที
“แม่หนูปลอดภัยดีใช่ไหมคะ ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ”
“เดี๋ยวน้องรอให้คุณหมอท่านออกมาบอกน่าจะดีกว่าค่ะ”
ผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดสีขาวๆ คาดว่าน่าจะเป็นพยาบาล พอพูดจบก็ค่อยๆ เดินเข้ามาหาฉันจับมือทั้งสองข้างของฉันมาประกบกันพร้อมกับกุมมือฉันไว้เเน่น ก่อนที่จะเดินจากไป
อะไรกัน ฉันไม่อยากทนอยู่กับความคิดของตัวเองแบบนี้เลย ฉันกลัว กลัวว่าเเม่จะเป็นอะไร ฉันไม่อยากรอเเล้ว
“รินทร์!!!”
ฉันหันไปหาต้นเสียงที่ฉันเคยได้ยินบ่อยๆ
“ป้าโทรมาหาหนูตั้งหลายสาย ทำไมไม่รับสายป้า เเล้วนี่เเม่เป็นยังไงบ้างลูก”
นั่นเสียงของป้าแก้ว ป้าแก้วถามฉันพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ ที่มีไว้สำหรับนั่งรอ ที่เหมือนว่าบริเวณนี้จะมีเเค่ฉันกับป้าแก้วอยู่กันแค่สองคน
“หมอยังไม่ออกมาเลยค่ะป้า ต้องรอหมอออกมาก่อน ว่าเเต่ป้าแก้วรู้ได้ยังคะ ว่าเเม่อยู่ที่นี่”
ฉันถามพร้อมกับนั่งลงเก้าอี้ข้างๆ ที่ติดกับป้าแก้ว
“วันนี้ป้าไปหาแม่รินทร์ที่ร้านแหละ ปกติป้าก็รู้ว่ายายรัตน์แกออกจะขยัน ฝนตกแดดออกก็ไปขายข้าวแกงทุกวัน วันนี้ป้าก็เเวะไปหาที่ร้านปกติพอไม่เห็นก็เลยไปหาที่บ้าน แล้วไอ้จ๋อยข้างบ้านก็บอกป้ามาว่าอยู่ที่โรงพยาบาล มีรถมารับไป แล้วก็ถามๆ กับพวกเจ้าหน้าที่เค้าก็บอกว่าอยู่นี่เลยตามมาถูกแหละ รินทร์เอ้ย”
ครืดดด ครื๊ดดดด~ โทรศัพท์ยังสั่นต่อไม่หยุด
“ใครโทรมาล่ะ รับสิลูก เผื่อเค้ามีธุระสำคัญ”
คงไม่ใช่ป้าแก้วคนเดียวสินะ ที่โทรมา
“อืมม ค่ะป้าแก้ว”
จริงๆ ฉันก็เริ่มที่จะรำคาญเสียงนี้แล้วเหมือนกัน เป็นเบอร์ที่ไม่มีชื่อ แต่ทำไมเบอร์มันคุ้นตาหรือฉันคิดไปเอง ฉันกดรับยังไม่ทันได้พูดอะไรปลายสายก็สวนกลับมาทันที
“รินทร์แกจะมางานบ้านฉันปะ นี่ก็กว่าจะรับสายฉันสักทีนะ นึกว่าเป็นอะไร ฉันโทรไปจนคิดว่าจะไปตามแกที่บ้านละ แล้วนี่แกอยู่ไหนเนี่ย เพื่อนๆ มาบ้านฉันกันเกือบครบเเล้วนะย๊ะ นี่ขาดแกกับนับดาว”
เสียงยัยแก้วตาที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี และคงจะเป็นเบอร์ใหม่ที่เปลี่ยนเเค่เลขสองตัวท้ายจากเบอร์เดิม
“อืมม ขอโทษทีนะแก พอดีเเม่ฉันเข้าโรงพยาบาลอ่ะ”
“อ้าว!! แล้วป้ารัตน์แม่แกเป็นไงบ้าง”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ขอโทษนะแกฉันคงไปงานเลี้ยงที่บ้านแกไม่ได้แล้วจริงๆ อ่ะ”
“แหม๋ แก!! ฉันเข้าใจ เเล้วนี่อยู่กับใคร เอ้อนี่นับดาวมาพอดีเดี๋ยวฉันชวนนับไปหาแกดีกว่า”
