[CR] [Review] The Florida Project (2017) แดน (ไม่) เนรมิต


“ เด็กก็เปรียบเสมือนผ้าขาว ผู้ใหญ่อย่างเราก็มีหน้าที่เติมสีลงในผ้าขาวผืนนั้น ” ประโยคนี้คงจะสื่อถึงเรื่องราวของหนังได้เป็นอย่างดี การที่เราทำตัวอย่างไรให้เด็กๆ เห็น เด็กเหล่านั้นก็จะจดจำและซึมซับพฤติกรรมเหล่านั้นเข้าไปเอง อย่าลืมว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้มีความสามารถในการแยกแยะได้เหมือนอย่างผู้ใหญ่อย่างเรา พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าสิ่งใดดีหรือสิ่งใดไม่ดี หนังดราม่าเรื่องนี้เป็นผลงานกำกับของ ฌอน เบเกอร์ ที่เคยฝากผลงานจากเรื่อง Tangerine (2015) โดยนอกจากจะกำกับแล้วเขายังร่วมเขียนบท และควบคุมการผลิตอีกด้วย นำแสดงโดยสาวน้อยน่ารัก บรู้คลิน ปรินซ์ , เบรีย วิเนท และดาราเจ้าบทบาทอย่างวิลเล่ม เดโฟ ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายในปีนี้อีกด้วย

หนังบอกเล่าเรื่องราวของเหล่าเด็กๆ ที่อยู่อาศัยในฟลอริด้า ใกล้ๆ กับ วอล์ทดิสนีย์เวิลด์ ที่ช่วงปิดเทอมพวกเขาเหล่านั้นก็มาจับกลุ่มวิ่งเล่นกันตามประสาวัยกำลังซน ซึ่งมีมูนี่ย์ ( ปรินซ์ ) สาวน้อยวัยหกขวบเป็นหัวโจก ร่วมด้วย สกู๊ตตี้ ( ริเวล่า ) และ แจนซี่ย์ ( คอตโต้ ) โดยพวกเด็กเหล่านี้ก็มิได้มีที่อยู่อาศัยเป็นถาวรต้องพักอาศัยอยู่ที่โมเตลและจ่ายค่าเช่าเป็นรายสัปดาห์ ซึ่งโมเตลเมจิกคาสเซิลที่มูนี่ย์ กับ สกู๊ตตี้พักอาศัยอยู่กับแม่ก็มี บ๊อบ ( เดโฟ ) ผู้จัดการของโมเตลคอยดูแลทุกข์สุขแก้ปัญหา และตามเก็บค่าเช่าจากผู้เช่า ซึ่งบางครั้งฮัลลี่ ( วิเนท ) คุณแม่วัยรุ่นของมูนี่ย์ก็ต้องพยายามหาเงินค่าเช่ามาจ่ายให้ทัน แต่ทว่าเนื่องจากฮัลลี่ต้องเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวแถมยังไม่มีงานประจำเป็นหลักเป็นแหล่งทำให้เธอต้องปากกัดตีนถีบทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาเพื่อจ่ายค่าเช่าและไม่ให้กรมคุ้มครองเด็กมาเอาตัวลูกสาวไปจากเธอ ชีวิตในห้วงปิดเทอมของเด็กๆ ก็เล่นสนุกสนานซุกซนกันเรื่อยมาจนกระทั่งวันนึงพวกเด็กๆ ก็ไปเล่นซุกซนจนทำให้เกิดเรื่องขึ้นจากนั้นสถานการณ์และสิ่งต่างๆ ของพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

