บทที่ 2
ในตอนสายคณะของคุณอารีรัตน์ก็มาพบตามที่นัดเอาไว้ พลอยชมพูถูกเรียกออกไปต้อนรับจัดหาเรื่องน้ำดื่มและอาหารว่างเล็กๆน้อยๆ
หญิงสาวรู้สึกประหม่าเมื่อ ‘เขา’ ผู้นั้นอยู่ด้วย นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่มีโอกาสได้เจอ ‘พี่ตี๋’ หนึ่งปี สองปีหรือจะมากกว่านั้น
ด้วยระยะหลังภาระหน้าที่งานของเธอเพิ่มมากขึ้น และเขาก็คงเติบโตในสายงานอย่างเต็มที่
ตามคำบอกเล่าของมารดาเมื่อไปเยี่ยมเยือนคุณป้าอารีรัตน์
“ไม่ได้เจอยายพลอยเสียนานยังทำงานอยู่ที่เดิมไหม?”
คุณอารีรัตน์เอ่ยถามหญิงสาว เมื่อเธอวางจานขนมลงตรงหน้า
“ที่เดิมค่ะคุณป้า”
หญิงสาวตอบเสียงเบา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองด้วยข้างกายของผู้เอ่ยถาม คือ ‘เขาผู้นั้น’ ผู้มากวัยกว่าใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที
สำรวจพลอยชมพูอย่างพิจารณา รูปร่างที่ยังอวบอ้วนอาจไม่สะดุดตาผู้ชายเท่ากับผู้หญิงที่มีรูปร่างสมส่วน หลานสาวห่างๆของ
เธอคนนี้ควรปฎิรูปเรือนร่างตัวเองเสียใหม่ก่อนถึงวันแต่งงาน
“ยายพลอยออกไปดูหน้าร้านให้แม่หน่อย…ชวนพี่เขาออกไปด้วยซิ เห็นบอกว่าชอบต้นไม้ไม่ใช่เรอะ”
นั่นเป็นการบอกใบ้ว่าผู้เป็นมารดาต้องการสนทนากับผู้มาเยือนเพียงลำพัง พลอยชมพูหันไปมองเจ้าของร่างสูงโปร่ง
ดวงตาดำเรียวรีคู่นั้นก็แลสบมาพอดี ความรู้สึกร้อนวูบวาบจึงแผ่ซ่านไปทั้งตัวร่าง หญิงสาวรีบเดินออกไปโดยมีร่างสูงลุกขึ้นเดินตามไปห่างๆ
ริมทางเดินไปสู่หน้าร้านที่ติดกับถนนใหญ่เรียงรายด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด ทั้ง นีออน โกสน หลิวไต้หวัน ส่วนใหญ่เป็นไม้ชอบแดดจัด
ช่อดอกสีแดงสดของต้นชวนชมบานสะพรั่งเต็มกระถางที่จัดวางแยกกลุ่มเอาไว้
“พี่ตี๋อยากได้ต้นอะไรเป็นพิเศษล่ะคะ? เดี๋ยวนี้คนนิยมพวกไม้ร่มเยอะขึ้น”
พลอยชมพูชวนคุย เพราะจะรอให้อีกฝ่ายเป็นคนเปิดการสนทนาก่อนนั้น คงเป็นเรื่องที่ยากเต็มที ‘กลัวดอกพิกุล’
จะร่วง คือข้อค่อนขอดที่เธอเคยมีให้เขาในใจตลอดมา…ผู้ชายพูดน้อย เข้าใจยาก!