“แกๆ ไม่เป็นไร ฉันอยู่กับป้าแก้วอ่ะ แถวนี้คนก็เยอะเเยะเต็มไปหมด แกมาเดี๋ยวจะลำบากเปล่าๆ อีกอย่างแกเป็นเจ้าของบ้านถ้าแกมาแล้วเดี๋ยวเพื่อนคนอื่นๆ จะไม่สนุกเอา”
“งั้น เดี๋ยวฉันบอกนับดาวให้ไปอยู่เป็นเพื่อนแกแล้วกัน”
“ไม่ต้องๆ ฉันอยู่ได้ แล้วไม่ต้องบอกใครเรื่องเเม่ฉันนะ โดยเฉพาะนับดาว บอกว่าฉันติดธุระสำคัญต้องไปกับเเม่ เข้าใจไหมยัยตา”
ถึงฉันจะพูดออกไปแบบนั้นก็จริง แต่คำพูดกับความต้องการของฉันตอนนี้มันกำลังตรงข้ามกัน เพราะเวลาที่ฉันมีเรื่องไม่สบายใจ จะมีนับดาวคอยรับฟังเสมอ
“เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ใช่ไหมรินทร์”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อย เพราะนี่เป็นเสียงของนับดาวที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี มันทำให้ฉันพูดอะไรไม่ออก ฉันควรที่จะไม่รู้สึกอะไรใช่ไหม เเต่ทำไมฉันถึงรู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงนี้
“เงียบทำไม แล้วทำไมถึงพูดออกมาว่าให้บอกคนอื่นๆ แบบนั้นด้วยล่ะ แล้วเรื่องวันนี้ทำไมต้องเดินหนีเราด้วย เราเสียใจมากนะรินทร์ ถ้าไม่ได้รู้สึกเกินเลยอะไรกับเราจริงๆ เรากลับมาเป็นเพื่อนเหมือนเดิมก็ได้นะ เราอยากมีแกเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในเรื่องราวของชีวิต ได้มั้ยรินทร์”
ตุบบ!! ฉันทำโทรศัพท์ล่วงหล่นไปที่พื้น “ทำไมมือไม้ถึงได้อ่อนขนาดนี้นะรินทร์ เหมือนใจก็จะอ่อนด้วย” ฉันบ่นกับตัวเองเเละรีบหยิบขึ้นมาดู หน้าจอก็ดำสนิท ฉันเลยต้องขยับแบตเตอรี่ด้านหลังเครื่องเเละเปิดเครื่องใหม่ถึงจะใช้งานได้ตามปกติ ฉันไม่รู้ว่าจะโทรกลับดีไหม หรือจะปล่อยไว้เเบบนั้นก่อนดี เเต่เดี๋ยวยัยแก้วตาก็คงจะบอกเรื่องที่เเม่ฉันเข้าโรงพยาบาลให้นับดาวรู้แหละมั้ง หรือว่าจะไม่บอกนะ หรือๆๆๆ เฮ้อ~ ทำไมฉันเป็นคนคิดเยอะเเบบนี้นะ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นไบโพล่าขึ้นมาทุกทีละ
ฉันตัดสินใจโทรกลับไปโดยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ถ้าได้คุยกับนับดาว จะตอบรับการเป็นเพื่อนดีไหมนะ แล้วนับดาวจะตัดใจจากเราได้จริงๆ หรือเปล่า
ตื๊ดดด ตื๊ดดดด ตื๊ดดดดดดดด~
“เออรินทร์ ไม่ต้องห่วงฉันยังไม่ได้บอกใครนะ เรื่องเเม่แกอ่ะ นับดาวก็ยังไม่ได้บอก อืมมแกฉันรู้เรื่องนับดาวกับแกแล้วนะ...”
“อืมม ขอบใจมากยัยตา ส่วนเรื่องนับดาวกับฉัน...”
