##อ่านหัวข้อเรื่องสั้นแล้วอย่าเพิ่งอมยิ้มนะคะ นี่ไม่ใช่เรื่องสั้นของคู่รักหวานแหววในนิยายโรแมนติกพาฝันอะไรหรอกค่ะ แต่เป็นจุดนัดพบของคนในวัยเกษียณแบบผู้เขียนต่างหาก ซึ่งมักได้ไปพบกันตามจุดใหญ่ๆ สองจุดคือ ที่วัดกับในโรงพยาบาล ถ้าเป็นที่วัดก็มักเป็นงานไว้อาลัยตามบัตรเชิญหรือจากข่าวสารของญาติสนิทมิตรสหาย แต่ถ้าเป็นที่โรงพยาบาลคุณหมอท่านจะกรุณานัดให้##
จุดนัดพบ
โดย...ล. วิลิศมาหรา
วันนี้ฉันมารับยาโรคความดันโลหิตสูงตามนัดของแพทย์เป็นเดือนแรกหลังถูกวินิจฉัยว่าป่วย กระย่องกระแย่งลงจากรถประจำทางเพราะเข่าเสื่อม และขับรถเองไม่ได้เสียแล้ว หลังจากขับไปติดไฟแดงแล้วเกิดนึกไม่ออกว่าเบรกมันอยู่ที่เท้าข้างไหน โชคดีที่ตัดสินใจเหยียบถูกข้าง ก็เลยไม่มีใครได้รับอันตรายจากอาการหลงๆ ลืมๆ ครั้งนั้น แสดงว่าคุณพระท่านยังช่วยคุ้มครองอยู่ และหลังจากนั้นก็เข็ดไม่ยอมขับรถเองอีกเลย ไปไหนก็ใช้ปั่นจักรยานเอา ถ้าไกลหน่อยก็ใช้บริการรถสองแถวซึ่งมีคิวรถอยู่ใกล้บ้าน
พอลงรถหน้าตึกโรงพยาบาลปุ๊บ ก็เจอกับผู้หญิงวัยไม้ใกล้ฝั่งคนหนึ่งที่รู้จักกันดี เพราะแกเคยเป็นคนไข้ในคลินิกโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานของสถานพยาบาลที่ฉันเคยทำงาน ก่อนเกษียณออกมาเมื่ออายุราชการครบยี่สิบห้าปี แกชื่อป้ากาบ
หลังถัดก้นลงจากเบาะรถจักรยานยนต์ของลูกชายที่ชื่อหน่อง ทั้งแกกับลูกชายก็ส่งยิ้มให้ก่อนยกมือไหว้สวัสดี ฉันไหว้ตอบ ได้ยินเสียงหยอกเบาๆ ว่าหมอก็มาหาหมอ แกเรียกฉันตามความเคยชิน คนในสถานพยาบาลทุกคนชาวบ้านมักเรียกว่าหมอหมด ฉันเลยบอกแกว่าเป็นโรคความดันเลือดสูงเหมือนกัน เพราะมีกรรมพันธุ์ พ่อแม่พี่น้องทุกคนเป็นกันหมดบ้าน และจะต้องมารับยาที่นี่เป็นประจำทุกสามเดือน แกร้อง อ้าว นึกว่าหมอจะไม่เจ็บป่วยเสียอีก ฉันหัวเราะขำที่แกคิดว่า ถ้าเป็นหมอหรือพยาบาลแล้วจะไม่เจ็บป่วย ตอบยิ้มๆ ว่าคนเราเมื่อเกิดมาแล้วมันก็ย่อมเจ็บป่วยเป็นธรรมดาของสังขาร เหมือนคำพระท่านว่า
นึกสงสัยว่าน้ำตาลในเลือดของป้ากาบคงยังสูงเกินมาตรฐาน สถานพยาบาลใกล้บ้านเลยส่งแกกลับมาปรับยาที่นี่ แกยิ้มอายๆ พยักหน้ารับว่าใช่ หลายอย่างแกยังทำไม่ได้ โดยเฉพาะที่หมอให้เลิกกินข้าวเหนียวนึ่ง
