ส่วนคนเป็นพี่แม้มองผ่านๆแต่ก็เก็บรายละเอียดของบ้านเท่าที่มองเห็นไว้ได้หมด เธอยังนึกชมว่าดูแลรักษาบ้านได้สะอาดสะอ้านดีแท้ เป็นอันสบายใจไปได้เรื่องหนึ่ง
สักครู่ป้าดาวก็ถือกุญแจพวงใหญ่มา ไม่ใช่แต่แค่นั้น อีกมือแกถือกระติกน้ำพลาสติกใสมีน้ำสีเข้มอมแดงอยู่ในนั้น พอเดินมาถึงแกก็ยื่นให้ริมริน
“เอ้าหนู ป้าเอามาให้หนูกับน้องลองชิม น้ำกระเจี๊ยบป้าทำเอง อย่าว่าป้าโฆษณาเลยนะ วันไหนตอนเย็นถ้าอากาศดี และถ้าป้า ไม่ปวดเมื่อย ป้าจะเข็นรถมาตั้งขายข้าวแกงขายน้ำตรงหน้าบ้านนี่แหละ กับข้าวมีไม่มีกี่อย่างหรอกลูก ป้าทำไม่ไหว แต่พอให้หนูๆนักศึกษาที่เช่าห้องแถวนี้มาฝากท้องกัน พูดตรงๆเลยนะ กำรี้กำไรอะไรป้าไม่สนหรอก เห็นหนูๆกินกันอิ่มป้าก็มีความสุขแล้ว ป้า
เหงาน่ะลูกเอ้ย ลูกชายป้าทำงานไกลสองสามวันถึงจะกลับมาที ได้เจอลูกค้าก็เหมือนได้เห็นลูกเห็นหลาน”
แม้คำพูดประโยคนี้จะฟังคล้ายกับเยินยอตัวเอง แต่ทว่าสีหน้าและแววตาที่ดูหมองลงของป้าเวลาพูดถึงลูกชาย บ่งบอกว่าแกไม่ได้พูดอย่างอื่นนอกเหนือจากความจริง
ริมรินเห็นปุ๊บก็มองออก เธอรีบขอบใจป้าเรื่องน้ำกระเจี๊ยบ แล้วพูดเอาใจ
“ป้าจะได้ลูกค้าประจำเพิ่มอีกคนแล้วค่ะ ถ้ายังไงฝากยายระรินอีกคนนะคะ พวกแกงเผ็ด ผัดเผ็ดน้องของหนูชอบมาก กินทีอย่างต่ำสองจาน”
ป้าดาวยิ้มออกมาได้ หน้าที่หงอยไปดูผ่องขึ้นมาทันที
“ได้เลยจัะ แล้วป้าจะทำให้ แต่บอกไว้ก่อนนะลูก เผ็ดของป้าหมายถึงเผ็ดจริง เด็กๆพากันน้ำหูน้ำตาไหล แต่ก็ชอบสั่งกินนะ”
พูดจบป้าแกก็หันไปทางประตูหน้าบ้าน
“เดี๋ยวป้าไขประตูให้ หนูทั้งสองจะได้ขึ้นไปดูห้องกัน กุญแจประตูใหญ่ป้าขอเก็บไว้เอง ตอนหนูอยู่บ้านล็อกกลอนจากข้างในก็พอ พี่กิ่งนะพี่กิ่ง เอากุญแจมาล็อกข้างนอกไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ดีนะ หนูนัทไม่มีธุระปะปังไปไหนแต่เช้า”
น้ำเสียงการพูดของแกเหมือนคุ้นเคยกับเจ้าของบ้านเป็นอย่างดี เลยฟังดูเหมือนกับบ่นไปอย่างนั้นเอง มากกว่าจะต่อว่าจริงจัง
ก่อนเข้าตัวบ้านป้าดาวพาสองสาวเดินดูต้นไม้ในสวนรอบๆ ระรินชอบใจเถาไม้เลื่อยที่ปลูกบนไม้ระแนง ป้าดาวอมยิ้มแล้วพูดขึ้น
“ถ้าหนูระรินมาอยู่แล้ว ว่างๆก็ช่วยพี่กิ่งแกรดน้ำต้นไม้บ้างนะลูก ถือว่าเอาบุญ ช่วยคนแก่ ที่ป้าพูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าให้เป็นภาระของหนูคนเดียวหรอกนะ เด็กๆที่บ้านนี้ก็ช่วยกันทุกคน”
“ค่ะ ป้าดาว”ระรินรับคำอย่างว่าง่าย สตรีสูงอายุกว่ายิ้มด้วยความพอใจ แล้วหันไปไขประตูบ้าน
“ที่บ้านนี้มีคนเช่าอยู่กี่คนค่ะ เป็นนักศึกษาทุกคนเลยหรือเปล่าค่ะ”
มือเหี่ยวกรังที่กำลังจะสอดลูกกุญแจหยุดชะงักงันวูบหนึ่ง เมื่อได้ยินคำถามจากระริน หากแต่ทั้งสองพี่น้องไม่ได้สังเกตเห็น
“เป็นนักศึกษาทุกคนจ้ะลูก พี่กิ่งแกให้เช่าเฉพาะนักศึกษาเท่านั้น” ป้าดาวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบปกติ หากแต่สีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของแกไม่มีใครได้เห็น เนื่องจากเจ้าตัวหันหลังให้สองพี่น้อง
แม้แต่ริมรินที่มีประสบการณ์ทางผู้คนมากกว่า เพราะเป็นพี่สาว ก็ไม่ได้เฉลียวใจว่า ทำไมป้าแกเลือกที่จะตอบเฉพาะคำถามท้ายประโยค