พลักกก!! ประตูเปิดออก
“ยัยตาเดี๋ยวเเค่นี้ก่อนนะ”
ประตูที่ก่อนหน้านี้ฉันรอให้คุณหมอออกมา ฉันกับป้าแก้วรีบเข้าไปหาอย่างดูออกว่าคนนี้คงจะเป็นหมอแน่ๆ
“หมอคะ แม่หนูเป็นยังไงบ้างคะ”
“เพื่อนฉันเป็นไงบ้างหมอ”
ป้าแก้วถามเสริม
“คนไข้หมดสติไปเกิดจากมีน้ำตาลในเลือดสูงและมีความดันต่ำ ส่วนใหญ่จะพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน แต่ในกรณีของคนไข้ยังไม่เคยมีประวัติการรักษาเกี่ยวกับโรคนี้มาก่อน หรือแม้แต่ประวัติการตรวจสุขภาพประจำปี ยังไงอาทิตย์หน้าก็อย่าลืมพาคนไข้มาตรวจสุขภาพให้ละเอียดอีกทีนะคะ คืนนี้ให้คนไข้พักผ่อนดูอาการอยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวอีกสักพักจะมีคนเข็นคนไข้พาไปที่ห้องพักรวมอีกทีค่ะ ถ้าไม่มีอะไรพรุ่งนี้เช้าก็กลับบ้านได้เลยค่ะ แต่อย่าลืมพาคนไข้มาหาหมออีกทีนะคะ”
คุณหมอคาดว่าน่าจะวัยกลางคนพูดจบก็ยิ้มให้ฉันกับป้าแก้วอย่างเป็นมารยาท ก่อนจะขอตัวเดินจากไป
ฉันนั่งรออยู่ข้างนอกกับป้าแก้วอีกสักพักก็มีคนเข็นแม่ออกมาและพาไปยังห้องพักรวม ฉันกับป้าแก้วก็เดินตามไปติดๆ อย่างไม่พูดอะไรมาก
พออะไรเข้าที่เข้าทาง ฉันก็เห็นแม่หลับตาปริบๆ เหมือนแม่กำลังจะพูดอะไรออกมา
ก่อนหน้านี้ฉันมีเรื่องสงสัยอยู่เหมือนกัน อยากจะถามว่าทำไมแม่ไม่มาหาหมอเลย อยากจะพูดว่า ถ้าแม่ไม่อยู่แล้วฉันจะอยู่ยังไง แต่ตอนนี้ฉันอยากให้แม่นอนพักผ่อน กลับไปบ้านแล้วค่อยพูดคุยกันดีกว่า
“แม่อย่าเพิ่งพูดอะไรมากนะ พักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวหมอเค้าอนุญาตให้แม่กลับบ้านได้พรุ่งนี้เช้า”
พอฉันพูดจบป้าแก้วที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัวฉันคนนึงก็บอกกับฉันว่า
“รินทร์กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะลูก เดี๋ยวทางนี้ป้าดูแลเอง ตอนมามากับรถของโรงพยาบาลใช่ไหม เดี๋ยวรินทร์ขับรถป้ากลับบ้านแบ้วกัน มันค่ำมืดแล้วอันตราย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าแก้วลำบากป้าเปล่าๆ”
“เอาเถอะบ้านป้าก็อยู่ใกล้นิดเดียว เดี๋ยวถ้ามีอะไรป้าโทรบอกให้ตาปิ๊บผัวป้ามาหาเอง ไปๆ เดี๋ยวมันจะไม่ได้กลับกันพอดี ค่ำกว่านี้จะอันตราย”
“ขอบคุณมากค่ะป้าแก้ว”
หลังจากฉันพูดคุยกับป้าแก้วเสร็จ แม่ฉันก็พยักหน้าประมาณว่าให้ฉันกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ฉันจึงบอกกับแม่และป้าแก้วว่า
“งั้นรินทร์ไปแล้วนะคะ พรุ่งนี้จะรีบมาหาแต่เช้า”
พอฉันกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบจะสี่ทุ่มได้ กว่าจะเก็บข้าวของที่แม่เตรียมจะเอาไปขายแต่ไม่ได้ขายเสร็จ ก็ล่วงเวลาไปจนห้าทุ่มครึ่ง ฉันกำลังคิดว่าจะทำยังไงกับข้าวแกงบางอย่างที่แม่ทำเสร็จแล้วดี เพราะแม่ไม่เคยอุ่นกับข้าวที่เหลือหรือแกงที่เหลือไปขายข้ามวันเลย เพราะแม่จะบอกเสมอว่า “คนที่เค้ามาซื้อกับข้าวกับเราเค้าเสียเงินมาซื้อเค้าก็อยากได้ของใหม่ๆ ในมุมมองคนซื้อบางคนไม่รู้หรอกว่าเราเอาอะไรไปขายให้เขา ไม่รู้ว่าของเก่าหรือใหม่ แต่มุมมองคนขายเรารู้ว่าเราทำอะไร เราต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า”
“เฮ้อ~ แม่ฉันนี่คนดีจริงๆ”
ฉันบ่นกับตัวเองคนเดียว อย่างคนที่ภูมิใจในตัวแม่ของตัวเอง แอบขำกับความคิดของตัวเองเหมือนกันแฮะ ฮ่ะฮ่า
พอจัดการอะไรเรียบร้อยก็ไปอาบน้ำให้รู้สึกผ่อนคลายเพราะเหนื่อยกับวันนี้มาพอสมควร พออาบน้ำเสร็จ ฉันก็แต่งตัวมันเสียในห้องน้ำตามปกติที่ฉันชอบทำเวลาอาบน้ำก่อนนอน พอฉันออกจากห้องน้ำ กำลังจะเดินไปปิดไฟชั้นล่าง เพื่อขึ้นไปนอนบนห้องของฉัน
ปิ๊งป่องง!!