ก็พอดีลูกชายแกยื่นห่อข้าวในถุงพลาสติกให้ บอกแม่ให้กินหลังเจาะเลือดเสร็จทันที เขากลัวแม่ใจสั่น ที่เหลือให้เก็บไว้กินมื้อกลางวัน ก็คงเพราะรู้ดีว่ากว่าจะเสร็จครบถ้วนขบวนการ กระทั่งได้ยากลับบ้าน คนไข้ต้องอยู่ในโรงพยาบาลจนถึงบ่าย
"ยังทำที่เดิมเหรอหน่อง"
"ที่ใหม่ครับ เถ้าแก่คนใหม่ใจดีกว่า หยุดงานมาส่งแม่ที่โรงพยาบาลได้บ้าง"
ฉันพยักหน้ารับรู้ ครอบครัวนี้ฉันก็คุ้นเคยดี เหมือนกับครอบครัวผู้ป่วยโรคเรื้อรังคนอื่นที่ต้องเทียวไปเยี่ยมบ้านนั่นแหละ มันเป็นภารกิจหนึ่งของงานรับผิดชอบผู้ป่วยประเภทนี้ ร่วมสองร้อยคนที่มาลงทะเบียน
วันนัดผู้ป่วยมารับยาโรคเรื้อรังในสถานพยาบาลของทุกเดือนเป็นวันซึ่งเหนื่อยหนักที่สุด กลับถึงบ้านอย่าว่าแต่ดูแลคนที่บ้านเลย ตัวเองยังลุกมาอาบน้ำทานมื้อค่ำเมื่อดึกมากแล้ว ก่อนโผเผเข้านอน เก็บแรงไว้ดูแลคนไข้ในวันต่อไป
แต่ฉันจะเหนื่อยยิ่งกว่าถ้าเผอิญวันคลินิกโรคเรื้อรังนั้น พี่ที่ทำงานอีกสองคนเกิดป่วยกะทันหัน หรือมีภารกิจเร่งด่วนอื่นแทรกเข้ามา แจ็คพ็อตจะแตกเต็มๆ ถ้าหากทีมแพทย์กับเภสัชกรจากโรงพยาบาลเกิดติดภารกิจ ทำให้มาออกหน่วยไม่ได้ เพราะหมายความว่าฉันจะต้องทำเองทั้งหมด ทั้งดู lap เจาะเลือด ตรวจฉี่ ตรวจตาตรวจเท้า สั่งยาจัดยาและจ่ายยาด้วยตัวเอง กระทั่งทำใบนัด ไม่นับคนไข้โรคอื่นที่ก็ต้องรอจนกว่าจะละมือมาบริการให้ได้
มองดูหน่องที่เพิ่งขี่รถจากไปแล้วฉันก็ยื่นมือให้ป้ากาบจับ เราช่วยกันฉุดดึงขึ้นบันไดโรงพยาบาลไปหน้าห้องคลินิกโรคที่เราเป็น ซึ่งพอเจาะเลือดเสร็จเรียบร้อย เราก็พากันมานั่งรอคิวซักประวัติก่อนพบแพทย์หน้าห้องตรวจต่อ ป้ากาบเริ่มทานข้าว ส่วนฉันอาศัยนมสดกับขนมปังที่เอาติดมือมา
ฉันได้บัตรคิวทีหลังป้ากาบ ระหว่างนั้นเราก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ เพราะกว่าจะถึงคิวเราคงใกล้เที่ยงโน่นแหละ เนื่องจากเรามาสายกว่าคนอื่น คนไข้ที่มาก่อนนั่งเต็มไปหมดแล้ว
"น้ำตาลมันยังเกินอยู่น่ะหมอ เขาเลยนัดเจาะเลือดถี่เกือบทุกเดือน วันนี้ว่าจะขอหมอที่ตรวจว่าขอยาไปกินหลายเดือนหน่อยได้ไหม มาลำบากเหลือเกิน ให้หน่องลางานบ่อยก็เกรงใจมัน" แกระบายเรื่องคับข้องใจ