“ขอเดินดูก่อน”
เสียงห้าวเรียบเรื่อย ขณะเดินทอดน่องไปยังเรือนเพาะชำด้านหน้า พันธุ์ไม้จำแนกตามหมวดหมู่ได้อย่างงามตาสมกับเป็นชาวสวนแต่กำเนิด
“พี่ตี๋ชอบพวกไม้ร่มไมล่ะคะ…อย่างพรมกำมะหยี่ เดหลี หรือว่าเศรษฐีเรือนใน พวกนี้ไม่ชอบแดดจัด ดูแลก็ง่ายค่ะ ปลูกในบ้านได้สบาย”
หญิงสาวบอกเล่าอย่างสนุกพร้อมทั้งชี้ชวนให้ชายหนุ่มดูต้นไม้ที่เพาะเอาไว้ มีทั้งที่ยังเป็นต้นอ่อน และกิ่งชำที่นำไปปลูกได้เลย
“พรมกำมะหยี่น่าจะดี ปลูกไว้ข้างสระน้ำ”
ชนนตัดสินใจเลือกหลังจากพิจารณาอยู่นานพอสมควร ความชอบส่วนตัวเรื่องต้นไม้ ทำให้ชายหนุ่มอยากได้สวนขนาดเล็กริมระเบียงห้องนอน
ที่มีเฉพาะไม้จำพวกใบและดอกเล็กๆน่ารัก
“งั้นพลอยให้กวักมรกตแถมไปด้วยนะคะ…แหมอยากเห็นสวนของพี่ตี๋จังเลยค่ะว่าจะสวยขนาดไหน เสียดายช่วงนี้พลอยเลิกงานเย็นไปหน่อย”
คนพูดเหลือบตามองดวงหน้าขาว ดวงตาดำยาวรีภายใต้กรอบแว่นสายตาสีใสนั้น …ยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม ไม่ว่าเวลาจะหมุนผ่านไปกี่ปีต่อกี่ปี
‘พี่ตี๋’ ก็ยังวางตัวเหมือนพี่ชายคนโต เคร่งขรึม พูดนับคำได้ และก็คงมองเธอเป็นเด็กกะโปโลเช่นเดิม
…แล้วถ้าการแต่งงานเกิดขึ้นจริงๆ เขาจะแปรเปลี่ยนความรู้สึกแบบพี่ชาย มาเป็นผู้ชายที่พึ่งรักผู้หญิงของตัวเองหรือเปล่าหนอ…
เมื่อบ่ายคล้อยครอบครัวของคุณอารีรัตน์ก็ลากลับ พลอยชมพูเก็บความอยากรู้เรื่องผลการพูดคุยเอาไว้ด้วยใจอันร้อนรน
พ่อจะยินยอมทำตามความคิดของคุณป้าอารีรัตน์หรือไม่ หรือพ่ออาจจะยกเหตุผลขึ้นมาว่า ยังทำงานได้ดีอยู่
หรือไม่ก็อ้างว่าเป็นหนี้แล้วมีแรงขับเคลื่อนให้ขยันทำงานมากขึ้น
“พลอย…เข้ามาในบ้านหน่อยซีลูก”
เสียงคุณทัศนาเรียกบุตรสาวดังแว่วออกมา พลอยชมพูทิ้งสายยางรดน้ำ ปิดก๊อกทันที หัวใจร้อนเร่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ขณะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม่ห่างจากบิดามารดามากนัก
“หนูคิดว่าไงเรื่องที่ป้าอารีรัตน์มาคุยวันนี้ …ถ้าลำบากใจพ่อกับแม่ยังไหวกับหนี้ก้อนนี้อยู่นะลูก หนูไม่ต้องเสียสละมากขนาดนั้นก็ได้
จริงอยู่หนูอาจรู้จักตี๋มานาน แต่ก็แค่ญาติห่างๆ ไม่ได้รักชอบกันแบบหนุ่มสาว พ่อกลัวหนูไม่มีความสุขถ้าแต่งงาน
โดยไม่รู้สึกรักใคร่ชอบพอกัน…หนูมีใครอยู่ในใจบ้างหรือเปล่าพลอย…พ่อไม่อยากบังคับหนูนะ เราช่วยๆกันสามคนพ่อแม่ลูก
เดี๋ยวพี่แพรเขาคุ้นบ้านเมืองที่โน้นก็คงหางานทำส่งเงินกลับมาที่บ้าน พักเดียวก็เป็นไทแก่ตัวแล้วล่ะลูก”
หัวใจของคนเป็นพ่อแม่ ยังไงก็ห่วงใยลูกอยู่เสมอ…พลอยชมพูในวัยเยาว์หรือในวัยที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเช่นวันนี้
ความเอื้ออาทรของบิดามารดาก็ไม่เคยลดน้อยถอยลงสักนิด เธอเองก็รับรู้มาตลอดว่าหนี้สินก้อนนั้นไม่ใช่น้อยเลย
สำหรับคนที่ไม่ได้ร่ำรวยอย่างครอบครัวของเธอ เงินแต่ละบาทแลกมากับหยาดเหงื่อและแรงกายทั้งนั้น
…แล้วหัวใจของคนเป็นลูกจะนิ่งดูดายอยู่ได้เช่นไรเล่า
“หนูไม่ได้คบใครเป็นแฟนเลยค่ะพ่อ…หนูเต็มใจแต่งงานกับพี่ตี๋”
พวงแก้มขาวนวลเป็นสีเข้มขึ้นเล็กน้อย ดวงตาดำหลุบลงต่ำคลับคล้ายจะซ่อนความรู้สึกภายในหัวใจเอาไว้
“ถ้าอย่างงั้นเรื่องค่อยง่ายขึ้นมาหน่อย นึกว่าบังคับกันเสียแล้ว”
คุณดำรงค์พูดเสียงเรียบ สีหน้าดูสงบ หากประกายในดวงตาดูขบขำเมื่อทอดมองบุตรสาวคนเดียว
“พ่อนี่!”
