นางจิญจมาณวิกา เป็นใคร ชื่อนี้ ปรากฎใน พระไตรปิฏก กล่าวว่านางเป็นลูกศิษย์ของ ลัทธิเดียรถีย์
(แน่นอน ว่า ลัทธิเดียรถีย์ ไม่ใช่ชื่อลัทธิ แต่ เป็นชื่อ ที่คนเขียนพระไตรปิฏก กล่าวถึงลัทธิอื่นๆ ที่ไม่ใช่พุทธศาสนา)
ทีนี้ นางจิญจมาณวิกา ก็ ทำตัวประหนึ่งเป็นพุทธศาสนิกชน ผู้เลื่อมใส ในพุทธศาสนา เดินเข้าออก
สมาคมกับ พุทธศาสนิกชนทั่วไป จากนั้น นางก็เริ่มทำพฤติกรรม ไม่ปรกติ ให้พุทธศาสนิกชน ทั่วไปได้พบเห็น คือ
เมื่อ พุทธศาสนิกชน เดินเข้าวัดในตอนเช้า (วัดพระเชตวันมหาวิหาร) นางก็เดินกลับบ้าน
พอตอนบ่ายๆเย็นๆ พุทธศาสนิกชน เดินกลับ้าน นางก็เดินเข้าวัด
กระทำตัวเช่นนี้ ไป พร้อมๆ กับ นางเริ่มมัดหน้าท้อง ให้ใหญ่ขึ้น ๆ ตามลำดับ จนสุดท้าย ก็เอาโครงไม้ไผ่มัด ไว้ตรงท้อง
ให้ดูเหมือน กำลังตั้งครรภ์ แล้วนาง ก็ไปยืนต่อหน้า พระพุทธเจ้า และเหล่าสาวก กล่าวว่า
พระองค์จะมานั่งเทศนา เรื่องความดีความชั่วได้อย่างไร พระองค์ควรมาดูแล ดิฉันและบุตร ที่กำลังจะเกิดมา ควรประพฤติเป็นสวามีที่ดีต่อดิฉัน
แน่นอน พุทธศาสนิกชน ที่นั่งอยู่ในนั้น ก็มีทั้งที่ เชื่อ ไม่เชื่อ และ ลังเล
ทีนี้ เราคงต้องวิเคราะห์ดูก่อน ว่า สิ่งที่นางทำ ทำไมถึงได้สร้างผลกระทบ ทำไมถึงสร้างเรื่องโกหก ให้คนเชื่อว่าเป็นจริงได้
หลักง่ายๆ สิ่งที่นาง จิญจาณวิกา และ พวกกระทำ (เรื่องนี้ นางคงทำคนเดียวไม่ได้ และทำแล้วนางต้องได้ประโยชน์ ไม่ว่าจะได้ประโยชน์จากเงิน
ลาภสักการะ สินบน หรือ ข้อเสนอ ได้ตำแหน่งหน้าที่ใน ลัทธิอื่นๆ)
๑. ผู้เสียหาย นางจิญจาณวิกา ร้องทุกข์ บอกกล่าว ว่านางเป็นผู้เสียหาย
๒. พยานวัตถุ สิ่งที่ดูเหมือนเป็น ครรภ์ ที่ปกปิดภายในเสื้อผ้าของนาง (ซึ่งเรื่องนี้ นางกล้ามาก เพราะ ตามพระไตรปิฏก นางไม่ได้ท้องจริง ซึ่งถ้าใคร
จับได้ หรือ เข้ามาตรวจ มาจับ นางโดนแน่ๆ)
๓. พยานแวดล้อม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เชื่อว่า พวกของนาง เริ่มสร้างกระแส เริ่มมาจาก การที่นางเดินเข้าวัด ในเวลากลางคืน และ ออกเวลาเช้า แค่พวกของ
นาง แกล้งคุยไปทั่วๆ ว่า ดูสิ นางผู้นี้ทำไมเดินเข้าวัดตอนกลางคืน ไปไหนหนอ แล้วทำไมกลับจากกุฎิพระศาสดา ยามเช้า พูดไปพูดมาแค่นี้ ก็ลือกัน
ไปได้ทั่วแล้ว โดยที่ไม่มีใคร รู้ว่า ความจริงเป็นเช่นไร ไม่รู้ต้นตอ ไม่สามารถสืบว่าใครเริ่มพูดได้ แต่สิ่งที่เป็นผล คือ ทุกคนเริ่มลังเล เริ่มเชื่อ เพราะ คน