"อืม ลำบากหน่อยนะ แล้ววันนี้จะกลับยังไงล่ะ" ฉันครางรับ รู้ดีถึงแนวทางการรักษาซึ่งคนไข้อาจไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็นึกไปถึงบ้านหลังเล็กท้ายหมู่บ้านของแกที่ไม่มีรถประจำทางผ่านด้วย การเดินทางไปไหนๆ แกต้องให้ลูกชายขับจักรยานยนต์ไปส่งอย่างเดียวเท่านั้น
"ต้องรอจนหน่องเลิกงานแล้วเขาถึงจะมารับ สงสารมันเหมือนกัน หิ้วปูนมาเหนื่อยๆ กลับไปมันก็ต้องหาข้าวหาปลาให้พ่อกับแม่กินอีก"
นัยน์ตาฝ้าฟางรื้นน้ำใสเมื่อพูดถึงลูกชายวัยสี่สิบปีของแก ซึ่งมีสติปัญญาค่อนข้างช้า หน่องรับจ้างทำงานก่อสร้างกับผู้รับเหมาในหมู่บ้าน รูปร่างหน้าตาไม่เป็นที่ถูกใจของสาวๆ หน่องจึงยังไม่ได้แต่งงาน แต่น้ำใจดูแลพ่อพิการทางสายตากับแม่ที่ป่วยออดๆแอดๆ นั้นวิเศษนัก
"วันนี้มันก็ตื่นแต่เช้ามานึ่งข้าวให้ ห่อข้าวให้แม่เอามากิน แบ่งไว้ให้พ่อมันด้วย ตัวมันเองบอกว่าจะไปกินกับหัวหน้างาน เพราะข้าวที่บ้านหมดพอดี"
ฉันอึ้งไปกับท้ายประโยคของแก จากนั้นแกก็เล่าถึงความลำบากในชีวิตสามคนพ่อแม่ลูกให้ฟังอีกหลายอย่าง จนเวลาล่วงเลยไปและคนไข้หน้าห้องตรวจเบาบางลง ฉันชวนแกขยับมานั่งใกล้กับโต๊ะซักประวัติของพยาบาล เห็นสีหน้าอิดโรยของคนวิชาชีพเดียวกันแล้วก็อดสงสารไม่ได้ เข้าใจดีว่าน้องๆ ต้องเจอกับอะไรบ้างในแต่ละวัน พอดีกับที่พยาบาลหน้าห้องเรียกป้ากาบไปซักประวัติ
"ป้าผิดนัดอีกแล้ว" โต๊ะซักประวัติกับม้านั่งที่ฉันนั่งอยู่ไม่ไกลกันนัก จึงได้ยินประโยคแรกที่พยาบาลทัก ซึ่งฉันก็ได้แต่แอบถอนใจ ป้ากาบยิ้มอ่อน
"น้ำตาลยังไม่ค่อยดีเลยนะคะป้า เอ...ป้ายังกินข้าวเหนียวนึ่งอยู่อีกหรือเปล่า ต้องคุมอาหารหน่อยนะคะ อย่าตามใจปากมากนัก"
ป้ากาบยิ้มอีก แกนิ่งฟังพยาบาลให้คำแนะนำต่างๆ ตามหลักวิชาการและตรงตามผังกำหนดการให้บริการอย่างไม่ผิดเพี้ยน ผงกศีรษะสลับกับรับคำว่า"จ้ะ...จ้ะ" เป็นระยะ เสร็จแล้วแกก็ถอยกลับมานั่งที่เดิม ขณะที่พยาบาลก้มลงบันทึกประวัติการเจ็บป่วยของแก
"โดนว่าเรื่องกินข้าวนึ่งอีกแล้ว" แกกระซิบเบาๆ
"เป็นห่วงตาแก้วจัง วันนี้ฝากให้คนข้างบ้านช่วยดูให้ ไม่งั้นไม่ได้กินข้าว ทำหกเลอะเทอะหมด ประสาทเขาเสียไปแล้วล่ะหมอ"