พลอยชมพูเบิกตากว้าง ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปตีแขนบิดาเบาๆ เมื่อเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเลียน เสียงหัวเราะจึงดังขึ้นพร้อมกันระหว่างพ่อลูก
คุณทัศนามองภาพนั้นด้วยหัวใจละห้อย อีกไม่นานความผาสุขของครอบครัวเล็กๆก็จะสิ้นสุดลง เมื่อบุตรสาวของเธออีกคนต้องเข้าไปเป็นสะใภ้ของครอบครัวอื่น แม้จะรู้ว่าสักวันหนึ่ง ‘ลูก’ ก็ต้องมีครอบครัวของเขาเอง แต่เมื่อสถานการณ์ที่บีบบังคับ
เพราะหนี้ก้อนนั้นแท้จริงแล้วมีมากกว่าห้าแสนบาท
พลอยชมพูกลับมาทำงานตามปกติในวันจันทร์ ภาระงานอันยุ่งเหยิงตั้งแต่เริ่มสัปดาห์ ทำให้หญิงสาวหลงลืมนัดกับเพื่อนสนิท
ที่ตกปากรับคำเรื่องอาหารเย็นหลังเลิกงานเสียสนิท จวบจนเสียงโทรศัพท์มือถือดังรัวกระหน่ำเข้ามา
“ตายจริง! เราลืมสนิทเลยนะนี่ถ้าแม่แม้นไม่โทรเข้ามาเราเผ่นก็กลับบ้านแล้วละเนี่ย”
“นี่!รีบมาให้ไวแม่พลอยพิงค์ ฉันหิวจนตาลายแล้วเนี่ย”
เสียงปลายสายดังชัดเจนเสียเหลือเกิน เวลาต่อว่าต่อขาน
“โอเค เดี๋ยวไปร้านเดิมใช่ไม…มีเรื่องจะบอกเล่านิดหน่อย”
“อะไร? บอกทางโทรศัพท์ก่อนได้ไหม”
“ไม่ได้ เดี๋ยวเจอกัน”
พลอยชมพูกดวางสาย เก็บข้าวของบนโต๊ะทำงานให้เรียบร้อย เพื่อนร่วมงานหลายคนเริ่มทยอยเดินออกจากสำนักงาน
ช่วงเวลาเย็นของถนนสายธุรกิจใจกลางเมืองหลวงผู้คนยังหนาตา ร้านพิซซ่าขนาดเล็กที่เธอเลือกนัดพบกับเพื่อนสนิท
ลูกค้ายังไม่เยอะเท่าไร
“สั่งมาให้แล้ว แกมาถึงก็จะได้กินเลย ไม่ต้องรอ”
แม้นมาศเลื่อนจานใบเล็กให้กับหญิงสาวเมื่อทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้าม
“ดีมากเพื่อนกำลังหิวโซเลย ตอนเที่ยงกินข้าวไปนิดเดียวเองมัวหาสีผ้าม่านให้ลูกค้าจนหัวปั่นไปหมด”
คนพูดใช้หลอดพลาสติกคนน้ำแข็งกับน้ำอัดลมให้เข้ากัน ก่อนจะดูดน้ำในแก้วด้วยความกระหาย
“มีเรื่องอะไรจะเล่าให้ฟังเหรอพลอย”
แม้นมาศเอ่ยถาม เมื่อส่งชิ้นพิซซ่าเข้าปากตัวเองเรียบร้อยแล้ว ความสนิทสนมระหว่างบุคคลทั้งสองเริ่มตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยในคณะเดียวกัน
ทำกิจกรรมหลายอย่างร่วมกัน และก็ชอบกินเหมือนกัน แม้นมาศทรวดทรงดูสมส่วน ในขณะที่พลอยชมพูดูอวบแน่นมากกว่า
“เราจะแต่งงาน”
“หา! จะแต่งกับใคร?”