ที่มาพูด มาเล่า คือ แม่ของนางเอ หรือ ป้าของนางบี หรือ เป็นพ่อแท้ๆของฉันเอง เรื่องโกหก จึงเป็นจริง เพราะ เกิดจาก ผู้ส่งสาร เป็นคน ที่ผู้รับสาร
เชื่อถือ
แน่นอน ในปัจจุบัน มันก็กลายเป็น ไลน์จากพ่อ ไลน์จากพี่ ไลน์จากกลุ่ม นั้น กลุ่มนี้ สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่า อุปทานหมู่
"อุปทานหมู่"
เป็นสิ่งที่ ผู้ฉลาด ใช้ กับ ผู้เขลา เสมอ เพื่อ สร้างกระแส ทำลายฝั่งตรงข้าม หรือ สร้างกระแส ให้ตัวเองดูสูงส่งมากขึ้น
ใช้ใน ทางการเมือง การปกครอง การทหาร การตลาด ฯลฯ
ยกตัวอย่างเช่น กรณี พระนางบูเช็คเทียน สร้าง พระพุทธรูปแกะสลักหิน ที่ถ้ำหลงเหมิน
กรณีนี้ ก็มีคน "ลือ" กันไปมา ตั้งแต่ในอดีต จนมีบันทึกไว้ เต็มไปหมด ทั้งพงศาวดารจริง พงศาวดารกระซิบ ว่า ค่าใช้จ่ายในกระสร้าง
พระพุทธรูป ที่มีขนาดใหญ่ขนาดนี้ รวมถึง พระอัครสาวก และ พระโพธิสัตว์ (รวมๆ แปดเก้าองค์) เป็นเพียง เงินที่พระนางประหยัดมาจาก
"งบ เครื่องประทินผิวและความงาม" ของพระนาง ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริง หรือไม่จริง หรือ คนบอกเล่าเรื่องนี้จะมีจุดประสงค์อันใด
สิ่งที่พระนาง ได้ผลกระทบ มาจนถึงปัจจุบัน คือ แค่ประหยัดงบเครื่องประทินผิวและความงาม พระนางสร้างได้ขนาดนี้เลยเหรอ สรุป
พระนาง ใช้เงินภาษีราษฏร ไปเท่าไหร่ กัน นะ กับค่าใช้จ่าย ต่างๆ ในชีวิตประจำวันของพระนาง
กลับมาที่จุดจบ นางจิญจมาณวิกา สุดท้าย ตามพระไตรปิฏก กล่าวว่า พระอินทร์ ทรง แปลงกาย เป็นหนู ไปกัด เชือกในโครงไม้ไผ่ ทำให้
โครงไม้ไผ่ มันหลุดออกมาจากเสื้อผ้านาง ชาวบ้านที่เห็น ก็ รุมประชาทัณฑ์นาง
แต่นาง วิ่งหนี ออกมา จนถึง เขตนอกวัดพระเชตวัณมหาวิหาร แผ่นดินแยก สูบนางลง มหาเวจีนรก
ถ้าเรา ตัด เรื่อง อภินิหารออกไป ถ้านางท้องไม่จริง ความจริงคงต้องปรากฎสักวัน และสิ่งที่ ประชาชนรับทราบ มันคงสร้างกระแสความเกลียดนาง
ได้ชนิดที่ว่า นางคงจะมีชีวิตอยู่ในสังคม นั้นๆ ไม่ได้แน่นอน
เช่นเดียว กับเรื่อง หวย สามสิบล้าน ต่างฝ่ายต่างก็พยายาม หาหลักฐาน
ถ้า คุณ สร้าง หลักฐาน ที่เป็นเรื่อง โกหก แน่นอน วิธีสร้างเรื่องโกหก ให้เป็นจริง ทุกคนย่อมตระหนักได้ ว่าสร้างได้ไม่ยาก
แต่สิ่งที่คุณทำ ถ้ามันไม่เนียน ถูกจับได้ นางจิญจมาณวิกา คงไม่ได้ มีเพศหญิงเพียงคนเดียว
อาจะเป็น เพศชาย เพศหญิง หรือเพศที่สาม และ ผลลัพธ์ ที่ออกมา