ฉันนึกภาพสามีป้ากาบออก ตาแก้วนอกจากตาบอดแล้วก็ยังหลงๆ ลืมๆ
"ไม่ได้หน่องมันหาให้กินก็คงไม่ได้กิน มันนึ่งข้าวให้กินก็บุญแล้วนะหมอ"
จบ
จุดนัดพบ
โดย...ล. วิลิศมาหรา
วันนี้ฉันมารับยาโรคความดันโลหิตสูงตามนัดของแพทย์เป็นเดือนแรกหลังถูกวินิจฉัยว่าป่วย กระย่องกระแย่งลงจากรถประจำทางเพราะเข่าเสื่อม และขับรถเองไม่ได้เสียแล้ว หลังจากขับไปติดไฟแดงแล้วเกิดนึกไม่ออกว่าเบรกมันอยู่ที่เท้าข้างไหน โชคดีที่ตัดสินใจเหยียบถูกข้าง ก็เลยไม่มีใครได้รับอันตรายจากอาการหลงๆ ลืมๆ ครั้งนั้น แสดงว่าคุณพระท่านยังช่วยคุ้มครองอยู่ และหลังจากนั้นก็เข็ดไม่ยอมขับรถเองอีกเลย ไปไหนก็ใช้ปั่นจักรยานเอา ถ้าไกลหน่อยก็ใช้บริการรถสองแถวซึ่งมีคิวรถอยู่ใกล้บ้าน
พอลงรถหน้าตึกโรงพยาบาลปุ๊บ ก็เจอกับผู้หญิงวัยไม้ใกล้ฝั่งคนหนึ่งที่รู้จักกันดี เพราะแกเคยเป็นคนไข้ในคลินิกโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานของสถานพยาบาลที่ฉันเคยทำงาน ก่อนเกษียณออกมาเมื่ออายุราชการครบยี่สิบห้าปี แกชื่อป้ากาบ
หลังถัดก้นลงจากเบาะรถจักรยานยนต์ของลูกชายที่ชื่อหน่อง ทั้งแกกับลูกชายก็ส่งยิ้มให้ก่อนยกมือไหว้สวัสดี ฉันไหว้ตอบ ได้ยินเสียงหยอกเบาๆ ว่าหมอก็มาหาหมอ แกเรียกฉันตามความเคยชิน คนในสถานพยาบาลทุกคนชาวบ้านมักเรียกว่าหมอหมด ฉันเลยบอกแกว่าเป็นโรคความดันเลือดสูงเหมือนกัน เพราะมีกรรมพันธุ์ พ่อแม่พี่น้องทุกคนเป็นกันหมดบ้าน และจะต้องมารับยาที่นี่เป็นประจำทุกสามเดือน แกร้อง อ้าว นึกว่าหมอจะไม่เจ็บป่วยเสียอีก ฉันหัวเราะขำที่แกคิดว่า ถ้าเป็นหมอหรือพยาบาลแล้วจะไม่เจ็บป่วย ตอบยิ้มๆ ว่าคนเราเมื่อเกิดมาแล้วมันก็ย่อมเจ็บป่วยเป็นธรรมดาของสังขาร เหมือนคำพระท่านว่า
นึกสงสัยว่าน้ำตาลในเลือดของป้ากาบคงยังสูงเกินมาตรฐาน สถานพยาบาลใกล้บ้านเลยส่งแกกลับมาปรับยาที่นี่ แกยิ้มอายๆ พยักหน้ารับว่าใช่ หลายอย่างแกยังทำไม่ได้ โดยเฉพาะที่หมอให้เลิกกินข้าวเหนียวนึ่ง
ก็พอดีลูกชายแกยื่นห่อข้าวในถุงพลาสติกให้ บอกแม่ให้กินหลังเจาะเลือดเสร็จทันที เขากลัวแม่ใจสั่น ที่เหลือให้เก็บไว้กินมื้อกลางวัน ก็คงเพราะรู้ดีว่ากว่าจะเสร็จครบถ้วนขบวนการ กระทั่งได้ยากลับบ้าน คนไข้ต้องอยู่ในโรงพยาบาลจนถึงบ่าย