ปิ๊งป่องง!!
“หืออ ดึกป่านนี้แล้วใครมากดออดหน้าบ้าน”
ฉันบ่นกับตัวเองและก็กำลังเดินออกไปดูที่หน้าบ้าน ฉันรู้สึกแปลกใจเพราะปกติดึกขนาดนี้ถ้ามีธุระอะไรก็น่าจะโทรมาบอก นี่มาถึงที่บ้านเลยแฮะ
ฉันมองดูคนที่อยู่หน้าบ้านฉันผ่านหน้าต่างก็เห็นรถคันนึงแล่นออกไป แต่ทิ้งใครคนนึงไว้ที่หน้าบ้านฉัน ฉันเพ่งมองออกไปให้ชัดๆ นั่นทำให้ฉันหัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้ตัวอีกทีฉันก็มาหยุดยืนที่หน้าบ้านตัวเอง ซึ่งมีรั้วกั้นระหว่างฉันกับใครอีกคนหนึ่ง
“นับดาว.. ดึกแล้วมาทำอะไรที่นี่”
“รินทร์ เราอยากเจอรินทร์ เราขอนอนด้วยได้มั้ย”
“นับมาที่นี่ได้ยังไง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
ฉันถามเพราะฉันสงสัยทำไมอยู่ดีๆ รถที่บ้านนับดาวก็ขับออกไป
“รินทร์จะไม่ยอมให้เราเข้าไปคุยกันข้างในบ้านหรอ ข้างนอกยุงกัดมากเลยอ่ะ นี่เราโดนยุงกัดหมดแล้วดูสิ แขนแดงหมดเลย ดูสิๆ”
นับดาวพูดพร้อมกับยื่นแขนมาให้ดู ซึ่งฉันก็มองไม่ค่อยเห็นชัดเท่าไหร่แต่ก็ยอมเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามา
พอนับดาวเข้ามาในบ้านก็หยิบจับนั่นนี่อย่างเคยชินเพราะมาที่บ้านฉันบ่อยๆ และนับดาวเริ่มเป็นฝ่ายพูดก่อน
“เราให้คนขับรถที่บ้านกลับไปเองแหละ เรารู้เรื่องทั้งหมดจากแก้วตา เลยไปหาแม่รินทร์ที่โรงพยาบาลมาอ่ะ บอกว่ารินทร์อยู่ที่บ้านคนเดียว เราเลยอาสาจะมาอยู่เป็นเพื่อน ส่วนพ่อแม่เราสบายใจได้ เราขออนุญาตเรียบร้อย”
“แล้วทำไมนับไม่โทรมาถามเราก่อนอ่ะ”
นับดาวไม่ตอบคำถามแต่เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวของฉันที่แขวนตากอยู่ที่ ราวตากผ้าอันเล็กๆ ที่ไว้สำหรับตากผ้าเช็ดตัวแถวๆ ห้องน้ำที่อยู่ในตัวบ้าน ที่อยู่ชั้นหนึ่งของบ้านก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“หาเสื้อผ้าให้ใส่ด้วยนะคะ”
นับดาวขยิบตาให้ฉันหนึ่งทีก่อนที่จะปิดประตูเข้าห้องอาบน้ำไป
ทั้งๆ ที่ฉันถูกเมินคำถามแท้ๆ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้กับการกระทำที่นับดาวทำออกมาเมื่อกี้นี้ ฉันบ่นในใจ “ทำไมชอบทำให้รู้สึกใจมันกระตุกแบบนี้นะ”
ฉันที่นั่งรอนับดาวก็เปิดทีวีดูอะไรเพลินๆ พอผ่านไปไม่ถึงยี่สิบนาที นับดาวก็ออกมาจากห้องน้ำ
“รินทร์เตรียมชุดให้เราแล้วใช่ปะ”
นับดาวยืนถามฉันอยู่ที่หน้าห้องน้ำ พร้อมกับพันตัวด้วยผ้าขนหนูผืนเดียว และยืนหอบเสื้อผ้าที่ใส่แล้ว ซึ่งหน้าห้องน้ำกับบริเวณที่ฉันดูทีวีมันห่างกันไม่มากเท่าไหร่
ฉันลืมไปสนิทเลย เรื่องชุดนอน
“ลืมไปเลยอ่ะ โทษทีนะ นับไปดูที่ตู้เสื้อผ้าห้องเราเลยก็ได้ จะใส่ตัวไหนก็ใส่ เสื้อผ้าของนับที่ใส่แล้วก็ใส่ไว้ในตระกร้าบนห้องนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราเอาไปซักให้”