คนรับฟังวางช้อนลงทันที ดวงตาเบิกกว้างจับจ้องอีกฝ่ายราวคนแปลกหน้า เพราะที่ผ่านมา ‘เพื่อน’ คนนี้ไม่เคยมีวี่แววว่าจะมีหนุ่มไหนมาเร่ขายขนมจีบ
เจ้าหล่อนมุ่งมั่นทำงานเติมเต็มจินตนาการของคนอื่น เพื่อหวังโล่อะไรสักใบหนึ่ง
“แต่งกับญาติห่างๆ…เหตุผลทางธุรกิจเน่ะ”
พลอยชมพูเลือกใช้ถ้อยคำให้ดูหรูหรา น่าเชื่อถือ หลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงการหักลบกลบหนี้ด้วยวิธีแต่งงาน หากเพื่อนสาวรู้ถึงเหตุผลข้อนี้เข้า
คงถูกหัวเราะเยาะอย่างขบขำ ว่าเธอช่างไม่ต่างจากนางเอกนวนิยายน้ำเน่า… หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือเปิดรูปถ่ายของ
‘เขา’ ที่เธอแอบถ่ายเอาไว้เมื่อวานขึ้นมา ยื่นส่งให้เพื่อนสนิทได้เพ่งพิศเสียใกล้ๆ
“ต๊าย! หล่อ ขาว ตี๋ นี่เขารอดจากปากเหยี่ยวปากกามาถึงแกได้ยังไงเนี่ยพลอย ช่วยบอกทีซิ”
แม้นมาศออกอาการตื่นเต้นกับว่าที่เจ้าบ่าวของเพื่อนสนิทเสียมากมาย พร้อมกับตั้งคำถามถี่ยิบ พลอยชมพูจึงเล่าเรื่องราวคร่าวๆให้ฟัง โดยเน้นประโยคสุดท้ายว่า
“เราเองก็รู้สึกดีกับพี่ตี๋มานานแล้วล่ะ แล้วก็ไม่ได้คิดว่าการแต่งงานครั้งนี้มันเป็นการบังคับอะไร…เราเต็มใจ”
พลอยชมพูบอกด้วยน้ำเสียงของความเชื่อมั่น
“แล้วเขารู้สึกกับแกยังไงล่ะ?”
แม้นมาศย้อนถามถึงแม้จะแต่งกันด้วยเหตุผลอื่นเป็นสำคัญ แต่ระหว่างคนสองคนก็น่าจะมีใจให้แก่กันบ้าง
“ก็คง…รู้สึกดีบ้างล่ะ พี่ตี๋ไม่ค่อยพูดเขาเป็นคนเฉยๆ”
พลอยชมพูดตอบด้วยน้ำเสียงอุบอิบ
“อายุสามสิบห้าแล้วยังไม่เคยมีเมียเลยเหรอ…ท่าทางดูสำอาง เป็นเกย์หรือเปล่าเนี่ย
ดูให้ดีนะแกผู้ชายสมัยนี้ดูยากยิ่งกว่าลายแทงขุมทรัพย์อินเดียน่า โจนส์เสียอีก”
แม้นมาศส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้เพื่อน
“เรารู้จักพี่เขามาตั้งแต่เด็กคงไม่ใช่หรอก แค่เขาตัวขาว แล้วก็ไม่เคยทำงานหนัก แถมรูปร่างเขาก็ดูโปร่งๆเลยดูไม่แมนเท่าที่ควร”
พลอยชมพูแก้ต่างให้อีกฝ่ายด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยสีชมพู เธอวางแผนถึงการลดน้ำหนักเพื่อให้ทันวันงานสำคัญ
โดยเพื่อนสนิทได้แนะนำหลักสูตรเร่งรัด สำหรับสาวอวบเช่นเธอว่า
“กินยาลดความอ้วนไปเลย เพื่อนฉันใช้ได้ผลมาแล้ว ไม่มีโยโย่ด้วย…แล้วจะพาไปพบคุณหมอ”
***เสี้ยวเสน่หา บทที่ 2***
บทที่ 2
ในตอนสายคณะของคุณอารีรัตน์ก็มาพบตามที่นัดเอาไว้ พลอยชมพูถูกเรียกออกไปต้อนรับจัดหาเรื่องน้ำดื่มและอาหารว่างเล็กๆน้อยๆ
หญิงสาวรู้สึกประหม่าเมื่อ ‘เขา’ ผู้นั้นอยู่ด้วย นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่มีโอกาสได้เจอ ‘พี่ตี๋’ หนึ่งปี สองปีหรือจะมากกว่านั้น
ด้วยระยะหลังภาระหน้าที่งานของเธอเพิ่มมากขึ้น และเขาก็คงเติบโตในสายงานอย่างเต็มที่
ตามคำบอกเล่าของมารดาเมื่อไปเยี่ยมเยือนคุณป้าอารีรัตน์
“ไม่ได้เจอยายพลอยเสียนานยังทำงานอยู่ที่เดิมไหม?”