ส่วนระรินสักพักก็ลืมว่าตัวเองได้ถามอะไรไป เพราะมัวสำรวจห้องโถง ครัว ห้องน้ำ
และป้าดาวก็พาสองสาวขึ้นชั้นสองซึ่งมีห้องอยู่สามห้องและห้องน้ำหนึ่งห้อง
“ไม่ต้องห่วงเรื่องห้องน้ำห้องท่านะ หนูก็เห็นแล้วว่าข้างล่างก็มีอีกห้อง ส่วนห้องพี่กิ่งก็มีห้องน้ำส่วนตัว ถ้าฉุกเฉินจริงๆก็ไปใช้ได้เด็กๆอยู่กันมาหลายรุ่นแล้ว ไม่เคยได้ยินว่ามีปัญหาเรื่องห้องน้ำเลย”
หญิงสูงวัยผู้อารีย์พูดแล้วเดินไปเปิดประตูห้องที่อยู่ตรงกลาง ทั้งสองพี่น้องเดินเข้าไปดู
ถ้ากะด้วยสายตาขนาดความกว้างของห้องจะอยู่ที่ราวๆ3*4เมตร จัดว่าเป็นห้องขนาดเล็ก
มีเตียงหนึ่งหลัง โต๊ะเขียนหนังสือและโต๊ะเครื่องแป้ง
“ดีจัง” ระรินอุทานออกมาเสียงใสเหมือนเด็กๆ “มีเตียงกับโต๊ะด้วย จะได้ไม่ต้องลำบากขนมา”
ป้าดาวมองเด็กสาวด้วยความเอ็นดู
“ไม่รู้หนูระรินเห็นหรือเปล่า ในห้องรับแขกมีทีวีด้วยนะ ถ้าอยากจะดูก็ตามสบาย พี่กิ่งแกเตรียมไว้ให้พวกหนูๆดูกันนั่นแหละ ในห้องแกมีอยู่เครื่องหนึ่งแล้วไม่ออกมาแย่งดูหรอก อ้อ มี เน็ตด้วยนะ เขาฝากมาบอก ตัวป้าก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร เห็นมีคนแนะนำพี่กิ่งว่านักเรียนสมัยนี้ต้องใช้ มันจำเป็น พี่กิ่งแกเลยติดให้”
สีหน้าของระรินลิงโลดเหมือนได้ของเล่นที่ถูกใจ ริมรินมองดูน้องสาวแล้วอดแหย่ไม่ได้
“ไงย่ะ ยายระริน เธอคิดว่าจะอยู่ได้ไหม”
“อยู่สิค่ะพี่ ดีกว่าที่หนูคิดไว้ตั้งเยอะ ตอนแรกแค่เดินทางไปกลับมหาลัยสะดวก หนูก็ว่าดีแล้วค่ะ”
คุณดาวมองหน้าคนนั้นที คนนี้ทีแล้วปลื้มแทนพ่อแม่ของพี่น้องสองคน นึกอิจฉาว่าทำไมเธอไม่มีลูกสาวน่ารักอย่างนี้กับเขาบ้าง
เมื่อคืดแล้วก็ทำให้ต้องทอดถอนใจ เธอปลดกุญแจจากพวงสองดอกแล้วยื่นส่งให้
“เอ้า นี่กุญแจประตูหน้า นี่กุญแจบ้าน เก็บดีๆ อย่าทำหายนะลูก แล้วจะย้ายมาเมื่อไหร่ล่ะ”
“หนู เอ่อ”ระรินพูดแค่นั้นแล้วหันมามองหน้าพี่สาว ริมรินเลยตอบสตรีชราแทน
“คงหลังจากวันพรุ่งนี้ค่ะป้าดาว ให้แม่เค้าทำใจวันหนึ่งก่อน ปุบปับจะมาพรุ่งนี้เลย แม่หนูร้องไห้แย่แน่เลย”
“ก็แน่ล่ะ เป็นป้ามีลูกสาวน่ารักอย่างนี้ก็เป็นห่วง ไม่อยากให้ไปไหนไกล อ้าว ตายจริง” ป้าดาวร้องออกมาเมื่อนึกอะไรได้
“ได้เวลาให้ข้าวหมาที่บ้าน ป้าลืมเสียสนิท โถ ป่านนี้คงร้องกันใหญ่แล้ว โอ้ย โทษทีป้าต้องรีบกลับไปคลุกข้าวให้พวกมันตอนนี้เลย หนูสองคน อย่าเพิ่งไปไหนกันนะ นั่งกินน้ำกระเจี๊ยบเย็นๆรอก่อน เดี๋ยวเสร็จแล้วป้ากลับมา จะได้แลกเบอร์โทรกันด้วยเผื่อมีอะไร”
ริมรินรีบยื่นกระติกน้ำในมือให้น้องสาวทันที แล้วเดินมาเกาะแขนหญิงสูงวัยร่างท้วม
“ให้หนูไปส่งนะค่ะป้า ถ้าป้าไม่ว่าอะไรหนูอยากช่วยป้าคลุกข้าวด้วยค่ะ อยู่บ้านหนูก็เลี้ยงหมา เอาอาหารให้กินประจำ”
“จริงหรือหนู” สตรีสูงวัยกว่าแสดงความดีใจออกมาอย่างชัดเจน
“ไปสิลูก แม่คุณช่างใจบุญแท้ หมาจรทั้งนั้นแหละ ป้าสงสารเห็นแล้วอดเอามาเลี้ยงไม่ได้ แต่แปลกนะ ทั้งๆที่ไม่มีเจ้าของ แต่พวกมันไม่ดื้อ ไม่ดุ ไม่เห่าสะเปะสะปะเลย”
“ดีจังเลยค่ะ ถ้างั้นเรารีบไปกันนะคะ ป่านนี้พวกมันหิวแย่แล้ว” ริมรินพูดแล้วหันมาทางน้องสาว
