เสี้ยวเสน่หา

กระทู้สนทนา
ห่างหายจากถนนสายนี้ไปนานมาก จนลืมเลือนว่าจะตั้ง ณ กระทู้อันไหน

  เสี้ยวเสน่หา…เจ้าจันทร์

                                                                 บทที่ 1
    แสงแดดจ้ายามบ่ายกำลังระอุเต็มที่ สองข้างทางคลื่นความร้อนเต้นระริก ไม้ใหญ่แม้จะเรียงรายอยู่หนาตาหากไม่ได้ช่วยกรองลำแสงสีเจิดจ้านั้นได้เลยสักนิด รถเก๋งคันหรูยังคงรักษาระดับความเร็วสม่ำเสมอ จวบจนมาถึงร้านขายต้นไม้ขนาดใหญ่ ความเร็วจึงชลอลงและจอดนิ่งสนิทอยู่ตรงนั้น

    “หาที่ร่มๆจอดรอแล้วกันนะ ฉันคงคุยธุระนานสักหน่อย”

    สตรีสูงวัยแต่งกายด้วยเสื้อผ้ามีราคาก้าวลงจากรถ กระไอความร้อนปะทะเรือนกายวูบ ความคุ้นชินกับเครื่องทำความเย็นทำให้ต้องเปิดกระเป๋าถือหยิบพัดขนาดเล็กขึ้นมาโบกลมให้กับตัวเอง ขณะก้าวเดินไปตามทางเล็กๆที่เรียงรายด้วยพันธุ์ไม้ประดับสีสวย

    “ตายจริง! คุณพี่อารีรัตน์”

เสียงร้องทักดังขึ้นจากเรือนเพาะจำ พร้อมกับเจ้าของเสียงที่กุลีกุจอเข้ามาต้อนรับ

“ไปยังมายังไงถึงมาหาหนูที่นี้ได้คะ อากาศร้อนซะหน่อยปลายเดือนเมษา”

เจ้าของบ้านดูห่วงใยผู้มาเยือนอย่างล้นพ้น พร้อมกับพาเดินอ้อมไปยังศาลาเล็กๆใต้ต้นมะม่วงสูงใหญ่ ที่จัดทำเป็นพื้นสารพัดประโยชน์ทั้งรับแขกและทำงานของร้านด้วย

“ค่อยยังชั่วหน่อยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่…พอจะมีลมพัดมามั้ง ข้างนอกไม่ไหวเลยนะร้อนเหลือเกิน ไม่คิดว่านครนายกจะร้อนได้ขนาดนี้”

คุณอารีรัตน์โบกพัดในมือ ความคุ้นเคยกับเจ้าของบ้านทำให้ไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์อันใดมากนัก สายสัมพันธ์ทางสายเลือดแม้จะไม่ใช่
‘ญาติสนิท’ หากก็ถือว่าเป็นญาติที่หลงเหลืออยู่เพียงผู้เดียว การไปมาหาสู่จึงมีอย่างสม่ำเสมอ และญาติผู้น้องคนนี้ก็ดูจะยึดติดเธอเป็นที่พึ่งเสียหลายเรื่อง อาจเป็นเพราะเธอสมรสกับเศรษฐีคนไทยเชื้อสายจีน วิถีชีวิตจึงสะดวกสบายกว่าญาติผู้น้องหลายเท่าตัวนัก

“น้ำกระเจี๊ยบเย็นๆค่ะคุณพี่ หนูต้มเองปลูกไว้หลังบ้าน ร้อนๆอย่างงี้ดื่มแล้วมันชื่นใจดี”

“แล้วนี่ดำรงค์ไม่อยู่หรือ มาตั้งนานยังเห็นตัวเลย”

“เอาต้นไม้ไปส่งลูกค้าในเมืองค่ะ คงกลับมาเย็นๆโน้นแหละ”

เจ้าของบ้านทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวยาว แม้อายุจะอ่อนเยาว์กว่าผู้มาเยือนหลายปี แต่สภาพการทำงานกลางแจ้ง ทำให้ความร่วงโรยมาไวกว่าอายุจริง หากเค้าโครงหน้ายังมีความงดงามหลงเหลืออยู่

“ยายพลอยกลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยหรือเปล่า?”

ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยถาม พลางวางแก้วลงบนเก้าอี้ข้างตัว

“มาตอนวันหยุดสงกรานต์ค่ะ เขาลางานลำบาก เห็นบอกว่าบริษัทไม่ค่อยให้หยุด ทำงานหลายหน้าที่ด้วย”

คุณอารีรัตน์พยักหน้า แววตามีร่องรอยรำลึกถึงเด็กหญิงตัวอวบอ้วน ผิวขาวเหลือง ที่ถอดเค้าความสวยมาจากมารดาไม่ผิดเพื้ยน จะเสียก็เพียงรูปร่างที่ดูอวบเกินไปตราบจนโตเป็นสาวก็ยังลดลงไม่ได้ แต่ถึงกระนั้น ‘หลานสาว’ คนนี้เธอก็คาดหวังว่า …จะช่วยผ่อนคลายความอัดอั้นในใจขณะนี้ลงได้ แม้ในตอนแรกเธอจะคาดหมายถึงบุตรสาวคนโตของอีกฝ่าย แต่ฝ่ายนั้นก็แต่งงานกับคนต่างชาติและเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาเสียตั้งแต่ต้นปี

“แล้วเค้ามีฟงมีแฟนหรือเปล่าทัศนา?”

ความกังวลในใจทำให้ไม่อยากเก็บคำถามที่อยากรู้เอาไว้อีก เพราะถ้าเธอทำทุกอย่างช้ากว่านี้ อาจทำให้เหตุการณ์ที่เธอกำลังหวาดกลัวเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!

“…เอ๋…คงไม่มีหรอกคะคุณพี่ ไม่เห็นพูดถึงใครเป็นพิเศษ ที่ทำงานส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงทั้งนั้น”

“ถ้าไม่มีก็ดี…งั้นพี่ไม่อ้อมค้อมล่ะนะทัศนา…พี่อยากขอยายพลอยมาแต่งงานกับตาตี๋ อายุอาจห่างกันมากหน่อย แต่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าจะให้รักกันแบบ
หนุ่มสาวก็คงไม่ยากเท่าไรหรอก”

‘คนฟัง’ ทั้งแปลกใจและประหลาดใจอย่างที่สุด ด้วยวิธีคลุมฝูงชนเช่นนี้น่าจะหมดสมัยไปเสียแล้ว แต่ถ้อยคำในตอนท้ายทำให้คุณทัศนาเข้าใจทุกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ‘แล้วพี่จะยกหนี้ก้อนนั้นให้หมดเลย ถ้ายายพลอยแกยอมตกลง’


รถคันหรูฝ่าเปลวแดดความร้อนของเดือนเมษายน มุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯอีกครั้ง ผู้ที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังเอนกายหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า …จากนี้ไปเธอก็เฝ้ารอแต่คำตอบเท่านั้น เด็กสาวคนนั้นแม้จะดูหัวสมัยใหม่แต่ก็กตัญญูต่อบิดามารดา การโน้มน้าวให้ใจอ่อนคงไม่ใช่เรื่องยากอะไรนักหนา อีกทั้งยังไม่เคยคบหากับผู้ชายแบบคนรักเลย ย่อมไม่น่ากังวลใดๆ
รถเลี้ยวเข้าสู่บริเวณบ้านทำให้ผู้ที่จมอยู่ในความคิดของตัวเองลืมตาขึ้นมอง รอบบริเวณกว้างถูกแบ่งส่วนหนึ่งเป็นโรงงานประกอบเฟอร์นิเจอร์ส่งออกและจำหน่ายภายในประเทศซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว เนื้อที่เยื้องไปทางด้านหลังคือตึกหลังใหญ่ที่ใช้เป็นที่พักอาศัย รูปทรงร่วมสมัยทำให้ไม่ขัดแย้งกับสภาพของสำนักงานและโรงงานด้านหน้ามากนัก คุณอารีรัตน์กวาดสายตามองโรงจอดรถด้วยความหวาดระแวง …เก๋งคันหรูสีดำของบุตรชายคนโตจอดอยู่ ห่างออกไปเล็กน้อยสปอร์ตสีแดงสดนั้นจอดเคียงข้าง

“คุณตี๋มาถึงนานหรือยังผึ้ง?”