คุณอารีรัตน์เอ่ยถามหญิงสาว เมื่อเธอวางจานขนมลงตรงหน้า
“ที่เดิมค่ะคุณป้า”
หญิงสาวตอบเสียงเบา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองด้วยข้างกายของผู้เอ่ยถาม คือ ‘เขาผู้นั้น’ ผู้มากวัยกว่าใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที
สำรวจพลอยชมพูอย่างพิจารณา รูปร่างที่ยังอวบอ้วนอาจไม่สะดุดตาผู้ชายเท่ากับผู้หญิงที่มีรูปร่างสมส่วน หลานสาวห่างๆของ
เธอคนนี้ควรปฎิรูปเรือนร่างตัวเองเสียใหม่ก่อนถึงวันแต่งงาน
“ยายพลอยออกไปดูหน้าร้านให้แม่หน่อย…ชวนพี่เขาออกไปด้วยซิ เห็นบอกว่าชอบต้นไม้ไม่ใช่เรอะ”
นั่นเป็นการบอกใบ้ว่าผู้เป็นมารดาต้องการสนทนากับผู้มาเยือนเพียงลำพัง พลอยชมพูหันไปมองเจ้าของร่างสูงโปร่ง
ดวงตาดำเรียวรีคู่นั้นก็แลสบมาพอดี ความรู้สึกร้อนวูบวาบจึงแผ่ซ่านไปทั้งตัวร่าง หญิงสาวรีบเดินออกไปโดยมีร่างสูงลุกขึ้นเดินตามไปห่างๆ
ริมทางเดินไปสู่หน้าร้านที่ติดกับถนนใหญ่เรียงรายด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด ทั้ง นีออน โกสน หลิวไต้หวัน ส่วนใหญ่เป็นไม้ชอบแดดจัด
ช่อดอกสีแดงสดของต้นชวนชมบานสะพรั่งเต็มกระถางที่จัดวางแยกกลุ่มเอาไว้
“พี่ตี๋อยากได้ต้นอะไรเป็นพิเศษล่ะคะ? เดี๋ยวนี้คนนิยมพวกไม้ร่มเยอะขึ้น”
พลอยชมพูชวนคุย เพราะจะรอให้อีกฝ่ายเป็นคนเปิดการสนทนาก่อนนั้น คงเป็นเรื่องที่ยากเต็มที ‘กลัวดอกพิกุล’
จะร่วง คือข้อค่อนขอดที่เธอเคยมีให้เขาในใจตลอดมา…ผู้ชายพูดน้อย เข้าใจยาก!