“ระริน น้องอยู่นี่แหละ ดูห้องเสร็จแล้วก็ลงไปนั่งรอข้างล่าง กินน้ำกระเจี๊ยบไปพลางๆก่อน”
“หนูจะรินเก็บไว้ให้พี่ด้วยนะค่ะ จะได้ล้างกระติกคืนป้าเค้า” ระรินเหมือนกับเด็กหญิงตัวน้อยเวลาพูดกับพี่สาว ทำให้ดูน่าขันและน่ารักในเวลาเดียวกัน
ป้าดาวโบกมือ
“โอ้ย ไม่ต้องหรอกลูก บ้านอยู่ใกล้กันแค่นี้ ค่อยคืนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องเก็บให้พี่เค้าหรอก บ้านป้ามีอีกเยอะแยะ”
ป้าดาวกับพี่ริมรินเดินออกไปแล้ว อารามดีใจแกเลยคว้าข้อมือหญิงสาวเดินจูง เหลือระรินไว้ตามลำพัง
หญิงสาวกวาดสายตาสำรวจห้องอีกรอบหนึ่ง ก็ตั้งใจว่าจะเดินลงไปที่ห้องรับแขก เมื่อออกพ้นห้องสายตาเธอก็สะดุดกับร่างๆหนึ่ง ยืนอยู่หน้าห้องที่ถัดไปจากห้องเธอ
ถึงแม้จะเห็นมาก่อนแค่แว่บเดียว แต่ระรินก็ระบุได้ว่า นี้คือคนๆเดียวกับหญิงสาวที่เธอเห็นตรงหน้าต่างเมื่อก่อนหน้านี้
แต่เดี๋ยว ระรินเริ่มสับสน ห้องนั้นมันอยู่ถัดไปทางซัายนี่นา เพราะหน้าต่างมันหันออกทางประตูหน้าบ้าน ทำไมผู้หญิงคนนี้เหมือนกลับเดินออกมาจากห้องที่อยู่ทางขวา โดยมีห้องเธออยู่ตรงกลาง
อะไรก็ไม่เท่าสายตาที่ผู้หญิงคนนั้นมองมา ระรินรู้สึกว่ามันแปลกๆอย่างที่คนธรรมดาเขาไม่มองกัน มีบางอย่างไม่ปกติ แต่หญิงสาวบอกไม่ถูกว่าอะไร
ใบหน้าของเธอขาวมาก ทว่าค่อนไปในทางซีดเผือด ระรินมั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ทา
รองพื้นแน่ เพราะว่าต้นคอและมือที่โผล่ออกมาจากเสื้อแขนยาวก็สีผิวดุจเดียวกัน
ถ้าจะมีอะไรในตัวเธอที่มองแล้วไม่รู้สึกพิกลๆ นั่นก็คือผมที่ดำสนิทเหมือนขนกาน้ำ ยาว ตรง ทิ้งตัวลงมาอย่างมือน้ำหนัก
ผู้หญิงคนนั้นยืนตรงไม่ไหวติงราวกับหุ่นโชว์เสื้อผ้า สายตาคู่นั้นทำให้ระริน
ตะครั่นตะครอไปทั้งตัว
ระรินไม่เคยเห็นใครที่เอาแต่จ้องหน้าอย่างเดียว แต่ไม่พูดไม่จาเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นจึงเกิดอารมณ์พุ่งขึ้น เธอเลยฮึดเดินตรงเข้าไป เพราะถ้าจะลงบันได อย่างไรเสียก็ต้องผ่านห้องนั้นอยู่ดี
เมื่อเข้าใกล้ จู่ๆก็รู้สึกเหมือนอุณหภูมิในบ้านลดวูบลง จนเริ่มหนาวเย็นยะเยือก
ระรินตัวสั่นเล็กน้อย เพราะอากาศที่เปลี่ยนไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย นึกเคืองใครก็ตามที่ตั้งเวลาเปิดแอร์อัตโนมัติไว้ตอนนี้
แต่ผู้หญิงคนนั้นดูไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งนั้น ยังคงยืนตัวแข็งอย่างไม่รู้สึกอะไร
“สวัสดีค่ะ พี่ชื่อนัทใช่ไหมค่ะ ฉันชื่อระรินค่ะ ทราบชื่อพี่มาจากป้าดาว” ระรินตัดสินใจทักก่อน พร้อมทั้งส่งยิ้มให้ด้วยไมตรีจิต
เอาล่ะ สมมติว่าหยิ่ง แต่ส่งยิ้มและทักทายอย่างนี้ ยังไงก็ต้องใจอ่อนบ้างแหละ ระรินนึกในใจ
“ฉันชื่อแนท” เสียงเย็นยะเยียบปานน้ำแข็งดังขึ้น ระรินสาบานได้ว่าเห็นปากของเธออ้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่รู้บังคับเสียงอย่างไรให้กังวานเช่นนี้
“อ๋อ ขอโทษค่ะพี่แนท” ระรินรีบพูดพลางนึกในใจ โดยไม่คิดเป็นอย่างอื่นว่า ป้าดาวเป็นคนรุ่นเก่า ไม่แปลกที่มักจะออกชื่อตั้งมาจากตัวอักษรอังกฤษผิดๆถูกๆ อย่างเช่น แนทเพี้ยนเป็นนัท