ถามว่า สังคม ที่คุณอยู่ แน่นอน ไม่ใช่แค่ สังคมหรือ หมู่บ้านเล็กๆของคุณ แต่ มันคือสังคมวงกว้าง กว้างขนาดทั่วทั้งประเทศไทย
ก็รับรู้ ว่า หน้าตา คุณ แต่ละคน เป็นเช่นไร
พระท่าน บอกว่า โทษของ "มุสา" คือ เรา โกหก ตัวเองไม่ได้ พอเราโกหกตัวเองไม่ได้ เราจะจำไม่ได้
แต่เรา ต้อง โกหกต่อไป และทุกครั้งที่ โกหก มันจะไม่เหมือนกัน เพราะ เราพูดเรื่องไม่จริง
สมัยก่อน ไม่มีกล้อง ไม่มีทีวี ไม่มี ยูทิวป์ แต่ ปัจจุบัน มีหมด
สิ่งที่คุณพูดออกสื่อ มีบันทึก เปิดย้อนหลังได้ เปิดเปรียบเทียบได้
สุดท้าย คนหนึ่งจำพวก ที่จะทำเลวได้ โดยไม่สนใจ ไม่มีหิริโอตัปปะ
นั่นคือ สัตว์นรก เพราะ สัตว์นรก ที่ต้องไปรับโทษในมหาอเวจี มันเต็มไปด้วย อวิชชา
คือ ไม่รู้ว่า สิ่งที่ตัวเองทำ คือ สิ่งผิด ดังนั้น จึง มุ่งมั่นแต่ในประโยชน์ ที่ตนได้รับ
สิ่งที่จะทำให้พ้นจากมหาอเวจีนรก ได้นั้น ไม่ใช่ รับโทษไปเท่านั้นเท่านี้ แล้วจะได้กลับมาเป็น มนุษย์ แต่ มันคือ ขณะจิต ที่ได้สำนึก
สำนึก ถึงผลกระทบของ การกระทำของตน ที่ทำให้ เพื่อนร่วมโลก เดือดร้อน
เมื่อไม่สำนึก นรกอเวจี ก็จำสถิตย์ อยู่ใน ตัว สัตว์นรก นั้น ตลอด ชั่วกัลป์ ชั่วกัณฑ์
จุดจบของคนโกหก นางจิญจมาณวิกา (( วิเคราะห์ วิธี สร้างเรื่องโกหก ปลุกกระแสสังคม ให้คิดว่า เรื่องโกหก เป็นจริง))
(แน่นอน ว่า ลัทธิเดียรถีย์ ไม่ใช่ชื่อลัทธิ แต่ เป็นชื่อ ที่คนเขียนพระไตรปิฏก กล่าวถึงลัทธิอื่นๆ ที่ไม่ใช่พุทธศาสนา)
ทีนี้ นางจิญจมาณวิกา ก็ ทำตัวประหนึ่งเป็นพุทธศาสนิกชน ผู้เลื่อมใส ในพุทธศาสนา เดินเข้าออก
สมาคมกับ พุทธศาสนิกชนทั่วไป จากนั้น นางก็เริ่มทำพฤติกรรม ไม่ปรกติ ให้พุทธศาสนิกชน ทั่วไปได้พบเห็น คือ
เมื่อ พุทธศาสนิกชน เดินเข้าวัดในตอนเช้า (วัดพระเชตวันมหาวิหาร) นางก็เดินกลับบ้าน
พอตอนบ่ายๆเย็นๆ พุทธศาสนิกชน เดินกลับ้าน นางก็เดินเข้าวัด
กระทำตัวเช่นนี้ ไป พร้อมๆ กับ นางเริ่มมัดหน้าท้อง ให้ใหญ่ขึ้น ๆ ตามลำดับ จนสุดท้าย ก็เอาโครงไม้ไผ่มัด ไว้ตรงท้อง
ให้ดูเหมือน กำลังตั้งครรภ์ แล้วนาง ก็ไปยืนต่อหน้า พระพุทธเจ้า และเหล่าสาวก กล่าวว่า
พระองค์จะมานั่งเทศนา เรื่องความดีความชั่วได้อย่างไร พระองค์ควรมาดูแล ดิฉันและบุตร ที่กำลังจะเกิดมา ควรประพฤติเป็นสวามีที่ดีต่อดิฉัน
แน่นอน พุทธศาสนิกชน ที่นั่งอยู่ในนั้น ก็มีทั้งที่ เชื่อ ไม่เชื่อ และ ลังเล
