🌼💖💖🌼 THE WEEKLY GLOVES วีคที่ 13 เรื่องสั้น#24 "เนื้อคู่" โดย "ถุงมือวันเวย์" 🌼💖💖🌼

กระทู้คำถาม


เรื่องสั้นประจำต้นวีคนี้ เลิฟ สตอรี่ ครับ...ผู้เขียน ให้ชื่อเรื่องว่า "เนื้อคู่"

จะเป็นไปอย่างไร แฮปปี้ เอ็นดิ้ง หรือว่าจะเศร้าสะเทือนใจเรียกน้ำตา...

มาอ่านกัน และช่วยกันควานหาตัวคนเขียนกันครับ........อมยิ้ม04หัวใจดอกไม้








    “เสียใจด้วยนะนายจัมโบ้ แม่เอ็งไม่ยอมให้หย่าโว้ย ฮ่ะๆ ! ฉันอัดเสียงแม่มาแล้ว ไม่ได้พูดเอาเอง”

    พลอยชมพูพูดคนเดียว ขณะเปิดเครื่องบันทึกภาพเคลื่อนไหวจากโทรศัพท์ประจำตัว หลังจากเข้าไปอยู่ในที่นั่งคนขับเรียบร้อยแล้ว

    “ทุกอย่างในชีวิตของแม่กันยา...เป็นสิ่งที่เค้าตั้งใจจะให้เราสองคนช่วยกันดูแล แม่บอกว่าเรา-เราเป็นคู่แท้กันแล้ว...อย่าให้ต้องลงเอยแบบ—แม่-กับ-พ่อเลย”

    เสียงที่ดังในทีแรกแผ่วลง สั่นเครือ และขาดเป็นห้วงในประโยคสุดท้าย พร้อมกับน้ำตาหยาดลงตามร่องแก้ม หล่อนปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้นสักพัก ก่อนจะปิดการบันทึก แล้วหย่อนโทรศัพท์ลงในช่องใส่ของข้างกาย คว้ากระดาษชำระมาเช็ดหน้าเช็ดตา สั่งน้ำมูก คาดเข็มขัดนิรภัย แล้วก็หายใจเข้ายาวๆ จากนั้นจึงติดเครื่องยนต์แล้วค่อยๆ ขับมันออกไป

    มิราคันจิ๋วสีช็อกโกแลตทรงกะทัดรัดแต่ทะมัดทะแมงด้วยโรลล์บาร์ในกระบะหลัง มันเป็นยานส่วนตัวที่หล่อนซื้อมาใช้สมัยทำงานใหม่ๆ กระทั่งสิบห้าปีมาแล้วก็ยังใช้สอยกันมาได้แบบไม่ต้องห่วงอันใด เพราะชีวิตส่วนใหญ่ของหล่อนก็คือนกน้อยในกรุงที่ตระเวนไปตามตรอกซอกซอยและถนนราดยางกับคอนกรีต ออกไปต่างจังหวัดบ้างก็คือบ้านพี่สาวที่จังหวัดชายทะเลทางลงใต้ กับไปเยี่ยมพ่อของสามีที่ระยอง และนับแต่คู่ชีวิตของหล่อนหารถยนต์นั่งคันใหม่มาใช้ได้สามปีเศษ เจ้าเปี๊ยกคันนี้จึงไม่ได้ออกนอกเขตกรุงเทพฯอีกเลย

    ยามนี้ต่างหากที่หล่อนน่าจะขับมันออกไปนอกมหานครแห่งนี้เสียบ้าง พลอยชมพูคิดอย่างแค้นเคืองผสานกับความเศร้าสร้อยที่เข้ามากุมหัวใจไว้เสียหนักหนาจนยากที่จะสลัด ทว่า ความพะวงและห่วงหาอาทรคนข้างกายไม่ยินยอมให้ทำเช่นนั้น

    หล่อนต้องกลับเข้าบ้าน กลับไป เพื่อหวังว่าจะได้พบกับเขา เช่นที่เคยเป็นตลอดทั้งเกือบสิบห้าปีที่ผ่านมา และถ้าจะบวกอีกหกปี สำหรับพื้นฐานสำคัญของสายใยระหว่างหล่อนกับเขาก่อนนั้น ชีวิตนักเรียนมัธยมในสถานศึกษากลางกรุงที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง มันก็ตั้งยี่สิบเอ็ดปี