คำถามแรกเมื่อก้าวลงจากรถ คงเอ่ยถึงบุตรชาย ที่เธอกำลังแบกความกังวลเอาไว้ในใจอย่างมากมาย

“สักพักใหญ่ๆแล้วค่ะ…เอ่อ…อาจารย์ตามมาทีหลังนะคะ…ตอนนี้อยู่ในห้องคาราโอเกะ”

สภาพ ‘บ้าน’ ที่ใหญ่โตกว้างขวาง ทำให้พื้นที่การใช้สอยถูกแยกออกเป็นสัดส่วน และเธอสามารถควบคุมความเป็นไปของ ‘สมาชิก’ ได้อย่างใกล้ชิด โดยอาศัย ‘แม่ผึ้ง’

“ขอบใจ…เดี๋ยวยกน้ำจับเลี้ยงเย็นๆมาให้ฉันในห้องด้วยนะ”

และโดยไม่รอฟังคำขานรับ คุณอารีรัตน์ก็เดินลิ่วไปยังห้องคาราโอเกะ  เสียงเพลงรักหวานดังแว่วออกมาเมื่อเปิดประตูเข้าไป ภาพความใกล้ชิดของบุรุษสองคนทำให้สีหน้าของผู้มากวัยบึ้งตึงขึ้นทันที

“อุ๊ย! สวัสดีครับม่าม๊า”

‘คนพูด’ ดวงหน้าขาวจัด คิ้วเข้มเรียงตัวได้รูปสวย รับกับจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากออกชมพูระเรื่อ ดูแล้วเขาคือชายหนุ่มรูปงามของคนในพอศอนี้ หากท่วงท่าที่อ่อนช้อยเกินผู้ชายนั้นต่างหาก ที่ทำให้คุณอารีรัตน์ ต้องลงมาเป็น ‘ไม้กัน’ ลูกชายอย่างเต็มที

“สวัสดี…”

ผู้อาวุโสกว่ารับไหว้อย่างเสียไม่ได้ สีหน้าบอกชัดว่าไม่ยินดียินร้าย พลางปลายตามองบุตรชาย ที่นั่งเอนหลังพิงโซฟาอย่างสบายอารมณ์

“ตี๋! มาคุยกับม๊าที่ห้องทำงานปาป๊าหน่อย”

ออกคำสั่งเสียงเข้มงวด พลางหมุนตัวเดินออกจากห้องไปทันที ชนนจึงหันไปบอกเพื่อนชายเบาๆว่า

“เดี๋ยวมา…”

“ม๊ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับตี๋”

ทันทีที่บุตรชายคนโตเปิดประตูเข้ามาในห้อง คุณอารีรัตน์ก็เปิดฉากด้วยสีหน้าเคร่งเครียด น้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง

“เรื่องไอ้เตอีกล่ะซิครับ ผมบอกม่าม๊าแล้วว่าผมไม่ได้เป็นเกย์ ก็มันเป็นเพื่อนผมตั้งแต่เรียนมัธยมสนิทๆกันเท่านั้นเองไม่ได้เป็นอย่างที่ม๊าคิดหรอกครับ”
ชนนชี้แจ้งมารดาและดูเหมือนจะเป็นการพูดที่ยาวมากกว่าปกติของชายหนุ่ม ซึ่งมีนิสัยพูดน้อยอยู่แล้ว

“ม๊าไม่ไว้ใจ เพื่อนยังไงกันตามมานั่งเฝ้าถึงบ้านทุกวันแบบนี้ ม๊าไม่ชอบใจนะตี๋ …ม๊ามีลูกชายคนเดียว อยากอุ้มหลานไม่อยากให้ลูกมาเป็นเก้งเป็นกวางอะไรอย่างงี้ บอกตามตรงว่าม๊ารับไม่ได้!”

“ไม่ใช่ครับ…”

ชายหนุ่มพึมพำแก้ตัว ดวงตาเรียวรีภายใต้แว่นสายตาสั้นมีริ้วรอยกังวล หากอุปนิสัยเงียบขรึมไม่ช่างพูดจึงทำให้ทุกอย่างมันอยากที่จะอธิบาย

“ม๊าจะให้ตี๋แต่งงานกับยายพลอย ลูกสาวน้าทัศนา ม๊าไปคุยมาแล้วเมื่อตอนบ่าย ทางโน้นเขาก็ไม่มีใครอยู่ พร้อมที่จะมาดองกับทางเราอยู่แล้ว ตี๋ก็รู้จักดีไม่ใช่หรือยายพลอยเน่ะ”