“รินกำลังจะย้ายมาอยู่ที่บ้านนี้ค่ะพี่ ถ้ามีอะไรช่วยแนะนำด้วยนะค่ะ” ระรินพูดพลางยกมือไหว้
“เห็นกับที่เธอมีมารยาท ฉันจะแนะนำอะไรให้ ฟังให้ดี”
ริมฝีปากนั้นขยับเพียงเล็กน้อย ส่วนใบหน้าดูไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆจนผิดธรรมชาติมนุษย์ อย่างไรก็ดีระรินซึ่งอ่อนต่อโลกไม่ได้จับสังเกตตรงนี้เลย เพราะเธอตอบรับว่าค่ะ แล้วก้มหน้าสงบปากรับฟังตามนิสัยที่ได้อบรมมาดี
“เวลากลางคืน ไม่ว่าใครก็ตามมาเรียกที่หน้าบ้าน หรือเคาะประตูห้องเธอ อย่าได้ขานรับหรือเปิดให้เข้าเป็นอันขาด”
ความฉงนทำให้ระรินเงยหน้าขึ้นมองอย่างลืมตัว จนได้สบสายตากับสตรีประหลาดที่ชื่อแนท
ดวงตาทั้งคู่ของเธอเหมือนน้ำนิ่งในบ่อลึก ไม่มีเคลื่อนไหว ไม่มีชีวิตชีวา ดูเหมือนลูกตาของปลาตายที่ขายตามตลาดสดอย่างไรไม่รู้
“เอ่อ รินขอโทษที่ต้องถามพี่แนทว่า มีเหตุผลอะไรค่ะ ที่ต้องทำอย่างนั้น” ระรินพูดติดขัด รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา
“มี” เสียงตอบแบบเย็นเฉียบ แต่ก้องเต็มสองรูหูหญิงสาว
“ถ้าเธออยากปลอดภัย ก็อย่าทำในสิ่งที่ฉันห้าม”
ระรินเกาศีรษะแกร็กๆ ท่วงท่านี้ถ้าเป็นคนอื่นทำคงไม่น่ามอง แต่พอเป็นเธอทำกลับกลายเป็นตรงกันข้าม
“ต้องขอโทษพี่แนทจริงๆ กับความขี้สงสัยของริน และถ้าพี่สาวของรินมาหาตอนกลางคืนล่ะค่ะ อยากรู้จริงๆ ขอยืนยันว่าไม่ได้กวนนะค่ะ”
ผู้หญิงที่ชื่อแนทมองระรินด้วยใบหน้าที่ตายด้าน ไร้ความรู้สึก แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่บ่งบอกถึงความเอือมระอา
“ฉันได้พูดว่า “ไม่ว่าใครก็ตาม” มันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย ถ้าเธอไม่อยากเป็นอะไรก็พยายามอย่าเข้าใจให้มันยาก”
“ค่ะ ค่ะ” ระรินรับคำทั้งที่หัวสมองเธอสับสน พัลวันไปหมด ทันใดนั้นสายตาที่ปราศจากแววสดใสก็มองมายังมือของหล่อนอย่างสนใจ
“น้ำกระเจี๊ยบ”ถ้าฟังไม่ผิด ระรินรู้สึกว่าคมกร้าวของน้ำเสียงนั้นอ่อนลง “ ฉันเคยชอบมันมาก เมื่อก่อนฉันเคยกินบ่อยๆ”
ระรินกำลังมึนตึ้บ ก็เลยไม่ได้สะดุดใจกับรูปประโยคที่เป็นอดีตผ่านมาแล้วของผู้พูด แต่อย่างน้อยเธอก็จับใจความได้ข้อหนึ่ง ก้มลงมองกระติกใสที่บรรจุน้ำกระเจี๊ยบในมือ แล้วถามสตรีเบื้องหน้า
“พี่แนทชอบหรือค่ะ เรามาแบ่งกันไหม รินกินคนเดียวไม่หมดหรอก”
ร่างนั้นขยับเล็กน้อย คราวนี้สุ้มเสียงที่กระด้างเย็นชา ได้เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้น
“ระริน” หญิงสาวถูกเรียกชื่อเป็นครั้งแรก” เธอจะแบ่งให้ฉันกินจริงๆหรือ”
“พี่ค่ะ น้ำแค่นี้รินจะหวงทำไม” ระรินพูดใสซื่อเหมือนเด็ก
“แต่มันจะยุ่งนิดหน่อยนะ เธอเต็มใจจะทำหรือ” คราวนี้เสียงเริ่มเป็นกันเองขึ้น
“ไม่ยุ่งเลยคะ แก้วอยู่ในครัวใช่ไหมค่ะ”
ระรินถามทำท่าจะเดินลงบันได
“เดี๋ยว” เสียงนั้นยังเหมือนน้ำแข็งเช่นเดิม เพียงแต่ระรินเริ่มจะคุ้นบ้างแล้ว
“ระริน กว่าฉันจะได้กินก็อาจจะยุ่งยากสักหน่อยสำหรับเธอ เธอจะรังเกียจไหมที่ต้องรินน้ำให้ฉันก่อนที่เธอจะดื่มมัน อีกทั้งเธอต้องเอาไปตั้งบนโต๊ะเล็กๆคล้ายโต๊ะบูชาในห้องโถง และสุดท้ายคือ…..”