    “ไอ้คนตาบอด” หล่อนตำหนิสามีดังๆ อย่างเจ็บใจ

    หล่อนอยากโทษตัวเองที่ไม่เคยคิดอะไรแบบ “เผื่อใจ” ไว้บ้าง ตามคำเตือนของเพื่อนๆ กลุ่มที่แต่งงานกันไปแล้ว ทั้งแบบทีเล่นทีจริง และแบบจริงจัง

    “คอนเฟิร์มพระเอกของแกมั่งนะเว้ยนังพลอย เด็กดีแบบนั้นน่ะ ระวังจะถูกฉก” ลูกน้ำ เพื่อนสาวจอมแสบในก๊วนมัธยมเคยพูดไว้ตอนคุยโทรศัพท์กันเมื่อสักหนึ่งปีที่ผ่านมา

    “ดำๆ เตี้ยๆ แบบอีพี่โบ้เนี่ยเรอะจะถูกฉก” ว่าแล้วพลอยชมพูก็หัวร่อชอบใจ “มาเล้ย ใครวะจะปิ๊งยาหยีของพลอยชม ?“ หล่อนมีคำเรียกตัวเองที่เก๋ไก๋อย่างนี้เสมอ

    เพราะเหตุนี้ เมื่อปลายเดือนก่อน พลอยชมพูจึงช็อกสุดขีด ในเย็นวันที่เขาเอ่ยปากออกมา หลังจากกลับเข้าบ้านได้ครู่ใหญ่  

    “เขาขอหย่าเรา ฤดี...ถามว่า ทำไมพี่โบ้จะขอหย่าพลอย เกิดอะไรขึ้น ? ไม่ตอบจ้ะเธอ พี่โบ้เบื่อพลอยเหรอ ? เงียบ....รังเกียจเมียที่กำลังรักษาไบโพลาร์ใช่มะ ? หรืออึดอัดที่น้องไม่ออกไปทำงานนอกบ้าน...เขาบอก ‘เปล่า’ แล้วทำไมล่ะ ทำไมพี่อยากเลิก ?...” น้ำคำของหล่อนพรั่งพรูไปทางสายโทรศัพท์ถึงมิตรสนิทที่อยู่ห่างออกไปร่วมห้าร้อยกิโลเมตรในจังหวัดทางตอนเหนือ

    “เรานะหมดเรี่ยวหมดแรง เหมือนโลกแตกลงต่อหน้า ร้องไห้อยู่บนที่นอน น้ำท่าไม่อาบ กินข้าวไม่ลงอยู่สองวัน กลับมาสูบบุหรี่อีก หนักเลย พอวันที่สาม..เฮ้ย ทำไมชีวิตกูเป็นแบบนี้วะ ? ได้สติแล้วพลอยชมก็สืบสิ กูมันนักข่าวเก่านี่หว่า ฤดีรู้มะ อีพี่โบ้มันติดกับดัก--กับดัก”  

    “ยังไงเหรอ ?” เพื่อนถามกลับมาด้วยความอยากรู้

    “กับดักในออฟฟิศค่า” พลอยชมพูทำเสียงเล็กเสียงน้อยก่อนจะเอ่ยต่อแบบชิงชัง “ไก่แก่แม่ปลาช่อนว่ะ นังหัวหน้างานพีอาร์ในบริษัทนั่นแหละ เดี๋ยวจะส่งรูปให้ดู”

    คุยกันได้สองวัน ฤดีก็จัดกระเป๋าเสื้อผ้านั่งรถไฟลงมาหาที่กรุงเทพฯ เพราะความเป็นห่วงเพื่อนรัก เนื่องจากพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเพียงสองคน แม้ครอบครัวเดิมของพลอยชมพูจะอยู่เกือบใจกลางกรุงเทพฯ แต่หล่อนก็ไม่เคยสนใจความห่วงใยของแม่กับพ่อในฐานะที่ตัวเป็นลูกสาวคนเล็ก พอมีโอกาสก็ย้ายออกมาอยู่บ้านของตัวเองด้วยความสบายใจ ในเขตกึ่งปริมณฑลและในหมู่บ้านจัดสรรที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ห่างจากปากทางเข้าเกือบหนึ่งกิโลเมตร