‘รู้จักดี’ ในความทรงจำของชายหนุ่มคือภาพเด็กสาวตัวอวบอ้วน ผิวขาวเหลืองเหมือนกระดาษเก่า ช่างพูดช่างคุยไปเสียทุกเรื่อง แต่ในความคุ้นเคยเหล่านั้น เขาไม่ได้รู้สึกกับ ‘พลอยชมพู’ เฉกเช่นผู้ชายรู้สึกต่อผู้หญิงเลยสักนิด

“ผมโตพอที่จะเลือกคู่เองนะม๊า…”  

“แล้วเลือกหรือยัง อายุมาถึง 35 แล้ว ตี๋ไม่เคยมองใคร ไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนมาให้ม๊ารู้จัก ทำแต่งานเพื่อนก็มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น แล้วจะไม่ให้ม๊าเป็นทุกข์เป็นร้อนได้ยังไง ตี๋เป็นลูกชายคนโตของม๊า มันถึงวัยที่ต้องมีครอบครัวแล้วนะ อย่ามัวแต่คบเพื่อนบ้าบอพวกนี้อยู่เลย มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงของคนเรานะลูก”

ท้ายประโยคน้ำเสียงปลอบประโลมเฉกเช่นทุกครั้ง ที่เธอต้องการให้ ‘ลูก’ ยอมทำตามความต้องการของตัวเอง

“ม๊านัดทางโน้นเอาไว้แล้ว เสาร์หน้าตี๋ต้องไปนครนายกกับม๊า ห้ามรับนัดใครเด็ดขาด!”

คุณอารีรัตน์ออกคำสั่งกับบุตรชายคนโตด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ในคืนนั้นเธอจึงได้นำเรื่องราวเหล่านี้บอกเล่าให้กับสามีได้รับรู้

“เธอก็ชอบจัง เรื่องบังคับลูกเนี่ย ไอ้ตี๋มันโตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว มันอยากมีเมียเดี๋ยวมันก็หาของมันเองแหละ ไม่ต้องไปหาใส่พานประเคนให้มันหรอกน่า”

คุณดนัยบอกด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญ หากก็ไม่จริงจังเท่าไรนักเพราะรู้นิสัยภรรยาดีว่า ใส่ใจกับลูกชายหญิงแค่ไหน บุตรสาวสองคนนั้นคุณอารีรัตน์ไปรับไปส่งตั้งแต่ชั้นประถม จวบจนเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนชายหญิงทุกคนต้องพามาให้แม่รู้จักมักคุ้นเสมอ เรียกว่าสแกนกันทุกกระเบียดนิ้วเลยก็ว่าได้

“ทำอย่างกับลูกชายคุณเขาใส่ใจเรื่องอย่างงี้เหลือเกินนะคะ ทำแต่งานหามรุ่งหามค่ำเป็นลูกจ้างบริษัทฝรั่ง เงินเดือนก็เยอะจริงอยู่แต่มันไม่ใช่กิจการของเราเอง เวลาจะเอาใจผู้หญิงก็พลอยหายไปด้วย…มีแต่อะไรไม่รู้มานั่งเฝ้านอนเฝ้าอยู่ที่บ้าน เห็นแล้วลมจะใส่”

คนบ่นทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ข้างผู้เป็นสามีที่กึ่งนั่งนอนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่

“อยากให้ผู้หญิงมานั่งเฝ้านอนเฝ้าเธอก็โทรไปตามแม่ลิชนั้นมาซิ”

คุณดนัยดูจะมีความสุขที่ได้แหย่อารมณ์ภรรยาให้ขุ่นมัวได้ เพราะกิติศัพท์ของสตรีผู้นั้น ไม่ต่างจากวัตถุไวไฟชั้นเยี่ยม นางแบบสาวทรงโตจำพวกปลุกใจเสือป่า ที่เคยตามติดบุตรชายเป็นเห็บปลาฉลาดอยู่พักหนึ่ง จนมารดาต้องออกโรงเล่นงิ้วคณะใหญ่ ‘หล่อน’ ถึงได้ถอยทัพห่างออกไป เพราะ ‘ว่าที่แม่ผัว’ ไม่ปลื้ม