อยู่ๆเสียงของเธอก็แผ่วเบาลง เหมือนคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
“เธอต้องเอ่ยชื่อฉัน ไม่งั้นจะกินไม่ได้”
ระรินถึงแม้เติบโตมาจากบ้านนอก แต่ก็ได้บุพการีที่สั่งสอนและอบรมมาอย่างดี ปกติเธอจะประพฤติตัวเองในกรอบ นอกเหนือจากพ่
เชือดไม่เงียบ ตอนสอง อย่าขานรับเสียงเรียก (Furryjit)
สักครู่ป้าดาวก็ถือกุญแจพวงใหญ่มา ไม่ใช่แต่แค่นั้น อีกมือแกถือกระติกน้ำพลาสติกใสมีน้ำสีเข้มอมแดงอยู่ในนั้น พอเดินมาถึงแกก็ยื่นให้ริมริน
“เอ้าหนู ป้าเอามาให้หนูกับน้องลองชิม น้ำกระเจี๊ยบป้าทำเอง อย่าว่าป้าโฆษณาเลยนะ วันไหนตอนเย็นถ้าอากาศดี และถ้าป้า ไม่ปวดเมื่อย ป้าจะเข็นรถมาตั้งขายข้าวแกงขายน้ำตรงหน้าบ้านนี่แหละ กับข้าวมีไม่มีกี่อย่างหรอกลูก ป้าทำไม่ไหว แต่พอให้หนูๆนักศึกษาที่เช่าห้องแถวนี้มาฝากท้องกัน พูดตรงๆเลยนะ กำรี้กำไรอะไรป้าไม่สนหรอก เห็นหนูๆกินกันอิ่มป้าก็มีความสุขแล้ว ป้า
เหงาน่ะลูกเอ้ย ลูกชายป้าทำงานไกลสองสามวันถึงจะกลับมาที ได้เจอลูกค้าก็เหมือนได้เห็นลูกเห็นหลาน”
แม้คำพูดประโยคนี้จะฟังคล้ายกับเยินยอตัวเอง แต่ทว่าสีหน้าและแววตาที่ดูหมองลงของป้าเวลาพูดถึงลูกชาย บ่งบอกว่าแกไม่ได้พูดอย่างอื่นนอกเหนือจากความจริง
ริมรินเห็นปุ๊บก็มองออก เธอรีบขอบใจป้าเรื่องน้ำกระเจี๊ยบ แล้วพูดเอาใจ
“ป้าจะได้ลูกค้าประจำเพิ่มอีกคนแล้วค่ะ ถ้ายังไงฝากยายระรินอีกคนนะคะ พวกแกงเผ็ด ผัดเผ็ดน้องของหนูชอบมาก กินทีอย่างต่ำสองจาน”
ป้าดาวยิ้มออกมาได้ หน้าที่หงอยไปดูผ่องขึ้นมาทันที
“ได้เลยจัะ แล้วป้าจะทำให้ แต่บอกไว้ก่อนนะลูก เผ็ดของป้าหมายถึงเผ็ดจริง เด็กๆพากันน้ำหูน้ำตาไหล แต่ก็ชอบสั่งกินนะ”
พูดจบป้าแกก็หันไปทางประตูหน้าบ้าน
“เดี๋ยวป้าไขประตูให้ หนูทั้งสองจะได้ขึ้นไปดูห้องกัน กุญแจประตูใหญ่ป้าขอเก็บไว้เอง ตอนหนูอยู่บ้านล็อกกลอนจากข้างในก็พอ พี่กิ่งนะพี่กิ่ง เอากุญแจมาล็อกข้างนอกไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ดีนะ หนูนัทไม่มีธุระปะปังไปไหนแต่เช้า”
น้ำเสียงการพูดของแกเหมือนคุ้นเคยกับเจ้าของบ้านเป็นอย่างดี เลยฟังดูเหมือนกับบ่นไปอย่างนั้นเอง มากกว่าจะต่อว่าจริงจัง
ก่อนเข้าตัวบ้านป้าดาวพาสองสาวเดินดูต้นไม้ในสวนรอบๆ ระรินชอบใจเถาไม้เลื่อยที่ปลูกบนไม้ระแนง ป้าดาวอมยิ้มแล้วพูดขึ้น
“ถ้าหนูระรินมาอยู่แล้ว ว่างๆก็ช่วยพี่กิ่งแกรดน้ำต้นไม้บ้างนะลูก ถือว่าเอาบุญ ช่วยคนแก่ ที่ป้าพูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าให้เป็นภาระของหนูคนเดียวหรอกนะ เด็กๆที่บ้านนี้ก็ช่วยกันทุกคน”
“ค่ะ ป้าดาว”ระรินรับคำอย่างว่าง่าย สตรีสูงอายุกว่ายิ้มด้วยความพอใจ แล้วหันไปไขประตูบ้าน
“ที่บ้านนี้มีคนเช่าอยู่กี่คนค่ะ เป็นนักศึกษาทุกคนเลยหรือเปล่าค่ะ”
มือเหี่ยวกรังที่กำลังจะสอดลูกกุญแจหยุดชะงักงันวูบหนึ่ง เมื่อได้ยินคำถามจากระริน หากแต่ทั้งสองพี่น้องไม่ได้สังเกตเห็น
“เป็นนักศึกษาทุกคนจ้ะลูก พี่กิ่งแกให้เช่าเฉพาะนักศึกษาเท่านั้น” ป้าดาวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบปกติ หากแต่สีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของแกไม่มีใครได้เห็น เนื่องจากเจ้าตัวหันหลังให้สองพี่น้อง