"ยังทำที่เดิมเหรอหน่อง"
"ที่ใหม่ครับ เถ้าแก่คนใหม่ใจดีกว่า หยุดงานมาส่งแม่ที่โรงพยาบาลได้บ้าง"
ฉันพยักหน้ารับรู้ ครอบครัวนี้ฉันก็คุ้นเคยดี เหมือนกับครอบครัวผู้ป่วยโรคเรื้อรังคนอื่นที่ต้องเทียวไปเยี่ยมบ้านนั่นแหละ มันเป็นภารกิจหนึ่งของงานรับผิดชอบผู้ป่วยประเภทนี้ ร่วมสองร้อยคนที่มาลงทะเบียน
วันนัดผู้ป่วยมารับยาโรคเรื้อรังในสถานพยาบาลของทุกเดือนเป็นวันซึ่งเหนื่อยหนักที่สุด กลับถึงบ้านอย่าว่าแต่ดูแลคนที่บ้านเลย ตัวเองยังลุกมาอาบน้ำทานมื้อค่ำเมื่อดึกมากแล้ว ก่อนโผเผเข้านอน เก็บแรงไว้ดูแลคนไข้ในวันต่อไป
แต่ฉันจะเหนื่อยยิ่งกว่าถ้าเผอิญวันคลินิกโรคเรื้อรังนั้น พี่ที่ทำงานอีกสองคนเกิดป่วยกะทันหัน หรือมีภารกิจเร่งด่วนอื่นแทรกเข้ามา แจ็คพ็อตจะแตกเต็มๆ ถ้าหากทีมแพทย์กับเภสัชกรจากโรงพยาบาลเกิดติดภารกิจ ทำให้มาออกหน่วยไม่ได้ เพราะหมายความว่าฉันจะต้องทำเองทั้งหมด ทั้งดู lap เจาะเลือด ตรวจฉี่ ตรวจตาตรวจเท้า สั่งยาจัดยาและจ่ายยาด้วยตัวเอง กระทั่งทำใบนัด ไม่นับคนไข้โรคอื่นที่ก็ต้องรอจนกว่าจะละมือมาบริการให้ได้
มองดูหน่องที่เพิ่งขี่รถจากไปแล้วฉันก็ยื่นมือให้ป้ากาบจับ เราช่วยกันฉุดดึงขึ้นบันไดโรงพยาบาลไปหน้าห้องคลินิกโรคที่เราเป็น ซึ่งพอเจาะเลือดเสร็จเรียบร้อย เราก็พากันมานั่งรอคิวซักประวัติก่อนพบแพทย์หน้าห้องตรวจต่อ ป้ากาบเริ่มทานข้าว ส่วนฉันอาศัยนมสดกับขนมปังที่เอาติดมือมา
ฉันได้บัตรคิวทีหลังป้ากาบ ระหว่างนั้นเราก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ เพราะกว่าจะถึงคิวเราคงใกล้เที่ยงโน่นแหละ เนื่องจากเรามาสายกว่าคนอื่น คนไข้ที่มาก่อนนั่งเต็มไปหมดแล้ว
"น้ำตาลมันยังเกินอยู่น่ะหมอ เขาเลยนัดเจาะเลือดถี่เกือบทุกเดือน วันนี้ว่าจะขอหมอที่ตรวจว่าขอยาไปกินหลายเดือนหน่อยได้ไหม มาลำบากเหลือเกิน ให้หน่องลางานบ่อยก็เกรงใจมัน" แกระบายเรื่องคับข้องใจ