“แหม คิดว่าฉันสิ้นไร้ไม้ตอกขนาดนั้นเชียวหรือ ฉันมีว่าที่ลูกสะใภ้อยู่ในใจแล้ว ไม่ต้องตรวจสอบอะไรมากมาย ตาตี๋เขาก็ไม่มีปัญหาอะไร เสาร์นี้คุณต้องไปนครนายกกับฉันด้วยนะคะ ห้ามมีนัดที่ไหนทั้งนั้น ฉันจะไปขอยายพลอยให้ตาตี๋”

“เออ เออ อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ เดี๋ยวอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้วเด็กมันจะมาถอนหงอกเอา คนไม่ได้รักใคร่ชอบพอกัน จะจับมาแต่งงานอยู่กินกัน พิลึกคน”
คนพูดพับหนังสือพิมพ์วางลงบนโต๊ะข้างเตียง ปิดไฟดวงเล็ก ก่อนจะเลื่อนตัวลงนอนหันหลังให้กับอีกฝ่าย เป็นการบอกชัดว่าตัดบทสนทนาทั้งหมดลง คุณอารีรัตน์จึงค้อนเสียให้วงใหญ่ แล้วจึงเอนตัวลงนอนตาม


ห้องพักเปิดแอร์เย็นฉ่ำความเงียบสงบภายใน ทำให้ผู้ที่นอนทอดกายอยู่บนโซฟาตัวยาว หลับสนิทไปอย่างไม่รู้ตัว จวบจนเสียงเรียกเข้าจังหวะเร้าใจของโทรศัพท์มือถือดังรัวขึ้น เจ้าตัวจึงคว้านมือเปะปะไปตามโต๊ะใกล้ตัว

“ฮัลโหล…”

น้ำเสียงยังเจือปนความง่วงงุนชัดเจน

“นั้นหลับอะไรแต่หัวค่ำพลอย?”

คนปลายสายย้อนถามด้วยความห่วงใย

“มันเพลียค่ะแม่ วันนี้ออกไปพบลูกค้าทั้งวัน…แม่มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

พลอยชมพูลุกขึ้นนั่งเอนหลังพิงหมอนอิงใบใหญ่ งานในตำแหน่ง มัณฑนากร ทำให้เธอใช้ชีวิตภาคสนามมากกว่าในสำนักงาน ลูกค้าก็หลากหลายประเภทมีทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เข็มนาฬิกาชีวิตของเธอจึงหมุนอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกวินาทีต้องเร่งรีบ และรังสรรค์ผลงานตามความต้องการของลูกค้าสูงสุด

“เสาร์นี้กลับมาบ้านไมลูก แม่มีเรื่องอยากปรึกษาหนู”

“เรื่องอะไรคะแม่? เรื่องพี่แพรเหรอคะ?”

หญิงสาวย้อนถามด้วยพี่สาวคนโตที่เดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนกับสามีชาวอเมริกัน มักโทรศัพท์มาปรารภเรื่องการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ กับมารดาอยู่บนครั้ง

“ไม่ใช่จ๊ะพี่เขาปรับตัวได้แล้วล่ะ หลังๆมาไม่ค่อยบ่นเท่าไรมีแต่เล่าเรื่องกินเรื่องเที่ยวให้ฟัง…ก้อ… เรื่องเกี่ยวกับที่บ้านนี่แหละ…ไว้มาคุยกันที่บ้านนะลูกมันหลายเรื่อง แม่เล่าทางโทรศัพท์มันไม่ค่อยสะดวกเท่าไร”

“ค่ะ งั้นหนูจะขับรถกลับไปตั้งแต่เย็นวันศุกร์ล่ะกัน”

พลอยชมพูพูดคุยถึงเรื่องทั่วๆไปอีกสองสามประโยค แล้วจึงวางสายลง หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปยังเคาน์เตอร์ครัวเล็กๆภายในคอนโดมิเนียมขนาดกระทัดรัดที่เธอเช่าอยู่…อาหารเย็น ของหวาน ผลไม้หรือแม้แต่ของขบเคี้ยวที่หญิงสาวโปรดปรานยังวางอยู่ พลอยชมพูแกะถุงอาหาร กับขนมหวาน ใส่ถ้วยยกมานั่งกินที่โต๊ะกลางหน้าทีวี ชีวิตประจำวันของคนทำงานในเมืองใหญ่มักวนเวียนอยู่อย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่