“ขอเดินดูก่อน”
เสียงห้าวเรียบเรื่อย ขณะเดินทอดน่องไปยังเรือนเพาะชำด้านหน้า พันธุ์ไม้จำแนกตามหมวดหมู่ได้อย่างงามตาสมกับเป็นชาวสวนแต่กำเนิด
“พี่ตี๋ชอบพวกไม้ร่มไมล่ะคะ…อย่างพรมกำมะหยี่ เดหลี หรือว่าเศรษฐีเรือนใน พวกนี้ไม่ชอบแดดจัด ดูแลก็ง่ายค่ะ ปลูกในบ้านได้สบาย”
หญิงสาวบอกเล่าอย่างสนุกพร้อมทั้งชี้ชวนให้ชายหนุ่มดูต้นไม้ที่เพาะเอาไว้ มีทั้งที่ยังเป็นต้นอ่อน และกิ่งชำที่นำไปปลูกได้เลย
“พรมกำมะหยี่น่าจะดี ปลูกไว้ข้างสระน้ำ”
ชนนตัดสินใจเลือกหลังจากพิจารณาอยู่นานพอสมควร ความชอบส่วนตัวเรื่องต้นไม้ ทำให้ชายหนุ่มอยากได้สวนขนาดเล็กริมระเบียงห้องนอน
ที่มีเฉพาะไม้จำพวกใบและดอกเล็กๆน่ารัก
“งั้นพลอยให้กวักมรกตแถมไปด้วยนะคะ…แหมอยากเห็นสวนของพี่ตี๋จังเลยค่ะว่าจะสวยขนาดไหน เสียดายช่วงนี้พลอยเลิกงานเย็นไปหน่อย”
คนพูดเหลือบตามองดวงหน้าขาว ดวงตาดำยาวรีภายใต้กรอบแว่นสายตาสีใสนั้น …ยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม ไม่ว่าเวลาจะหมุนผ่านไปกี่ปีต่อกี่ปี
‘พี่ตี๋’ ก็ยังวางตัวเหมือนพี่ชายคนโต เคร่งขรึม พูดนับคำได้ และก็คงมองเธอเป็นเด็กกะโปโลเช่นเดิม
…แล้วถ้าการแต่งงานเกิดขึ้นจริงๆ เขาจะแปรเปลี่ยนความรู้สึกแบบพี่ชาย มาเป็นผู้ชายที่พึ่งรักผู้หญิงของตัวเองหรือเปล่าหนอ…
เมื่อบ่ายคล้อยครอบครัวของคุณอารีรัตน์ก็ลากลับ พลอยชมพูเก็บความอยากรู้เรื่องผลการพูดคุยเอาไว้ด้วยใจอันร้อนรน
พ่อจะยินยอมทำตามความคิดของคุณป้าอารีรัตน์หรือไม่ หรือพ่ออาจจะยกเหตุผลขึ้นมาว่า ยังทำงานได้ดีอยู่
หรือไม่ก็อ้างว่าเป็นหนี้แล้วมีแรงขับเคลื่อนให้ขยันทำงานมากขึ้น
“พลอย…เข้ามาในบ้านหน่อยซีลูก”
เสียงคุณทัศนาเรียกบุตรสาวดังแว่วออกมา พลอยชมพูทิ้งสายยางรดน้ำ ปิดก๊อกทันที หัวใจร้อนเร่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ขณะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม่ห่างจากบิดามารดามากนัก
“หนูคิดว่าไงเรื่องที่ป้าอารีรัตน์มาคุยวันนี้ …ถ้าลำบากใจพ่อกับแม่ยังไหวกับหนี้ก้อนนี้อยู่นะลูก หนูไม่ต้องเสียสละมากขนาดนั้นก็ได้
จริงอยู่หนูอาจรู้จักตี๋มานาน แต่ก็แค่ญาติห่างๆ ไม่ได้รักชอบกันแบบหนุ่มสาว พ่อกลัวหนูไม่มีความสุขถ้าแต่งงาน
โดยไม่รู้สึกรักใคร่ชอบพอกัน…หนูมีใครอยู่ในใจบ้างหรือเปล่าพลอย…พ่อไม่อยากบังคับหนูนะ เราช่วยๆกันสามคนพ่อแม่ลูก
เดี๋ยวพี่แพรเขาคุ้นบ้านเมืองที่โน้นก็คงหางานทำส่งเงินกลับมาที่บ้าน พักเดียวก็เป็นไทแก่ตัวแล้วล่ะลูก”
หัวใจของคนเป็นพ่อแม่ ยังไงก็ห่วงใยลูกอยู่เสมอ…พลอยชมพูในวัยเยาว์หรือในวัยที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเช่นวันนี้
ความเอื้ออาทรของบิดามารดาก็ไม่เคยลดน้อยถอยลงสักนิด เธอเองก็รับรู้มาตลอดว่าหนี้สินก้อนนั้นไม่ใช่น้อยเลย
สำหรับคนที่ไม่ได้ร่ำรวยอย่างครอบครัวของเธอ เงินแต่ละบาทแลกมากับหยาดเหงื่อและแรงกายทั้งนั้น
…แล้วหัวใจของคนเป็นลูกจะนิ่งดูดายอยู่ได้เช่นไรเล่า
“หนูไม่ได้คบใครเป็นแฟนเลยค่ะพ่อ…หนูเต็มใจแต่งงานกับพี่ตี๋”
พวงแก้มขาวนวลเป็นสีเข้มขึ้นเล็กน้อย ดวงตาดำหลุบลงต่ำคลับคล้ายจะซ่อนความรู้สึกภายในหัวใจเอาไว้
“ถ้าอย่างงั้นเรื่องค่อยง่ายขึ้นมาหน่อย นึกว่าบังคับกันเสียแล้ว”
คุณดำรงค์พูดเสียงเรียบ สีหน้าดูสงบ หากประกายในดวงตาดูขบขำเมื่อทอดมองบุตรสาวคนเดียว
“พ่อนี่!”