แม้แต่ริมรินที่มีประสบการณ์ทางผู้คนมากกว่า เพราะเป็นพี่สาว ก็ไม่ได้เฉลียวใจว่า ทำไมป้าแกเลือกที่จะตอบเฉพาะคำถามท้ายประโยค
ส่วนระรินสักพักก็ลืมว่าตัวเองได้ถามอะไรไป เพราะมัวสำรวจห้องโถง ครัว ห้องน้ำ
และป้าดาวก็พาสองสาวขึ้นชั้นสองซึ่งมีห้องอยู่สามห้องและห้องน้ำหนึ่งห้อง
“ไม่ต้องห่วงเรื่องห้องน้ำห้องท่านะ หนูก็เห็นแล้วว่าข้างล่างก็มีอีกห้อง ส่วนห้องพี่กิ่งก็มีห้องน้ำส่วนตัว ถ้าฉุกเฉินจริงๆก็ไปใช้ได้เด็กๆอยู่กันมาหลายรุ่นแล้ว ไม่เคยได้ยินว่ามีปัญหาเรื่องห้องน้ำเลย”
หญิงสูงวัยผู้อารีย์พูดแล้วเดินไปเปิดประตูห้องที่อยู่ตรงกลาง ทั้งสองพี่น้องเดินเข้าไปดู
ถ้ากะด้วยสายตาขนาดความกว้างของห้องจะอยู่ที่ราวๆ3*4เมตร จัดว่าเป็นห้องขนาดเล็ก
มีเตียงหนึ่งหลัง โต๊ะเขียนหนังสือและโต๊ะเครื่องแป้ง
“ดีจัง” ระรินอุทานออกมาเสียงใสเหมือนเด็กๆ “มีเตียงกับโต๊ะด้วย จะได้ไม่ต้องลำบากขนมา”
ป้าดาวมองเด็กสาวด้วยความเอ็นดู
“ไม่รู้หนูระรินเห็นหรือเปล่า ในห้องรับแขกมีทีวีด้วยนะ ถ้าอยากจะดูก็ตามสบาย พี่กิ่งแกเตรียมไว้ให้พวกหนูๆดูกันนั่นแหละ ในห้องแกมีอยู่เครื่องหนึ่งแล้วไม่ออกมาแย่งดูหรอก อ้อ มี เน็ตด้วยนะ เขาฝากมาบอก ตัวป้าก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร เห็นมีคนแนะนำพี่กิ่งว่านักเรียนสมัยนี้ต้องใช้ มันจำเป็น พี่กิ่งแกเลยติดให้”
สีหน้าของระรินลิงโลดเหมือนได้ของเล่นที่ถูกใจ ริมรินมองดูน้องสาวแล้วอดแหย่ไม่ได้
“ไงย่ะ ยายระริน เธอคิดว่าจะอยู่ได้ไหม”
“อยู่สิค่ะพี่ ดีกว่าที่หนูคิดไว้ตั้งเยอะ ตอนแรกแค่เดินทางไปกลับมหาลัยสะดวก หนูก็ว่าดีแล้วค่ะ”
คุณดาวมองหน้าคนนั้นที คนนี้ทีแล้วปลื้มแทนพ่อแม่ของพี่น้องสองคน นึกอิจฉาว่าทำไมเธอไม่มีลูกสาวน่ารักอย่างนี้กับเขาบ้าง
เมื่อคืดแล้วก็ทำให้ต้องทอดถอนใจ เธอปลดกุญแจจากพวงสองดอกแล้วยื่นส่งให้
“เอ้า นี่กุญแจประตูหน้า นี่กุญแจบ้าน เก็บดีๆ อย่าทำหายนะลูก แล้วจะย้ายมาเมื่อไหร่ล่ะ”
“หนู เอ่อ”ระรินพูดแค่นั้นแล้วหันมามองหน้าพี่สาว ริมรินเลยตอบสตรีชราแทน
“คงหลังจากวันพรุ่งนี้ค่ะป้าดาว ให้แม่เค้าทำใจวันหนึ่งก่อน ปุบปับจะมาพรุ่งนี้เลย แม่หนูร้องไห้แย่แน่เลย”
“ก็แน่ล่ะ เป็นป้ามีลูกสาวน่ารักอย่างนี้ก็เป็นห่วง ไม่อยากให้ไปไหนไกล อ้าว ตายจริง” ป้าดาวร้องออกมาเมื่อนึกอะไรได้
“ได้เวลาให้ข้าวหมาที่บ้าน ป้าลืมเสียสนิท โถ ป่านนี้คงร้องกันใหญ่แล้ว โอ้ย โทษทีป้าต้องรีบกลับไปคลุกข้าวให้พวกมันตอนนี้เลย หนูสองคน อย่าเพิ่งไปไหนกันนะ นั่งกินน้ำกระเจี๊ยบเย็นๆรอก่อน เดี๋ยวเสร็จแล้วป้ากลับมา จะได้แลกเบอร์โทรกันด้วยเผื่อมีอะไร”
ริมรินรีบยื่นกระติกน้ำในมือให้น้องสาวทันที แล้วเดินมาเกาะแขนหญิงสูงวัยร่างท้วม
“ให้หนูไปส่งนะค่ะป้า ถ้าป้าไม่ว่าอะไรหนูอยากช่วยป้าคลุกข้าวด้วยค่ะ อยู่บ้านหนูก็เลี้ยงหมา เอาอาหารให้กินประจำ”
“จริงหรือหนู” สตรีสูงวัยกว่าแสดงความดีใจออกมาอย่างชัดเจน
“ไปสิลูก แม่คุณช่างใจบุญแท้ หมาจรทั้งนั้นแหละ ป้าสงสารเห็นแล้วอดเอามาเลี้ยงไม่ได้ แต่แปลกนะ ทั้งๆที่ไม่มีเจ้าของ แต่พวกมันไม่ดื้อ ไม่ดุ ไม่เห่าสะเปะสะปะเลย”
“ดีจังเลยค่ะ ถ้างั้นเรารีบไปกันนะคะ ป่านนี้พวกมันหิวแย่แล้ว” ริมรินพูดแล้วหันมาทางน้องสาว
