ไซโควิปลาส.........4

กระทู้สนทนา
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/37429163

บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/37435562

บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/37476290




             “คุณมิสเตอร์เอคะ”

             ผมหันไปมองตามเสียงเรียก มองเห็นเด็กหญิงวัยไม่เกินห้าขวบคนหนึ่ง ยืนอยู่ด้านข้าง (ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้) ในแสงแดดยามบ่ายโพล้เพล้บริเวณสวนดอกไม้ใกล้ลานดงสน ด้านหลังของสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิต มองปราดเดียวก็จำได้ เธอจะมีชื่อจริงอย่างไรก็ช่างเถอะ...แต่ผมเรียกเธอว่า “หนูน้อย” ตามความเคยชิน

             “อ้าว...หายดีแล้วเหรอ”  ผมถามด้วยความรู้สึกโล่งใจ หลายวันก่อนทราบข่าวว่าเธอเจ็บป่วยทางร่างกายจนต้องเข้าห้องพยาบาล  เนื่องจากมีอาการของโรคประจำตัว ผมรู้จักหนูน้อยคนนี้ดีเพราะเธอมักจะใช้เวลาว่างมานั่งเล่นในสวนดงสนเสมอ เด็กน้อยผู้น่าสงสาร อุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้เธอเสียพ่อแม่ไป นั่นคือสาเหตุทำให้เธอถูกส่งมาอยู่ที่นี่

             “หนูสบายดีแล้วค่ะ”   พูดพลางเธอยื่นกิ่งไม้แห้งๆมาให้คล้ายเป็นของฝาก ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มเล็กน้อยและแววตาฉลาดเกินวัย  ชุดคนไข้ลายตุ๊กตาทำให้ดูน่ารัก แม้ใบหน้าจะซูบซีดและท่าทางอ่อนล้า เด็กคนนี้ไม่เคยเด็ดดอกไม้จากต้น ด้วยเหตุผลว่าสงสารดอกไม้  ที่ดอกไม้ถูกทำลายเพราะความงามของมันเอง

             “มีอะไรให้ฉันช่วยไหม”  

             “มีสิคะ หนูได้ข่าวว่าคุณเหนี่ยวนำคนให้เจอคนรักได้”    เธอพูดเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อมเช่นกัน

             “อะไรกันตัวแค่นี้ หัดมีความรักแล้วเหรอ”

             “หนูหมายถึงพ่อแม่หนูต่างหาก”

             ผมฟังแล้วถอนลมหายใจ พักนี้มักมีคนมาหาอยู่บ่อยๆ เพื่อรับ ‘การเหนี่ยวนำ’ ให้เป็นบ้าชั่วคราว ในช่วงแห่งความเป็นบ้า พวกเขาจะได้พบคนรักที่ตายไปแล้วอีกครั้ง แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม แต่มันมีความหมายมากมายกับหลายคน จนยอมบ้า ขนาดพวกหมอพยาบาลก็ยังไม่เว้น

             “พวกท่านไปอยู่บนสวรรค์แล้ว” ผมหลบเลี่ยงคำว่าตาย  หนูน้อยพยักหน้าอย่างเข้าใจ เดินมานั่งเก้าอี้หินอ่อนด้านข้าง พลางจ้องมองอย่างอ้อนวอน

             “หนูรู้  แต่หนูขอเป็นครั้งสุดท้าย ได้โปรดนะคะ หนูอยากเจอพวกท่าน”

             นี่ล่ะนะ คนเรา...ผมได้แต่คิดในใจ มักยึดติดกับอะไรบางอย่าง ซึ่งแม้แต่จะสูญเสียไปแล้วก็ยากจะทำใจยอมรับ แต่ก็อีกนั่นล่ะ เรื่องราวมากมายอยู่นอกเหนือเหตุผล อารมณ์พิเศษจะต้องสืบทอดส่งต่อกันมาตามสายเลือด ทางพันธุกรรม หรือดีเอ็นเออย่างแน่นอน ถ้าจะมีอะไรบางอย่างควบคุมมนุษย์ ก็คงเป็นโครโมโซมกระมัง?

             และแน่นอนว่า ใครจะปฏิเสธแววตาอ้อนวอนของเด็กๆได้  การเหนี่ยวนำด้วยพลังแห่งความวิปลาสอันเป็น ‘พรนรก’ ของผม  บางทีก็มีประโยชน์เช่นกัน ความจริง.. ความฝัน.. ความทรงจำ..  มันสามารถเชื่อมโยงเข้าหากันได้ ประสบการณ์ไม่ว่าจะเลวร้ายหรือแสนดีปานใด สุดท้ายก็เป็นเพียงความทรงจำ และท้ายสุดจริง ก็ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า


             วันรุ่งขึ้น  ผมมาลานดงสนตั้งแต่เช้า ก่อนถึงเวลาไปให้พวกหมอตรวจสภาพ ราวกับเป็นเครื่องจักรกลชนิดหนึ่ง กับการถูกตั้งคำถามเดิมๆซ้ำซาก จนแทบจะอ้วกออกมาเป็นคำถามอยู่แล้ว แต่ไม่มีวันเสียล่ะว่าคนพวกนั้นจะเข้าใจ บางครั้งนะ...ถ้าคุณจะเข้าใจความบ้า คุณก็ต้องบ้ากว่า

             มิสเตอร์บีมาก่อนใครเสียอีก เขารีบมาดูแลโรสและโรซี่ กุหลาบสาวแสนสวยสองพี่น้อง ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นตามวันเวลาแห่งความฝัน มิสเตอร์บีกำลังไล่ตามความฝันของเขาเอง กับการสร้างวงล้อแห่งสวนกุหลาบล้อมรอบอาณาเขตแห่งสถาบันวิเคราะห์ทางจิต  ผมว่าดีแล้วล่ะ คนเราต้องมีอะไรรับผิดชอบบ้าง ชีวิตจะได้ไม่เวิ้งว้างเกินไป