"อืม ลำบากหน่อยนะ แล้ววันนี้จะกลับยังไงล่ะ" ฉันครางรับ รู้ดีถึงแนวทางการรักษาซึ่งคนไข้อาจไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็นึกไปถึงบ้านหลังเล็กท้ายหมู่บ้านของแกที่ไม่มีรถประจำทางผ่านด้วย การเดินทางไปไหนๆ แกต้องให้ลูกชายขับจักรยานยนต์ไปส่งอย่างเดียวเท่านั้น
"ต้องรอจนหน่องเลิกงานแล้วเขาถึงจะมารับ สงสารมันเหมือนกัน หิ้วปูนมาเหนื่อยๆ กลับไปมันก็ต้องหาข้าวหาปลาให้พ่อกับแม่กินอีก"
นัยน์ตาฝ้าฟางรื้นน้ำใสเมื่อพูดถึงลูกชายวัยสี่สิบปีของแก ซึ่งมีสติปัญญาค่อนข้างช้า หน่องรับจ้างทำงานก่อสร้างกับผู้รับเหมาในหมู่บ้าน รูปร่างหน้าตาไม่เป็นที่ถูกใจของสาวๆ หน่องจึงยังไม่ได้แต่งงาน แต่น้ำใจดูแลพ่อพิการทางสายตากับแม่ที่ป่วยออดๆแอดๆ นั้นวิเศษนัก
"วันนี้มันก็ตื่นแต่เช้ามานึ่งข้าวให้ ห่อข้าวให้แม่เอามากิน แบ่งไว้ให้พ่อมันด้วย ตัวมันเองบอกว่าจะไปกินกับหัวหน้างาน เพราะข้าวที่บ้านหมดพอดี"
ฉันอึ้งไปกับท้ายประโยคของแก จากนั้นแกก็เล่าถึงความลำบากในชีวิตสามคนพ่อแม่ลูกให้ฟังอีกหลายอย่าง จนเวลาล่วงเลยไปและคนไข้หน้าห้องตรวจเบาบางลง ฉันชวนแกขยับมานั่งใกล้กับโต๊ะซักประวัติของพยาบาล เห็นสีหน้าอิดโรยของคนวิชาชีพเดียวกันแล้วก็อดสงสารไม่ได้ เข้าใจดีว่าน้องๆ ต้องเจอกับอะไรบ้างในแต่ละวัน พอดีกับที่พยาบาลหน้าห้องเรียกป้ากาบไปซักประวัติ
"ป้าผิดนัดอีกแล้ว" โต๊ะซักประวัติกับม้านั่งที่ฉันนั่งอยู่ไม่ไกลกันนัก จึงได้ยินประโยคแรกที่พยาบาลทัก ซึ่งฉันก็ได้แต่แอบถอนใจ ป้ากาบยิ้มอ่อน
"น้ำตาลยังไม่ค่อยดีเลยนะคะป้า เอ...ป้ายังกินข้าวเหนียวนึ่งอยู่อีกหรือเปล่า ต้องคุมอาหารหน่อยนะคะ อย่าตามใจปากมากนัก"
ป้ากาบยิ้มอีก แกนิ่งฟังพยาบาลให้คำแนะนำต่างๆ ตามหลักวิชาการและตรงตามผังกำหนดการให้บริการอย่างไม่ผิดเพี้ยน ผงกศีรษะสลับกับรับคำว่า"จ้ะ...จ้ะ" เป็นระยะ เสร็จแล้วแกก็ถอยกลับมานั่งที่เดิม ขณะที่พยาบาลก้มลงบันทึกประวัติการเจ็บป่วยของแก
"โดนว่าเรื่องกินข้าวนึ่งอีกแล้ว" แกกระซิบเบาๆ
"เป็นห่วงตาแก้วจัง วันนี้ฝากให้คนข้างบ้านช่วยดูให้ ไม่งั้นไม่ได้กินข้าว ทำหกเลอะเทอะหมด ประสาทเขาเสียไปแล้วล่ะหมอ"
ฉันนึกภาพสามีป้ากาบออก ตาแก้วนอกจากตาบอดแล้วก็ยังหลงๆ ลืมๆ
"ไม่ได้หน่องมันหาให้กินก็คงไม่ได้กิน มันนึ่งข้าวให้กินก็บุญแล้วนะหมอ"