ทีนี้ เราคงต้องวิเคราะห์ดูก่อน ว่า สิ่งที่นางทำ ทำไมถึงได้สร้างผลกระทบ ทำไมถึงสร้างเรื่องโกหก ให้คนเชื่อว่าเป็นจริงได้
หลักง่ายๆ สิ่งที่นาง จิญจาณวิกา และ พวกกระทำ (เรื่องนี้ นางคงทำคนเดียวไม่ได้ และทำแล้วนางต้องได้ประโยชน์ ไม่ว่าจะได้ประโยชน์จากเงิน
ลาภสักการะ สินบน หรือ ข้อเสนอ ได้ตำแหน่งหน้าที่ใน ลัทธิอื่นๆ)
๑. ผู้เสียหาย นางจิญจาณวิกา ร้องทุกข์ บอกกล่าว ว่านางเป็นผู้เสียหาย
๒. พยานวัตถุ สิ่งที่ดูเหมือนเป็น ครรภ์ ที่ปกปิดภายในเสื้อผ้าของนาง (ซึ่งเรื่องนี้ นางกล้ามาก เพราะ ตามพระไตรปิฏก นางไม่ได้ท้องจริง ซึ่งถ้าใคร
จับได้ หรือ เข้ามาตรวจ มาจับ นางโดนแน่ๆ)
๓. พยานแวดล้อม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เชื่อว่า พวกของนาง เริ่มสร้างกระแส เริ่มมาจาก การที่นางเดินเข้าวัด ในเวลากลางคืน และ ออกเวลาเช้า แค่พวกของ
นาง แกล้งคุยไปทั่วๆ ว่า ดูสิ นางผู้นี้ทำไมเดินเข้าวัดตอนกลางคืน ไปไหนหนอ แล้วทำไมกลับจากกุฎิพระศาสดา ยามเช้า พูดไปพูดมาแค่นี้ ก็ลือกัน
ไปได้ทั่วแล้ว โดยที่ไม่มีใคร รู้ว่า ความจริงเป็นเช่นไร ไม่รู้ต้นตอ ไม่สามารถสืบว่าใครเริ่มพูดได้ แต่สิ่งที่เป็นผล คือ ทุกคนเริ่มลังเล เริ่มเชื่อ เพราะ คน
ที่มาพูด มาเล่า คือ แม่ของนางเอ หรือ ป้าของนางบี หรือ เป็นพ่อแท้ๆของฉันเอง เรื่องโกหก จึงเป็นจริง เพราะ เกิดจาก ผู้ส่งสาร เป็นคน ที่ผู้รับสาร
เชื่อถือ
แน่นอน ในปัจจุบัน มันก็กลายเป็น ไลน์จากพ่อ ไลน์จากพี่ ไลน์จากกลุ่ม นั้น กลุ่มนี้ สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่า อุปทานหมู่
"อุปทานหมู่"
เป็นสิ่งที่ ผู้ฉลาด ใช้ กับ ผู้เขลา เสมอ เพื่อ สร้างกระแส ทำลายฝั่งตรงข้าม หรือ สร้างกระแส ให้ตัวเองดูสูงส่งมากขึ้น
ใช้ใน ทางการเมือง การปกครอง การทหาร การตลาด ฯลฯ
ยกตัวอย่างเช่น กรณี พระนางบูเช็คเทียน สร้าง พระพุทธรูปแกะสลักหิน ที่ถ้ำหลงเหมิน
กรณีนี้ ก็มีคน "ลือ" กันไปมา ตั้งแต่ในอดีต จนมีบันทึกไว้ เต็มไปหมด ทั้งพงศาวดารจริง พงศาวดารกระซิบ ว่า ค่าใช้จ่ายในกระสร้าง
พระพุทธรูป ที่มีขนาดใหญ่ขนาดนี้ รวมถึง พระอัครสาวก และ พระโพธิสัตว์ (รวมๆ แปดเก้าองค์) เป็นเพียง เงินที่พระนางประหยัดมาจาก
"งบ เครื่องประทินผิวและความงาม" ของพระนาง ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริง หรือไม่จริง หรือ คนบอกเล่าเรื่องนี้จะมีจุดประสงค์อันใด