พลอยชมพูเบิกตากว้าง ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปตีแขนบิดาเบาๆ เมื่อเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเลียน เสียงหัวเราะจึงดังขึ้นพร้อมกันระหว่างพ่อลูก
คุณทัศนามองภาพนั้นด้วยหัวใจละห้อย อีกไม่นานความผาสุขของครอบครัวเล็กๆก็จะสิ้นสุดลง เมื่อบุตรสาวของเธออีกคนต้องเข้าไปเป็นสะใภ้ของครอบครัวอื่น แม้จะรู้ว่าสักวันหนึ่ง ‘ลูก’ ก็ต้องมีครอบครัวของเขาเอง แต่เมื่อสถานการณ์ที่บีบบังคับ
เพราะหนี้ก้อนนั้นแท้จริงแล้วมีมากกว่าห้าแสนบาท
พลอยชมพูกลับมาทำงานตามปกติในวันจันทร์ ภาระงานอันยุ่งเหยิงตั้งแต่เริ่มสัปดาห์ ทำให้หญิงสาวหลงลืมนัดกับเพื่อนสนิท
ที่ตกปากรับคำเรื่องอาหารเย็นหลังเลิกงานเสียสนิท จวบจนเสียงโทรศัพท์มือถือดังรัวกระหน่ำเข้ามา
“ตายจริง! เราลืมสนิทเลยนะนี่ถ้าแม่แม้นไม่โทรเข้ามาเราเผ่นก็กลับบ้านแล้วละเนี่ย”
“นี่!รีบมาให้ไวแม่พลอยพิงค์ ฉันหิวจนตาลายแล้วเนี่ย”
เสียงปลายสายดังชัดเจนเสียเหลือเกิน เวลาต่อว่าต่อขาน
“โอเค เดี๋ยวไปร้านเดิมใช่ไม…มีเรื่องจะบอกเล่านิดหน่อย”
“อะไร? บอกทางโทรศัพท์ก่อนได้ไหม”
“ไม่ได้ เดี๋ยวเจอกัน”
พลอยชมพูกดวางสาย เก็บข้าวของบนโต๊ะทำงานให้เรียบร้อย เพื่อนร่วมงานหลายคนเริ่มทยอยเดินออกจากสำนักงาน
ช่วงเวลาเย็นของถนนสายธุรกิจใจกลางเมืองหลวงผู้คนยังหนาตา ร้านพิซซ่าขนาดเล็กที่เธอเลือกนัดพบกับเพื่อนสนิท
ลูกค้ายังไม่เยอะเท่าไร
“สั่งมาให้แล้ว แกมาถึงก็จะได้กินเลย ไม่ต้องรอ”
แม้นมาศเลื่อนจานใบเล็กให้กับหญิงสาวเมื่อทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้าม
“ดีมากเพื่อนกำลังหิวโซเลย ตอนเที่ยงกินข้าวไปนิดเดียวเองมัวหาสีผ้าม่านให้ลูกค้าจนหัวปั่นไปหมด”
คนพูดใช้หลอดพลาสติกคนน้ำแข็งกับน้ำอัดลมให้เข้ากัน ก่อนจะดูดน้ำในแก้วด้วยความกระหาย
“มีเรื่องอะไรจะเล่าให้ฟังเหรอพลอย”
แม้นมาศเอ่ยถาม เมื่อส่งชิ้นพิซซ่าเข้าปากตัวเองเรียบร้อยแล้ว ความสนิทสนมระหว่างบุคคลทั้งสองเริ่มตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยในคณะเดียวกัน
ทำกิจกรรมหลายอย่างร่วมกัน และก็ชอบกินเหมือนกัน แม้นมาศทรวดทรงดูสมส่วน ในขณะที่พลอยชมพูดูอวบแน่นมากกว่า
“เราจะแต่งงาน”
“หา! จะแต่งกับใคร?”