      “ต้องเป็นความลับนะฤดี ให้ใครรู้ไม่ได้ ที่บ้านก็ไม่ได้...ยิ่งเพื่อนๆ ในกลุ่มเราด้วย ห้ามเลย” พลอยชมพูละล่ำละลักกับฤดีทางโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “วันแต่งงาน พ่อกับแม่ลูบหัวเขา ‘ฝากลูกสาวพ่อกับแม่ด้วยนะโบ้ ดูแลน้องพลอยให้ด้วยนะลูก’..พ่อกับแม่เราก็รักเขา ไม่เอาไว้เลย สินสอดให้มาหมด บอกเอาไปตั้งตัว พ่อแม่แก่แล้วไม่ได้ใช้” หล่อนเล่าปนน้ำตา เสียงสะอื้นและสูดจมูกสลับกันไป “แล้วดูมันทำกับเราสิฤดี เดิมเราก็ต้องรับยาหมออยู่แล้ว นี่ยิ่งมาทำให้ช้ำหนัก”

    ก่อนหน้านี้ พลอยชมพูเคยเปิดใจกับฤดีมาแล้ว เรื่องสถานภาพผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ หรืออารมณ์แปรปรวนสองขั้วของตนเอง ซึ่งมาจากปมขัดแย้งเบื้องลึกในครอบครัวเดิม ทำให้ต้องพึ่งแพทย์เพื่อใช้ยาช่วย “ปรับสมดุลของเคมีในสมอง”  โรคนี้ทำให้เพื่อนรักของฤดีมีทั้งอารมณ์ซึมเศร้า กับสภาวะแปลกประหลาดคาดเดายาก สลับกันไปในแต่ละช่วงเวลา ศัพท์แพทย์เรียกว่า “แมเนีย” ซึ่งพลอยชมพูก็อธิบายให้เธอฟังโดยไม่ปิดบัง

    “พอสมองหลั่งสารโดปามีนมากไปและใช้เมลาโทนินน้อยไป ก็ไม่ยอมหลับยอมนอนสิเธอ ตื่นเต้น คึก พูดมากแบบคนเมา ขัดใจไม่ได้ด้วย แถมเชื่อคนง่ายอีก คือพร้อมจะรักทุกคนที่ฉันถูกใจ หมอบอก บางคนแจกเงินเด็กเสิร์ฟไปเรื่อย ไม่ก็ให้ยืมตังค์ง่ายๆ เออ...แต่พลอยชมยังไม่เคยแจกเงินใครแบบไร้สติขนาดนั้นว่ะ” หล่อนหัวเราะกับตัวเอง ขณะที่ฤดีรู้สึกเวทนาเพื่อนเพราะพลอยชมพูต้องรักษาด้วยการกินยาอย่างต่อเนื่องเท่านั้น

    “เราเป็นหนึ่งเปอร์เซ็นต์เศษๆ ของคนไทยร้อยคนที่เป็นโรคนี้นะฤดี...” หล่อนเว้นห้วงพูด ก่อนจะยิ้มอย่างขื่นๆ “โชคดีชิบเป้ง นังพลอยชมพู”

    “นี่เขากลับบ้านไหมพลอย” ฤดีถามอย่างห่วงใย หลังจากรับรู้ปัญหาใหญ่ของเพื่อน

    “เดือนนี้มาแค่สองครั้ง มาเอาเสื้อผ้ากับงานเก่าในคอม ถามว่าพี่นอนที่ไหน เขาบอกที่ไซท์งาน เราไม่อยากเชื่อเลยเพื่อน ตาคนนี้มันไม่ชอบพักที่ไซท์หรอก ต้องปดเราแน่”

    “เดี๋ยวมะรืนนี้เราจะลงไปหานะ ใจเย็นๆ จ้ะ”

    สายสัมพันธ์ของหล่อนกับฤดีแนบแน่นยิ่งกว่าเพื่อนสมัยมัธยม ทั้งที่อยู่ร่วมคณะกันเพียงสี่ปี การเป็นเด็กหอในมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดคือช่วงเวลาที่พึงจำสำหรับทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นสาวเปรี้ยว มั่น แบบเด็กในกรุง โดดเรียนเป็นปกติ ส่วนอีกคนเป็นเด็กสาวกะโปโลจากต่างจังหวัด เรียบง่าย เคารพกฎ และตั้งใจเรียน แต่ทั้งคู่กลับผูกพันกันมากอย่างไม่น่าเชื่อทั้งที่ไม่ได้พักห้องเดียวกัน