สิ่งที่พระนาง ได้ผลกระทบ มาจนถึงปัจจุบัน คือ แค่ประหยัดงบเครื่องประทินผิวและความงาม พระนางสร้างได้ขนาดนี้เลยเหรอ สรุป
พระนาง ใช้เงินภาษีราษฏร ไปเท่าไหร่ กัน นะ กับค่าใช้จ่าย ต่างๆ ในชีวิตประจำวันของพระนาง
กลับมาที่จุดจบ นางจิญจมาณวิกา สุดท้าย ตามพระไตรปิฏก กล่าวว่า พระอินทร์ ทรง แปลงกาย เป็นหนู ไปกัด เชือกในโครงไม้ไผ่ ทำให้
โครงไม้ไผ่ มันหลุดออกมาจากเสื้อผ้านาง ชาวบ้านที่เห็น ก็ รุมประชาทัณฑ์นาง
แต่นาง วิ่งหนี ออกมา จนถึง เขตนอกวัดพระเชตวัณมหาวิหาร แผ่นดินแยก สูบนางลง มหาเวจีนรก
ถ้าเรา ตัด เรื่อง อภินิหารออกไป ถ้านางท้องไม่จริง ความจริงคงต้องปรากฎสักวัน และสิ่งที่ ประชาชนรับทราบ มันคงสร้างกระแสความเกลียดนาง
ได้ชนิดที่ว่า นางคงจะมีชีวิตอยู่ในสังคม นั้นๆ ไม่ได้แน่นอน
เช่นเดียว กับเรื่อง หวย สามสิบล้าน ต่างฝ่ายต่างก็พยายาม หาหลักฐาน
ถ้า คุณ สร้าง หลักฐาน ที่เป็นเรื่อง โกหก แน่นอน วิธีสร้างเรื่องโกหก ให้เป็นจริง ทุกคนย่อมตระหนักได้ ว่าสร้างได้ไม่ยาก
แต่สิ่งที่คุณทำ ถ้ามันไม่เนียน ถูกจับได้ นางจิญจมาณวิกา คงไม่ได้ มีเพศหญิงเพียงคนเดียว
อาจะเป็น เพศชาย เพศหญิง หรือเพศที่สาม และ ผลลัพธ์ ที่ออกมา
ถามว่า สังคม ที่คุณอยู่ แน่นอน ไม่ใช่แค่ สังคมหรือ หมู่บ้านเล็กๆของคุณ แต่ มันคือสังคมวงกว้าง กว้างขนาดทั่วทั้งประเทศไทย
ก็รับรู้ ว่า หน้าตา คุณ แต่ละคน เป็นเช่นไร
พระท่าน บอกว่า โทษของ "มุสา" คือ เรา โกหก ตัวเองไม่ได้ พอเราโกหกตัวเองไม่ได้ เราจะจำไม่ได้
แต่เรา ต้อง โกหกต่อไป และทุกครั้งที่ โกหก มันจะไม่เหมือนกัน เพราะ เราพูดเรื่องไม่จริง
สมัยก่อน ไม่มีกล้อง ไม่มีทีวี ไม่มี ยูทิวป์ แต่ ปัจจุบัน มีหมด
สิ่งที่คุณพูดออกสื่อ มีบันทึก เปิดย้อนหลังได้ เปิดเปรียบเทียบได้
สุดท้าย คนหนึ่งจำพวก ที่จะทำเลวได้ โดยไม่สนใจ ไม่มีหิริโอตัปปะ
นั่นคือ สัตว์นรก เพราะ สัตว์นรก ที่ต้องไปรับโทษในมหาอเวจี มันเต็มไปด้วย อวิชชา
คือ ไม่รู้ว่า สิ่งที่ตัวเองทำ คือ สิ่งผิด ดังนั้น จึง มุ่งมั่นแต่ในประโยชน์ ที่ตนได้รับ
สิ่งที่จะทำให้พ้นจากมหาอเวจีนรก ได้นั้น ไม่ใช่ รับโทษไปเท่านั้นเท่านี้ แล้วจะได้กลับมาเป็น มนุษย์ แต่ มันคือ ขณะจิต ที่ได้สำนึก
สำนึก ถึงผลกระทบของ การกระทำของตน ที่ทำให้ เพื่อนร่วมโลก เดือดร้อน
เมื่อไม่สำนึก นรกอเวจี ก็จำสถิตย์ อยู่ใน ตัว สัตว์นรก นั้น ตลอด ชั่วกัลป์ ชั่วกัณฑ์