คนรับฟังวางช้อนลงทันที ดวงตาเบิกกว้างจับจ้องอีกฝ่ายราวคนแปลกหน้า เพราะที่ผ่านมา ‘เพื่อน’ คนนี้ไม่เคยมีวี่แววว่าจะมีหนุ่มไหนมาเร่ขายขนมจีบ
เจ้าหล่อนมุ่งมั่นทำงานเติมเต็มจินตนาการของคนอื่น เพื่อหวังโล่อะไรสักใบหนึ่ง
“แต่งกับญาติห่างๆ…เหตุผลทางธุรกิจเน่ะ”
พลอยชมพูเลือกใช้ถ้อยคำให้ดูหรูหรา น่าเชื่อถือ หลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงการหักลบกลบหนี้ด้วยวิธีแต่งงาน หากเพื่อนสาวรู้ถึงเหตุผลข้อนี้เข้า
คงถูกหัวเราะเยาะอย่างขบขำ ว่าเธอช่างไม่ต่างจากนางเอกนวนิยายน้ำเน่า… หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือเปิดรูปถ่ายของ
‘เขา’ ที่เธอแอบถ่ายเอาไว้เมื่อวานขึ้นมา ยื่นส่งให้เพื่อนสนิทได้เพ่งพิศเสียใกล้ๆ
“ต๊าย! หล่อ ขาว ตี๋ นี่เขารอดจากปากเหยี่ยวปากกามาถึงแกได้ยังไงเนี่ยพลอย ช่วยบอกทีซิ”
แม้นมาศออกอาการตื่นเต้นกับว่าที่เจ้าบ่าวของเพื่อนสนิทเสียมากมาย พร้อมกับตั้งคำถามถี่ยิบ พลอยชมพูจึงเล่าเรื่องราวคร่าวๆให้ฟัง โดยเน้นประโยคสุดท้ายว่า
“เราเองก็รู้สึกดีกับพี่ตี๋มานานแล้วล่ะ แล้วก็ไม่ได้คิดว่าการแต่งงานครั้งนี้มันเป็นการบังคับอะไร…เราเต็มใจ”
พลอยชมพูบอกด้วยน้ำเสียงของความเชื่อมั่น
“แล้วเขารู้สึกกับแกยังไงล่ะ?”
แม้นมาศย้อนถามถึงแม้จะแต่งกันด้วยเหตุผลอื่นเป็นสำคัญ แต่ระหว่างคนสองคนก็น่าจะมีใจให้แก่กันบ้าง
“ก็คง…รู้สึกดีบ้างล่ะ พี่ตี๋ไม่ค่อยพูดเขาเป็นคนเฉยๆ”
พลอยชมพูดตอบด้วยน้ำเสียงอุบอิบ
“อายุสามสิบห้าแล้วยังไม่เคยมีเมียเลยเหรอ…ท่าทางดูสำอาง เป็นเกย์หรือเปล่าเนี่ย
ดูให้ดีนะแกผู้ชายสมัยนี้ดูยากยิ่งกว่าลายแทงขุมทรัพย์อินเดียน่า โจนส์เสียอีก”
แม้นมาศส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้เพื่อน
“เรารู้จักพี่เขามาตั้งแต่เด็กคงไม่ใช่หรอก แค่เขาตัวขาว แล้วก็ไม่เคยทำงานหนัก แถมรูปร่างเขาก็ดูโปร่งๆเลยดูไม่แมนเท่าที่ควร”
พลอยชมพูแก้ต่างให้อีกฝ่ายด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยสีชมพู เธอวางแผนถึงการลดน้ำหนักเพื่อให้ทันวันงานสำคัญ
โดยเพื่อนสนิทได้แนะนำหลักสูตรเร่งรัด สำหรับสาวอวบเช่นเธอว่า
“กินยาลดความอ้วนไปเลย เพื่อนฉันใช้ได้ผลมาแล้ว ไม่มีโยโย่ด้วย…แล้วจะพาไปพบคุณหมอ”