สำหรับการดำเนินเรื่อง หนังเรื่องนี้จะมีการดำเนินเรื่องโดยมีเด็กๆ เป็นแกนหลักของเรื่อง ซึ่งจะพาเราไปดูการเล่นซุกซนที่ไม่ได้เป็นแนวสดใสน่ารักน่าเอ็นดูตามละครหรือรายการทีวีแบบโลกสวยทั่วๆ แต่จะเป็นการเล่นซุกซนแบบสายดาร์คไม่ว่าจะเป็นการต้อนรับเพื่อนใหม่แบบห่ามๆ แนวๆ ที่ทำให้ผู้ใหญ่อย่างเราต้องส่ายหัว หรือคำพูดคำจาที่ทำให้พวกเราต้องสะอึกกันเลยทีเดียว แถมยังคอยหาเรื่องป่วนชาวบ้านไปทั่ว แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้ถือสาอะไรพวกเด็กๆ เพราะรู้ว่าที่เด็กทำไปเพราะเกิดจากความไร้เดียงสาไม่ได้มีเจตนาอะไร และเรายังจะได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวอเมริกันชั้นล่างๆ ของสังคม ที่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้มีบ้านเป็นของตัวเองและต้องคอยเปลี่ยนที่พักไปเรื่อยๆ แถมบางครอบครัวก็เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือซิงเกิ้ลมัมที่ต้องทำทุกวิถีทางแม้จะต้องเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายก็ต้องยอมเพื่อให้ได้เงินมาจ่ายค่าเช่า และต้องแสดงให้กรมคุ้มครองเด็กเห็นว่าเธอสามารถเลี้ยงลูกได้โดยไม่เกิดปัญหาใดๆ สำหรับเด็ก ในเรื่องนี้เราจะเห็นความป่าเถื่อนรุนแรงหรือพฤติกรรมที่ล่อแหลมของผู้ใหญ่ที่ปรากฏให้พวกเด็กๆ ดูราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ ทำให้เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเด็กๆ เหล่านี้ จึงมีพฤติกรรมห่ามๆ ทะลึ่งตึงตังออกมา และต้องยอมรับความฉลาดในการถ่ายทำของผู้กำกับที่บางฉากในหนังเลือกที่จะไม่ให้เราได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับตาแต่กลับใช้การเปิดเพลงฮิปฮอปที่มีเนื้อหาทางเพศที่ทำให้เราเข้าใจและนึกภาพตามว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน อีกสิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจก็คือการเขียนบท ที่แม้หนังจะพาเราไปดูความซุกซนไร้เดียงสาตลกโปกฮาของเด็กๆ แต่เมื่อดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ หนังก็จะค่อยๆ บีบคั้นอารมณ์ของเราทำให้เกิดความกดดันและมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครโดยไม่รู้ตัว สำหรับการใช้โทนสีของหนัง จะใช้โทนสีที่สดใสฉูดฉาดที่จะสังเกตได้จากการแต่งกายของตัวละครซึ่งเป็นการตัดกันกับเนื้อเรื่องที่ทำให้เรามีความรู้สึกหม่นหมอง ประมาณว่าผู้กำกับปรานีความรู้สึกคนดูเล็กน้อยที่จะไม่ให้หนังมันดราม่าจนเกิดอารมณ์สลดจนเกินไปนัก อีกสิ่งหนึ่งที่หนังเหมือนว่าจงใจจะเสียดสีก็คือการตั้งชื่อสถานที่ในหนังอย่างโมเตลที่ใช้ชื่อว่า เมจิกคาสเซิล ที่ดูแล้วไม่ได้เข้ากับชื่อเลยเพราะเป็นแนวโรงแรมจิ้งหรีดที่มีสภาพแวดล้อมไม่น่าอภิรมย์เท่าใด ตรงกันข้ามกับ เมจิกคิงดอมในวอล์ทดิสนีย์เวิลด์ที่เป็นสถานที่ที่อลังการสวยงามตามแบบฉบับในนิยาย ทำให้เรานึกขำว่าชื่อเมจิกเหมือนกันแต่ต่างกันราวฟ้ากับเหว เปรียบเทียบเหมือนกับว่าเมจิกอันนึงคือเรื่องจริง ส่วนอีกเมจิกนึงคือในนิยาย