    คืนหนึ่งริมสระน้ำในมหาวิทยาลัย ในชุดนักศึกษาที่ท่อนบนเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวเหมือนกัน พลอยชมพูสวมกระโปรงยีนสั้นเหนือเข่า พิงต้นไม้สูบบุหรี่ด้วยท่วงทีเจนจัด ส่วนฤดีสวมกระโปรงจีบรูดยาวครึ่งแข้ง นั่งดูดน้ำเต้าหู้จากหลอดที่เสียบคาถุงพลาสติก พวกเธอคุยกันเรื่องชีวิตของเด็กปีสอง

    “หอมดอกลั่นทมเนอะ” พลอยชมพูแหงนดูสีขาวของกลีบดอกไม้บนกิ่งก้านที่อยู่เหนือศีรษะอย่างพึงใจ แล้วก็พูดต่อ “แต่ดันมีกลิ่นบุหรี่นังพลอยชม” หล่อนทำเสียงประชดตัวเอง แล้วสบตากับฤดี

    “เขียนเรื่องสั้นดีกว่าเพื่อน กลิ่นลั่นทมกับควันบุหรี่ในคืนเดือนมืด...เข้าท่ามะ”

    ทุกครั้งที่ปรารถนาเพื่อนคู่คิด พลอยชมพูจะนึกถึงเพื่อนสาวคนนี้เสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน น่าตื้นตันใจ มีบางอย่างที่ทำให้ทั้งคู่ต่างเชื่อมั่นว่ามิตรภาพของพวกเธอยังงดงามคงเดิม การมาเยือนของฤดีครั้งนี้คือครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้พบกัน หลังจากพลอยชมพูย้ายเข้าบ้านหลังใหม่ของหล่อนกับเขาเมื่อสี่ปีที่แล้ว

    เมื่อพบหน้ากัน พลอยชมพูโผกอดเพื่อนที่มีรูปร่างสูงกว่าด้วยความคิดถึงและด้วยอารมณ์สะเทือนใจ ฤดีจับมือเพื่อนไว้ บีบเบาๆ มองใบหน้าที่มีร่องรอยการร่ำไห้อย่างหนักของเพื่อนด้วยความเวทนา

    “ดูแลตัวเองก่อนพลอย” ฤดีพูดเนิบๆ ในแบบของเธอ แล้วก็เริ่มเย้าแหย่เพื่อน “อยากกินอะไรบอก แม่ครัวมาแล้ว”

    ห้าวันที่มีฤดีเป็นเพื่อน และนราไม่ได้ย่างกรายมาที่บ้านนอกจากการสื่อสารผ่านโทรศัพท์เพียงไม่กี่หนอันผิดไปจากเคย พลอยชมพูใช้เวลาส่วนหนึ่งสะสางงานบ้านที่เธอสะสมไว้ราวกับจะทำสถิติ ทั้งผ้าที่ใช้แล้วในตะกร้า ขยะในบ้านและนอกบ้าน ความเกลื่อนกลาดกระจัดกระจายของสรรพสิ่งประดามีตรงเก้าอี้รับแขกหน้าจอโทรทัศน์ ซึ่งทั้งหมดมีที่มาจากทั้งปัญหาใหญ่ที่เพิ่งปรากฏ บวกกับวิธีบริหารจัดการของพลอยชมพูเอง

    “ไม่ต้องตกใจนะเพื่อน พลอยชมเป็นแม่บ้านอารมณ์ศิลปินค่ะ” คืนแรก เธอเดินนำฤดีผ่านห้องแต่งตัวเพื่อเข้าไปในห้องนอน ฤดีเห็นตะกร้าที่พูนไปด้วยเสื้อผ้าขณะที่หลายชิ้นถูกกองไว้กับพื้นบริเวณนั้น