“ระริน น้องอยู่นี่แหละ ดูห้องเสร็จแล้วก็ลงไปนั่งรอข้างล่าง กินน้ำกระเจี๊ยบไปพลางๆก่อน”
“หนูจะรินเก็บไว้ให้พี่ด้วยนะค่ะ จะได้ล้างกระติกคืนป้าเค้า” ระรินเหมือนกับเด็กหญิงตัวน้อยเวลาพูดกับพี่สาว ทำให้ดูน่าขันและน่ารักในเวลาเดียวกัน
ป้าดาวโบกมือ
“โอ้ย ไม่ต้องหรอกลูก บ้านอยู่ใกล้กันแค่นี้ ค่อยคืนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องเก็บให้พี่เค้าหรอก บ้านป้ามีอีกเยอะแยะ”
ป้าดาวกับพี่ริมรินเดินออกไปแล้ว อารามดีใจแกเลยคว้าข้อมือหญิงสาวเดินจูง เหลือระรินไว้ตามลำพัง
หญิงสาวกวาดสายตาสำรวจห้องอีกรอบหนึ่ง ก็ตั้งใจว่าจะเดินลงไปที่ห้องรับแขก เมื่อออกพ้นห้องสายตาเธอก็สะดุดกับร่างๆหนึ่ง ยืนอยู่หน้าห้องที่ถัดไปจากห้องเธอ
ถึงแม้จะเห็นมาก่อนแค่แว่บเดียว แต่ระรินก็ระบุได้ว่า นี้คือคนๆเดียวกับหญิงสาวที่เธอเห็นตรงหน้าต่างเมื่อก่อนหน้านี้
แต่เดี๋ยว ระรินเริ่มสับสน ห้องนั้นมันอยู่ถัดไปทางซัายนี่นา เพราะหน้าต่างมันหันออกทางประตูหน้าบ้าน ทำไมผู้หญิงคนนี้เหมือนกลับเดินออกมาจากห้องที่อยู่ทางขวา โดยมีห้องเธออยู่ตรงกลาง
อะไรก็ไม่เท่าสายตาที่ผู้หญิงคนนั้นมองมา ระรินรู้สึกว่ามันแปลกๆอย่างที่คนธรรมดาเขาไม่มองกัน มีบางอย่างไม่ปกติ แต่หญิงสาวบอกไม่ถูกว่าอะไร
ใบหน้าของเธอขาวมาก ทว่าค่อนไปในทางซีดเผือด ระรินมั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ทา
รองพื้นแน่ เพราะว่าต้นคอและมือที่โผล่ออกมาจากเสื้อแขนยาวก็สีผิวดุจเดียวกัน
ถ้าจะมีอะไรในตัวเธอที่มองแล้วไม่รู้สึกพิกลๆ นั่นก็คือผมที่ดำสนิทเหมือนขนกาน้ำ ยาว ตรง ทิ้งตัวลงมาอย่างมือน้ำหนัก
ผู้หญิงคนนั้นยืนตรงไม่ไหวติงราวกับหุ่นโชว์เสื้อผ้า สายตาคู่นั้นทำให้ระริน
ตะครั่นตะครอไปทั้งตัว
ระรินไม่เคยเห็นใครที่เอาแต่จ้องหน้าอย่างเดียว แต่ไม่พูดไม่จาเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นจึงเกิดอารมณ์พุ่งขึ้น เธอเลยฮึดเดินตรงเข้าไป เพราะถ้าจะลงบันได อย่างไรเสียก็ต้องผ่านห้องนั้นอยู่ดี
เมื่อเข้าใกล้ จู่ๆก็รู้สึกเหมือนอุณหภูมิในบ้านลดวูบลง จนเริ่มหนาวเย็นยะเยือก
ระรินตัวสั่นเล็กน้อย เพราะอากาศที่เปลี่ยนไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย นึกเคืองใครก็ตามที่ตั้งเวลาเปิดแอร์อัตโนมัติไว้ตอนนี้
แต่ผู้หญิงคนนั้นดูไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งนั้น ยังคงยืนตัวแข็งอย่างไม่รู้สึกอะไร
“สวัสดีค่ะ พี่ชื่อนัทใช่ไหมค่ะ ฉันชื่อระรินค่ะ ทราบชื่อพี่มาจากป้าดาว” ระรินตัดสินใจทักก่อน พร้อมทั้งส่งยิ้มให้ด้วยไมตรีจิต
เอาล่ะ สมมติว่าหยิ่ง แต่ส่งยิ้มและทักทายอย่างนี้ ยังไงก็ต้องใจอ่อนบ้างแหละ ระรินนึกในใจ
“ฉันชื่อแนท” เสียงเย็นยะเยียบปานน้ำแข็งดังขึ้น ระรินสาบานได้ว่าเห็นปากของเธออ้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่รู้บังคับเสียงอย่างไรให้กังวานเช่นนี้
“อ๋อ ขอโทษค่ะพี่แนท” ระรินรีบพูดพลางนึกในใจ โดยไม่คิดเป็นอย่างอื่นว่า ป้าดาวเป็นคนรุ่นเก่า ไม่แปลกที่มักจะออกชื่อตั้งมาจากตัวอักษรอังกฤษผิดๆถูกๆ อย่างเช่น แนทเพี้ยนเป็นนัท
“รินกำลังจะย้ายมาอยู่ที่บ้านนี้ค่ะพี่ ถ้ามีอะไรช่วยแนะนำด้วยนะค่ะ” ระรินพูดพลางยกมือไหว้
“เห็นกับที่เธอมีมารยาท ฉันจะแนะนำอะไรให้ ฟังให้ดี”