สำหรับการแสดงของนักแสดง เริ่มจากตัวเอกของเรื่องก็คือสาวน้อยวัยเจ็ดขวบอย่าง บรู้คลิน ปรินซ์ในบทของมูนี่ย์ ต้องบอกว่าเล่นได้ดีมากๆ เธอเล่นได้อย่างธรรมชาติมีความสดใสน่ารัก อีกทั้งการที่พูดจาไม่น่ารัก ยียวนกวนประสาทผู้ใหญ่โดยไม่ยี่หระเหมือนกับว่าเธออยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นๆ จริงๆ พอตอนเศร้าก็ทำให้เราจะร้องไห้ตามมูนี่ย์ได้เหมือนกัน สามารถเข้าถึงอารมณ์ได้ดี เอาจริงๆ นะผมว่าการแสดงของเธอสมควรที่จะได้รางวัลสักรางวัลนึงเลยทีเดียว ส่วนบทของฮัลลี่ย์แม่วัยรุ่นของมูนี่ย์ที่แสดงโดย วิเนท ก็เล่นได้เหมือนวัยรุ่นที่ไม่ได้พร้อมจะมีลูกเหมือนกับเรื่องจริงที่เราพบเห็นตามทั่วไปในสังคมทุกวันนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอเองแม้จะไม่ได้เป็นแม่ที่ดีสักเท่าไรนักแต่เธอก็รักลูกของเธออย่างสุดหัวใจ เธอพยายามเติมเต็มความสุขของมูนี่ย์ไม่ให้มูนี่ย์รับรู้ถึงความลำบากของเธอ อย่างไรก็ตามเราเองก็เห็นด้านมืดของเธอที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของมูนี่ย์ไม่ว่าจะเป็นการสบถ พูดจาหยาบคายหรือกิริยาที่ไม่เหมาะสม แถมบางครั้งก็ไม่ห้ามปรามพฤติกรรมของเด็กๆ กลับบอกว่าพวกนี้เป็นแค่เด็กอย่าไปถือสาเลย ถือได้ว่าบทของฮัลลี่ย์เป็นตัวแทนให้เราได้เห็นภาพของชาวบ้านรากหญ้าในสังคมชั้นล่างของอเมริกันเลยก็ว่าได้ ส่วนอีกคนที่ต้องพูดถึงก็คือ วิลเล่ม เดโฟ ในบทของบ๊อบผู้จัดการของโมเตล ซึ่งทำให้เรามีความรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนดั่งผู้พิทักษ์ที่คอยปกปักรักษาคุ้มครองผู้เช่า เราจะเห็นความอบอุ่นของผู้ชายคนนึงที่คอยช่วยเหลือสิ่งต่างๆ ให้กับทุกคนเท่าที่จะทำได้ มีความเข้าอกเข้าใจ มีความห่วงใยบรรดาครอบครัวที่มีปัญหา  และแม้ว่าเขาจะรำคาญพวกเด็กๆ บ้าง แต่เมื่อมีภัยใกล้เข้ามาหาพวกเด็ก เขาก็พร้อมจะปกป้องไม่ให้มีใครมาทำอะไรได้ สำหรับเรื่องนี้จุดเด่นของเดโฟคือการเล่นที่สมจริงของบทบาทราวกับว่าบ๊อบนั้นมีตัวตนในสังคมจริงๆ ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเดโฟกำลังแสดงบทบาทอยู่ ซึ่งผมมองว่าน่าประทับใจพอสมควรสำหรับเดโฟ ส่วนบทของเด็กๆ คนอื่น ต้องยอมรับว่าพวกเขาเล่นได้อย่างเนียนตาเป็นธรรมชาติและสดใสมากๆ ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเล่นแข็งแต่อย่างใด ทำให้คนดูนึกว่ากำลังดูพวกเด็กๆ เล่นสนุกกันจริงๆ แถมยังมีตลกโปกฮาบวกทะลึ่งตามประสาเด็กที่โตกว่าวัยที่เราพบเห็นได้ตามสังคมในทุกวันนี้


ต้องบอกก่อนครับว่าแม้หนังจะเป็นเรื่องราวของเด็กๆ แต่ไม่ได้เหมาะกับเด็กแถมติดเรทเสียด้วยซ้ำ และก็ไม่ได้เหมาะสำหรับคนที่ชอบเรื่องสนุกสนานขำขันเพราะเรื่องนี้เป็นแนวดราม่าครับ แต่ถ้าใครชอบแนวดราม่าสะท้อนสังคมในปัจจุบันสมควรดูเป็นอย่างยิ่งครับ ผมให้คะแนน 9 เต็ม 10 ครับสำหรับเรื่องนี้ หักนิดเดียว ตรงที่ตอนจบมันรวบรัดไปนิดนึง ประมาณว่า อ้าว....จบงี้เลยหรออารมณ์ค้างเลย แต่ก็เข้าใจครับว่าต้องการให้เราไปคิดต่อเองว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่หนังสะท้อนให้เราเห็นก็คือ ความรักของแม่นั้นยิ่งใหญ่ แม้ว่าแม่จะไม่ได้ดีพร้อมแต่ว่าแม่ก็ไม่เคยจะทอดทิ้งเรา ซึ่งตรงกันข้ามกับสังคมปัจจุบันที่เราเห็น ที่มีแม่วัยรุ่นหลายๆ คนเลือกที่จะทอดทิ้งลูกไม่สนใจใยดี อยากให้หลายๆ คนได้ดูครับหนังเรื่องนี้ ใครอยากดูรีบๆ ดูครับ มีจำกัดรอบและโรง ถ้าชักช้าอาจออกจากโรงก่อนได้ครับ


การดูหนังก็เปรียบเสมือนกับการเก็บผลไม้ที่อยู่เต็มต้น ที่บางครั้งเราก็อาจจะเก็บผลไม้ได้ไม่หมด แต่ก็เลือกเก็บมาเฉพาะที่เราเก็บได้หรือเลือกเก็บในผลที่เราชื่นชอบ เช่นเดียวกันกับข้อคิดในหนังครับ เรื่องเดียวกันคนดูอาจเก็บข้อคิดจากหนังได้ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ใครเก็บอะไรได้บ้างก็สามารถร่วมแชร์ได้ที่เพจผมครับ หรือถ้าสนใจดูรีวิวหนังเรื่องอื่นเพิ่มเติม ให้คำติชมแนะนำ หรือถ้าอยากให้รีวิวหนังเรื่องไหน มาพูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/cineman95/ ขอให้สนุกกับการดูหนัง ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   the florida project 2017
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่