    “คือว่าใส่จนหมดโควต้าแล้วค่อยว่ากัน” แล้วเจ้าตัวก็หัวเราะชอบใจ

   “ซักแต่ชั้นในสิท่า ?” ฤดีดักคอ

    “บ้าน่าตัว...” ยามมีเพื่อนเคียงใกล้ หล่อนก็เริ่มพูดจาเล่นหัว

    “พลอยชมมีลิงเกือบสองโหลค่ะเพื่อน ถอดแบบรูดกอง รูดกอง พอถึงคิวตัวสุดท้ายค่อยเริ่มซัก ฮ่าๆ” ท้ายประโยคคือเสียงหัวเราะอย่างสบายใจเป็นครั้งแรกของพลอยชมพู “อีพี่โบ้มันก็ทนเราได้นะ เอ...รึมันเริ่มหมดความอดทนแล้ววะเนี่ย ?” ไม่ว่าคุยเรื่องใด พลอยชมพูก็ยังไม่วายกลับมาลงเอยที่ประเด็นนี้อยู่นั่นเอง

    หล่อนแจงว่า ราวสามเดือนที่ผ่านมา นรามีกิจต้องประสานงานกับหัวหน้างานประชาสัมพันธ์ของบริษัท เพื่อเตรียมเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรเฟสใหม่ในเขตนนทบุรีที่เขาร่วมดูแลในฐานะวิศวกรโยธา เหตุนี้จึงทำให้สามีหนุ่มของหล่อนเดินไปตกเหวสวาทของเธอผู้นั้นโดยไม่ทันตั้งตัว
        
   “หัวหน้าพีอาร์...ชื่อกัญญามาศ” หล่อนมองหน้าเพื่อนด้วยสายตามีแววเจ็บช้ำ “พี-อาร์...เออ มันก้อ ‘ปิ๊-อ้า’ นั่นละวะ” บางคำที่จงใจเชือดเฉือน หล่อนก็เค้นเสียงอย่างสะใจจนฤดีอดหัวเราะไม่ได้แม้ในความเศร้า

   เป็นที่รู้กันดีในกลุ่มเพื่อน สำหรับเรื่องราวสองแง่สองง่ามชนิดที่ผู้หญิงทั่วไปไม่ใคร่จะพูด พลอยชมพูคือเบอร์หนึ่งในเรื่องนี้ บ่อยครั้งที่หล่อนเป็นฝ่ายโต้ตอบกับเพื่อนผู้ชายในคณะชนิดที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ทำให้อีกฝ่ายต้องค่อยๆ หลบฉากไปเอง

   ทว่า เบื้องหลังเสียงหัวเราะหัวใคร่และคำพูดที่โลดโผน พลอยชมพูกลับเป็นหญิงสาวที่อ่อนไหว สะเทือนใจง่าย และขี้สงสาร ซึ่งฤดีก็เป็นเช่นนั้นด้วย และจุดร่วมสำคัญของคนทั้งคู่ก็คือห้วงวัยเยาว์อันแหว่งวิ่นไปด้วยเหตุปัจจัยที่ขมขื่นแตกต่างกัน

   “เวลานอนนะฤดี เราต้องให้เขาเอาไหล่เกยไหล่เราไว้นิดนึง ให้รู้สึกว่ามีเขาอยู่ด้วย”

    คืนนั้นพลอยชมพูเผยความในใจขณะที่มีเพื่อนสาวอยู่เคียงข้างบนเตียงของหล่อน น้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเท้าความหนหลัง

    “เขากับเราไม่เคยห่างกันนานเลยฤดี...”

    ฤดีรู้ว่านราเองก็รักและผูกพันกับเพื่อนรักของเธอคนนี้มากที่สุด ปีแรกในมหาวิทยาลัย ครั้งที่เขาอยู่ในภาคอีสาน ส่วนพลอยชมพูอยู่ภาคกลาง นรามักหาโอกาสวันหยุดนั่งรถไฟกลับกรุงเทพฯเพื่อจะได้พบกัน ก่อนที่จะตัดสินใจสอบใหม่ในปีถัดมาเพื่อที่จะได้เข้าเรียนในสถาบันที่ไม่ไกลจากคนรักมากนัก

   “มันทรมานนะ คนรักกันก็อยากอยู่ด้วยกัน ฤดีเอ๊ย...” ยามนั้นหล่อนเล่าเพื่อนสนิทอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าพี่โบ้มันไม่หักห้ามใจ ก็คงไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วล่ะ นี่เขากลับเป็นคนพูดเอง ‘เก็บไว้วันแต่งงานมั่งเถอะนะพลอย’” นัยน์ตาของสาวรุ่นวัยรักผลิบานฉายแววฟุ้งฝันขณะเล่า

(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่