ริมฝีปากนั้นขยับเพียงเล็กน้อย ส่วนใบหน้าดูไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆจนผิดธรรมชาติมนุษย์ อย่างไรก็ดีระรินซึ่งอ่อนต่อโลกไม่ได้จับสังเกตตรงนี้เลย เพราะเธอตอบรับว่าค่ะ แล้วก้มหน้าสงบปากรับฟังตามนิสัยที่ได้อบรมมาดี
“เวลากลางคืน ไม่ว่าใครก็ตามมาเรียกที่หน้าบ้าน หรือเคาะประตูห้องเธอ อย่าได้ขานรับหรือเปิดให้เข้าเป็นอันขาด”
ความฉงนทำให้ระรินเงยหน้าขึ้นมองอย่างลืมตัว จนได้สบสายตากับสตรีประหลาดที่ชื่อแนท
ดวงตาทั้งคู่ของเธอเหมือนน้ำนิ่งในบ่อลึก ไม่มีเคลื่อนไหว ไม่มีชีวิตชีวา ดูเหมือนลูกตาของปลาตายที่ขายตามตลาดสดอย่างไรไม่รู้
“เอ่อ รินขอโทษที่ต้องถามพี่แนทว่า มีเหตุผลอะไรค่ะ ที่ต้องทำอย่างนั้น” ระรินพูดติดขัด รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา
“มี” เสียงตอบแบบเย็นเฉียบ แต่ก้องเต็มสองรูหูหญิงสาว
“ถ้าเธออยากปลอดภัย ก็อย่าทำในสิ่งที่ฉันห้าม”
ระรินเกาศีรษะแกร็กๆ ท่วงท่านี้ถ้าเป็นคนอื่นทำคงไม่น่ามอง แต่พอเป็นเธอทำกลับกลายเป็นตรงกันข้าม
“ต้องขอโทษพี่แนทจริงๆ กับความขี้สงสัยของริน และถ้าพี่สาวของรินมาหาตอนกลางคืนล่ะค่ะ อยากรู้จริงๆ ขอยืนยันว่าไม่ได้กวนนะค่ะ”
ผู้หญิงที่ชื่อแนทมองระรินด้วยใบหน้าที่ตายด้าน ไร้ความรู้สึก แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่บ่งบอกถึงความเอือมระอา
“ฉันได้พูดว่า “ไม่ว่าใครก็ตาม” มันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย ถ้าเธอไม่อยากเป็นอะไรก็พยายามอย่าเข้าใจให้มันยาก”
“ค่ะ ค่ะ” ระรินรับคำทั้งที่หัวสมองเธอสับสน พัลวันไปหมด ทันใดนั้นสายตาที่ปราศจากแววสดใสก็มองมายังมือของหล่อนอย่างสนใจ
“น้ำกระเจี๊ยบ”ถ้าฟังไม่ผิด ระรินรู้สึกว่าคมกร้าวของน้ำเสียงนั้นอ่อนลง “ ฉันเคยชอบมันมาก เมื่อก่อนฉันเคยกินบ่อยๆ”
ระรินกำลังมึนตึ้บ ก็เลยไม่ได้สะดุดใจกับรูปประโยคที่เป็นอดีตผ่านมาแล้วของผู้พูด แต่อย่างน้อยเธอก็จับใจความได้ข้อหนึ่ง ก้มลงมองกระติกใสที่บรรจุน้ำกระเจี๊ยบในมือ แล้วถามสตรีเบื้องหน้า
“พี่แนทชอบหรือค่ะ เรามาแบ่งกันไหม รินกินคนเดียวไม่หมดหรอก”
ร่างนั้นขยับเล็กน้อย คราวนี้สุ้มเสียงที่กระด้างเย็นชา ได้เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้น
“ระริน” หญิงสาวถูกเรียกชื่อเป็นครั้งแรก” เธอจะแบ่งให้ฉันกินจริงๆหรือ”
“พี่ค่ะ น้ำแค่นี้รินจะหวงทำไม” ระรินพูดใสซื่อเหมือนเด็ก
“แต่มันจะยุ่งนิดหน่อยนะ เธอเต็มใจจะทำหรือ” คราวนี้เสียงเริ่มเป็นกันเองขึ้น
“ไม่ยุ่งเลยคะ แก้วอยู่ในครัวใช่ไหมค่ะ”
ระรินถามทำท่าจะเดินลงบันได
“เดี๋ยว” เสียงนั้นยังเหมือนน้ำแข็งเช่นเดิม เพียงแต่ระรินเริ่มจะคุ้นบ้างแล้ว
“ระริน กว่าฉันจะได้กินก็อาจจะยุ่งยากสักหน่อยสำหรับเธอ เธอจะรังเกียจไหมที่ต้องรินน้ำให้ฉันก่อนที่เธอจะดื่มมัน อีกทั้งเธอต้องเอาไปตั้งบนโต๊ะเล็กๆคล้ายโต๊ะบูชาในห้องโถง และสุดท้ายคือ…..”
อยู่ๆเสียงของเธอก็แผ่วเบาลง เหมือนคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
“เธอต้องเอ่ยชื่อฉัน ไม่งั้นจะกินไม่ได้”
ระรินถึงแม้เติบโตมาจากบ้านนอก แต่ก็ได้บุพการีที่สั่งสอนและอบรมมาอย่างดี ปกติเธอจะประพฤติตัวเองในกรอบ นอกเหนือจากพ่