             “ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดถึงหนูน้อย”

             มิสเตอร์บีหันมาพูดกับผมหลังจากผละจากแปลงกุหลาบของเขา มานั่งข้างๆ ไม่ว่าเขาจะจัดอยู่ในคนบ้าประเภทใดก็ตาม ความจริงคือเขาเป็นคนสุภาพและมีความเป็นมิตรสูง ไม่เคยคิดร้ายต่อใครหรืออะไร

             “คุณรู้ได้ยังไง”   ผมเอ่ยถามลอยๆ มากกว่าจะต้องการคำตอบจริงจัง

             “โรสบอกผม  และเอ้อ...มีอย่างหนึ่งที่คุณอาจยังไม่รู้”

             คำตอบของมิสเตอร์บีมีแววบางอย่างทำให้ผมรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล และคำพูดต่อมาของเขาทำให้ความเย็นยะเยียบแผ่ซ่านเข้ามาเกาะกุมไขสันหลังทันที

             “หนูน้อยเธออาการแย่ และเสียชีวิตเมื่อสามวันที่แล้ว  ผมไม่อยากบอกคุณ แต่คิดว่าคุณควรรู้”

             สามวันอะไรกัน....วานนี้เธอยังนั่งคุยกับผมอยู่เลย  วูบนั้นใบหน้าเศร้าหมองอ่อนล้าของเธอคล้ายปรากฏบนท้องฟ้า ไม่น่าเป็นไปได้ แต่มิสเตอร์บีไม่เคยพูดปด  ข้อมูลของเขาถูกต้องเชื่อถือได้เสมอ มั่นใจได้ยิ่งกว่าคำพูดของคนปกติเสียอีก หนูน้อยเคยบอกว่า ข้างนอกไม่มีอะไรสำหรับเธอ  แต่ไม่คิดว่าเธอจะจากไปเร็วเกินกว่าการคาดเดา ผมไม่ได้หวาดกลัวแต่ใจหายสะเทือนใจมากกว่า ไม่ว่าเธอเป็นอะไร สิ่งนั้นก็ไม่สามารถทำลายมิตรภาพของเราไปได้

             พบซบหน้าลงกับฝ่ามือด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่านสับสน รู้สึกใจหายวาบวูบไม่หยุดยั้ง เพื่อนน่ารักอีกคนจากไปแล้ว

             “มิสเตอร์เอคะ”

             เสียงใสๆแว่วกระทบโสต ผมยืดตัวตรงเงยหน้าขึ้นมอง  ให้บ้าเถอะ!   หนูน้อยยืนอยู่เบื้องหน้าห่างออกไปห้าหกเมตรเท่านั้น ใบหน้าของเธอสดใสร่าเริงมีความสุขอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน  นั่นล่ะ...สีหน้าแววตาท่าทางที่อยากเห็น ขนาบข้างเป็นหญิงชายคู่หนึ่ง พากันยืนจับมือของหนูน้อยไว้ด้วยทีท่ารักใคร่ห่วงหา

             “ขอบคุณค่ะที่ทำให้หนูเจอคุณพ่อคุณแม่ หนูจะไม่หลงทางอีกแล้วนะคะ ลาก่อนค่ะคุณมิสเตอร์เอ พวกเราจะไม่ลืมคุณ”

             “ฉันก็จะไม่ลืมเธอเช่นกัน หนูน้อย”

             ผมตอบเธอด้วยความรู้สึกจากใจ แน่ใจว่าเธอสามารถรับรู้ได้ด้วยใจเช่นกัน  จะจริงจะเท็จจะลวงอะไรก็ไม่สำคัญ  ในเมื่อผมสามารถเหนี่ยวนำได้แม้กระทั่งคนตายไปแล้ว ให้พบกับเส้นทางของตัวเอง  ทั้งสามคนยิ้มให้กันก่อนจูงมือเดินหายไปในความว่างเปล่า ลาก่อนแม่หนูน้อย เธอได้พบสิ่งที่ดีในโลกใหม่...อย่างที่เธอเคยบอก ข้างนอกของโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีอะไรเหลือสำหรับเธออีกต่อไป  ฉันจะไม่ลืมเธอเช่นกัน ลาก่อนหนูน้อย ถึงจะคิดถึงแต่ก็จะไม่เสียใจกับการจากไป ถ้าเส้นทางนั้นเป็นความสงบสวยงาม การลาจากไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นเสมอ

             น้ำตาของผมไหลริน ไม่ใช่เพราะความเศร้าโศก แต่เป็นความตื้นตันใจกับอะไรบางอย่าง ที่ผู้คนปกติอาจไม่เข้าใจ เมื่อถึงจุดหนึ่ง เราต้องตัดใจยอมรับต่อการลาจากชั่วนิรันดร์



จบแล้วครับ
ขอบคุณทุกท่าน ที่มาเยือนเด้อครับ^^
ขอบคุณ คุณLadygaga Star 919 ,  คุณนัน turtle_cheesecake , คุณตี๋ส่องแสงตะวันฉาย ,คุณแอนนลินมณี , คุณสมาชิกหมายเลข 3875943 ท, คุณลิลายลิขิต , คุณวิญญาณSoul Master , คุณเจียวต้าย , คุณพิมเสนยาใจ  ที่แวะเวียนมาทักทายกัน^^
อมยิ้ม29อมยิ้ม29อมยิ้ม22อมยิ้ม22หัวใจ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่